บุรุษมิสามารถผ่านด่านสาวงาม ช่างเป็นคำเปรียบเปรยที่เหมาะสมกับสถานการณ์เบื้องหน้านี้เสียจริง สามีและภรรยามองจ้องตากันอย่างหวานซึ้ง ฝ่ายภรรยาเป็นผู้คีบอาหารเข้าปากป้อนสามีทีละคำ ฝ่ายสามีก็อ้าปากรับ สายตาก็จ้องมองราวกับจะกลืนกินกันลงท้องแทนอาหารที่กินอยู่เสียอย่างนั้น
อ่า! ถ้าไม่บอกตอนนี้ ข้าคงคิดว่ากำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่เป็นแน่ ช่างรักกันหวานซึ้งเสียยิ่งกระไร
แล้วเหตุใดตัวข้าถึงได้มานั่งเป็นก้างขวางคอพวกเขาอยู่ตรงนี้เล่า ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใด ครั้งหนึ่งถึงได้เชื่อคำว่ารักของบุรุษตรงหน้านี้จนหมดใจ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่หวัง หัวใจดวงนั้นก็พลันแตกสลาย กลายเป็นสตรีตัวร้าย ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้บุรุษตรงหน้ากลับคืนมา ทุ่มเทได้แม้กระทั่งชีวิต แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้ กลับมีเพียงความว่างเปล่า มิมีคำว่ารักแท้ สำหรับบุรุษเช่นเขา ข้าเคยโง่แล้วครั้งหนึ่ง และครั้งนี้จะไม่มีวัน กลับไปโง่อีกครั้ง
เมื่อเหมยลี่อิน ชายาเอกของจวิ้นอ๋องหยางจิวฮุ่ย กำลังมองภาพพระสวามีของตนกับชายาเอกอีกคน กำลังพรอดรักกันอย่างหวานซึ้ง โดยทำเหมือนกับว่านางไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้เสียอย่างนั้น
'สงสัยตัวข้าผู้นี้คงจะเป็นเพียงอากาศธาตุสำหรับพวกเขาเป็นแน่ เพ้ย! ข้ายังนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคนน่ะ'
เหมยลี่อินกำลังมองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ภาพนี้เคยเป็นภาพเก่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่กลับมาฉายซ้ำ ในตอนนั้น นางอาละวาดเสียจนโดนลงโทษ ให้ห้ามออกมาจากตำหนักเป็นเวลากว่า 3 เดือน แต่ในวันนี้เมื่อนางได้มีโอกาสกลับมาแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาด นางเพียงยิ้มรับและคีบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่สนใจกับภาพเบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย
"หม่อมฉันอิ่มแล้ว ถ้างั้นหม่อมฉันขอทูลลานะเพคะ เชิญพระองค์และน้องฟางเซียนตามสบาย"
พูดเสร็จนางก็ลุกขึ้น เตรียมพร้อมจะเดินจากไปยังตำหนักของตนเอง
"ฟางเซียนมีธุระจะคุยกับเจ้า เหตุใดถึงได้รีบกลับตำหนักนักเล่า"
"หือ เช่นนั้นหรือเพคะ แล้วน้องฟางเซียนมีธุระอันใดต้องการที่จะคุยกับพี่เช่นนั้นหรือ เจ้าก็ให้รีบพูดมาเถิด เพราะพี่นั้นมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมายในตำหนัก"
"พี่หญิงมีอันใดที่ตำหนักให้ทำอีกงั้นหรือเพคะ ก็ในเมื่อตอนนี้งานทุกอย่างในตำหนักจวิ้นอ๋องนั้น น้องได้เป็นผู้ดูแลทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวแล้ว แล้ว อย่างนี้พี่หญิงยังจะมีธุระอันใดที่ต้องไปจัดการที่ตำหนักอีก"
ใช่แล้วตั้งแต่ที่ความโปรดปรานของจวิ้นอ๋องหมดไป เขาก็ได้ยกอำนาจในการดูแลจัดการเรือนหลังทั้งหมดของเขา ให้กับชายาเอกคนโปรดหยุนฟางเซียน และที่จวิ้นอ๋องเรียกนางมาเพื่อเสวยอาหารเช้าร่วมกันในวันนี้ ก็คงจะเป็นเพราะหยุนฟางเซียนผู้นี้ ต้องการที่จะให้นางมาเห็นภาพบาดตาบาดใจ ระหว่างพวกเขาเป็นแน่
แต่นางคงจะคาดไม่ถึงๆ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน ของเหมยลี่อินผู้นี้ บุรุษที่มีความรักง่ายหน่ายเร็วเช่นจวิ้นอ๋อง ใครอยากได้ก็เอาไปเถิด เหมยลี่อินผู้นี้หาได้ต้องการความรักที่จอมปลอมเช่นนั้นไม่
"เรื่องที่ข้าจะทำจะต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ "
เหมยลี่อินจ้องมองไปที่หยุนฟางเซียน อย่างไม่ลดละ ไม่ใช่ว่าเห็นนางยอมแล้วได้คืบจะเอาศอก อย่าให้มันได้ใจจนเกินไปนัก
"ฟางเซียนก็แค่ถามเจ้า เหตุใดเจ้าจะต้องกล่าวกับนางเช่นนั้นด้วย"
"หม่อมฉันก็เพียงตอบ ยังไม่ได้กล่าวอันใด เหตุใดพระองค์จะต้องกล่าวหาหม่อมฉันด้วย"
"นี่เจ้า! เถียงคำไม่ตกฟาก เจ้ายังมีความยำเกรงข้าผู้เป็นสวามีผู้นี้อยู่อีกหรือไม่"
"หึ! พระองค์ยังทรงจำได้ด้วยหรือว่าทรงเป็นพระสวามีของหม่อมฉัน"
เหมยลี่อินจ้องไปที่ตาของบุรุษตรงหน้าเขม็ง ตั้งแต่ที่นางจำได้ บุรุษผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสวามีของนางผู้นี้ ไม่เคยย่างกรายเข้าตำหนักของนางกว่า 3 เดือนแล้ว นั่นได้สร้างความเจ็บปวดชอกช้ำให้กับเหมยลี่อินคนเก่าเป็นอย่างมาก
นางจึงตรอมใจเพราะรักที่ไม่เป็นไปอย่างที่ฝัน บุรุษผู้ที่เคยสัญญาว่าจะรักกันจนผมขาวไปด้วยกัน กลับทิ้งคำสัญญาเหล่านั้นกลืนลงท้องไปเสียสิ้น จากสตรีที่เคยแสนดีและอ่อนหวาน แปรเปลี่ยนเป็นเจ้าอารมณ์โมโหร้าย และคอยรังควานพระชายาอีกคนของสวามีอยู่ร่ำไป
นั่นจึงเป็นบ่อเกิด ของความเบื่อหน่ายและหันไปสนใจสตรีที่ดูอ่อนหวานและแสนดี ในตอนนั้นนางคิดน้อยไปจริงๆ นางคิดว่าความรักที่เขามีให้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็มิสามารถแปรเปลี่ยนได้ แต่แท้ที่จริงแล้วความรักของบุรุษหาได้มีความแน่นอนไม่ มันเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านมาและก็จะพัดผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดให้จดจำ
"พี่หญิง อย่าได้กล่าวเช่นนั้นกับท่านอ๋องสิเพคะ น้องไม่ได้ตั้งใจที่จะแย่งความโปรดปรานทั้งหมดมาจากพี่หญิงเลยแม้แต่น้อย น้องพยายามบอกท่านอ๋องแล้ว ให้เสด็จไปประทับที่ตำหนักของพี่หญิงบ้าง แต่ว่าก็เป็นเพราะพี่หญิงมิใช่หรือ ที่ไล่ตะเพิดท่านอ๋องออกมาเสียทุกครั้ง แล้วอย่างนี้จะมากล่าวโทษท่านอ๋องเพียงฝ่ายเดียวคงจะมิถูกกระมัง"
"ออ เจ้าจะกล่าวว่าที่ท่านอ๋องเสด็จมาหาข้าในแต่ละครั้งนั้น เป็นเพราะว่าเจ้าเป็นผู้คะยั้นคะยอให้พระองค์มาใช่หรือไม่ ที่เจ้ากล่าวเช่นนี้เพียงเพราะว่าต้องการให้ข้ารู้สึกแย่มากขึ้น หรือต้องการที่จะบอกกับข้าว่าแท้ที่จริงแล้ว ท่านอ๋องมีความโปรดปรานเจ้ามากเพียงใดกันแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าว่าเจ้าไม่ต้องพูดเสียดีกว่ากระมังเพราะเจ้าไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดว่าเจ้าเป็นใบ้"
"ฟางเซียนเพียงบอกกล่าวเหตุผลให้เจ้าเข้าใจเพียงเท่านั้น เหตุใดเจ้าจะต้องต่อว่านางในทุกครั้งด้วย เปิ่นหวางชักจะหมดความอดทนกับเจ้าแล้วเหมยลี่อิน"
"เฮ้อ พอเถอะเพคะ หม่อมฉันก็เหนื่อยกับพระองค์แล้วเช่นกัน เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ถึงอย่างไรความรักความโปรดปรานที่พระองค์เคยมีให้กับหม่อมฉัน ในตอนนี้มันไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว พระองค์ไม่สู้มอบใบหย่าให้กับหม่อมฉัน พระองค์จะได้มีความสุขอยู่กับสตรีที่พระองค์พึงใจ ไม่ต้องมาทนเห็นหม่อมฉันให้ขุ่นเคืองพระทัยอีก ดีหรือไม่เพคะ"
"เหมยลี่อิน นี่เจ้าจะบังอาจเกินไปแล้ว เจ้าอย่าคิดว่าเปิ่นหวางจะไม่กล้าหย่าขาดกับเจ้า หาไม่แล้ว ถ้าเจ้ายังเอาเรื่องนี้มาขู่เปิ่นหวางอีก เจ้านั่นแหละที่จะเป็นผู้เสียใจเสียเอง"
"แล้วพระองค์คิดว่าทุกวันนี้หม่อมฉันมีความสุข? "
พร้อมกับจ้องตาเขาอย่างไม่ลดละ นางกลัวที่ไหนกันเล่า ถึงตอนนี้แล้วไม่มีสิ่งใดให้นางต้องกังวลอีกแล้ว
"เจ้า! เจ้าอย่าได้ขวัญกล้ามาต่อปากต่อคำกับเปิ่นหวางอีก หาไม่แล้วอย่าหาว่าเปิ่นหวางไม่เตือน เห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนของเรา เปิ่นหวางจะถือเสียว่าวันนี้ไม่เคยได้ยินเรื่องไร้สาระที่เจ้ากล่าวออกมา จางหลงมานำตัวพระชายาเหมยลี่อินกลับตำหนักไปเสียเดี๋ยวนี้ ก่อนที่นางจะกล่าววาจาเพ้อเจ้อออกมาอีก"
"หยางจิวฮุ่ย ข้าเหนื่อยแล้วจริงๆ ข้ายอมแพ้แล้ว เรามาจบมันเถอะ ท่านอย่าได้หลอกตัวเองอีกต่อไปเลย เรื่องระหว่างเรามันจบแล้วจริงๆ "
สายตาที่นางจ้องไปที่เขาในตอนนี้ ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ มีแค่เพียงสายตาจริงจัง ที่บ่งบอกว่านางเหนื่อยแล้ว นางเหนื่อยกับทุกสิ่งที่เขาทำ เหนื่อยกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นและนางไม่เคยเรียกชื่อเขาตรงๆ เช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้มันได้บ่งบอกแล้วว่านางต้องการที่จะไปจากเขาแล้วจริงๆ นางยอมแพ้แล้ว