คนพูดมาก

1932 คำ
"ข้าวค่ะ" ข้าวจานหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าชายหน้านิ่ง หนูซีนพูดด้วยรอยยิ้มสดใส นั่งแหมะลงตรงข้ามดรูฟโดยที่เขานั้นไม่ได้อนุญาตสักคำ "..........." ไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากสายตาที่แสนจะนิ่งเรียบ มือใหญ่ดึงจานข้าวเข้ามาใกล้ แล้วตักข้าวเข้าปากทีละคำโดยที่หนูซีนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิมมองดรูฟด้วยรอยยิ้ม "อร่อยไหมคะ?" หนูซีนเอ่ยถามเพียงดรูฟตักข้าวเข้าปากคำแรก "........." เงียบยิ่งกว่าป้าช้าก็ดรูฟนี่แหละ ดรูฟผู้ที่ต้องการอิสระในรั้วมหาวิทยาลัย เขามาแบบเงียบ ๆ ไร้ศักดินา ไร้การคุ้มกัน นอกจากอยู่ที่บ้านจึงมีบอร์ดี้การ์ดเฝ้าระวัง เพราะเชคฮคาม่านฟ้าสั่งไว้ แต่การอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย แม้จะขัดใจบิดาเรื่องคนคุ้มกัน เพราะดรูฟนั้นไม่ชอบความเอิกเกริก ไม่ชอบเป็นเป้าสายตาของใคร เขาอยากอยู่อย่างสงบ แต่เหมือนความสงบของดรูฟจะหายไปเมื่อเจอกับหนูซีนที่แสนจะพูดมาก! "ต้องอร่อยแน่ๆ ใช่มะ เห็นกินไม่หยุดเลย คิกคิก" ".........." "ซีน ไปเถอะอย่ากวนเขาเลย" ดิวที่ยืนมองอยู่ข้างหลังเอ่ยชวน เมื่อหนูซีนนั้นเอาแต่พร่ำคนเดียว ส่วนอีกคนนั้นไม่ได้สนใจจะพูดด้วยสักคำ "ดิวเรานั่งกินตรงนี้แหละ เขาจะได้มีเพื่อนไง" หนูซีนเอ่ยชวนโดยไม่สังเกตสีหน้าดรูฟสักนิด สายตาที่เขามองหญิงสองคนด้วยแววตานิ่งเรียบแต่แอบดุดันและดูน่ากลัว ใบหน้านิ่งเหมือนคนหยิ่งแท้จริงแล้วเขาไม่มีพิษภัยเลยสักนิด แต่กลับไร้คนคบหาแต่เพียงเห็นหน้าเขาเท่านั้น ยกเว้นหญิงสาวที่แทบคลานเข่าเข้าหาแต่ดรูฟกลับไม่ได้สนใจหญิงใดเลย "ถามเขาก่อนไหม ต้องการเพื่อนอย่างซีนหรือเปล่า ปะ ๆ" ดิวแย้งเมื่อหนูซีนเสนอตัวอย่างถือวิสาสะและพยายามดึงแขนเพื่อนให้ย้ายที่แต่กลับไม่ยอมไปไหน "ก็ไม่รู้ล่ะ อยากนั่งเป็นเพื่อน เอ๊ะหรือจะนั่งเป็นแฟนดี" ประโยคแรกหนูซีนพูดกับเพื่อสาว และประโยคถัดมาหันไปพูดแซวดรูฟและส่งยิ้มจนตาหยี คำพูดที่แซวขึ้นโดยไม่ได้คิดอะไรแต่กลับทำให้หัวใจของดรูฟเต้นแรงแทบหลุดจากอก "ซีน!" ดิวตะเบงเสียงอย่างย้ำเตือนในคำพูดของหนูซีน "แค่ล้อเล่นน้า ดิวก็...ตวาดทำไมเนี่ย" หญิงสาวย้อนชี้แจงเมื่อคำพูดเธอนั้นแค่การแซวเล่นตามประสาคนฝีปากไม่อยู่นิ่ง "เฮ้อ...ปวดตับกับเพื่อน" ดิวถึงกับฟาดฝ่ามือลงกลางหน้าผากอย่างเอือมระอาต้องมาตกกระไดพลอยโจนของเพื่อนสาวที่แสนจะพูดมากและก็เฟรนลี่อีกต่างหาก "นั่ง ๆ ดิว....ว่าแต่ชื่ออะไรเหรอคะ?" "..........." "นี่ เราพูดเยอะแล้วนะ ทำไมไม่พูดด้วยเลยล่ะ" หนูซีนนั่งวางแขนลงบนโต๊ะพร้อมขยับหน้าเข้าหา เพราะว่าเธอนั้นเริ่มงงว่าคนตรงหน้านี้ทำไมนิ่งได้นิ่งดี "อย่าลืมหายใจด้วยนะ นิ่งขนาดนี้ ชิ!" หนูซีนจิ๊ปากอย่างงอน ๆ เมื่อเร้าหรือแค่ไหนดรูฟก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูดสักคำ "............" ไม่สนใจปล่อยให้เธอพูดไปเลย ดรูฟยังทนได้ "นาย นี่จะไม่พูดจริงเหรอ" หนูซีนยังคงรบเร้าต่อไปอย่างมีความพยายาม ".........." เงียบกริบนั่งก้มหน้ากินข้าวต่อไป "ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราพูดเองคนเดียวก็ได้ นายแค่ฟังหากเราถามก็พยักหน้าก็ได้ เคนะ" เมื่อรบเร้ายังไงก็ไร้เสียงตอบกลับ คนที่อยากพูดเลยตัดปัญหา (ปัญหาของใคร?555) ด้วยการเสนอตัวที่จะพูดต่อ "............." ดรูฟยังคงนิ่งและเงียบ "มาจากอาหรับเหรอ?" หนูซีนถามด้วยความอยากรู้ "............." ดรูฟก็ยังเงียบอีกต่อไป "ซีนกินข้าวก่อน" ดิวจนต้องบอกอย่างเตือนสติเมื่อข้าวที่ซื้อมานั้นยังไม่พร่องสักคำ พูดจนน้ำลายจะท่วมจานข้าวอยู่แล้ว "โธ่ ดิวเราขอพูดก่อนแป๊บนึง" "............" "เราถามชื่อไปนายยังไม่ตอบเลยนะ...." หนูซีนทวงคำตอบในคำถามมที่เธอนั้นถามก่อนหน้า "............." "ไม่เป็นไร เราบอกชื่อเราก่อนก็ได้ เราชื่อซีน ชื่อจริงเดือนเมษา ชื่อกิ๊บเก๋น่ารักชะ.....อื้อออออ" พูดยังไม่ทันจบประโยคดรูฟก็จัดการยัดช้อนข้าวปิดปากหนูซีนไว้ทันที ดวงตากลมเบิกโตเพราะต้องหยุดชะงักวาจาลงเมื่อข้าวเต็มปากไม่สามารถขยับปากพูดได้ "อายอำอับเอาแอบอี้ไอ่ไอ้อะ อื้ออ" "ทำไมพูดมาก" ดรูฟพูดขึ้นอย่างตำหนิ เมื่อความอดทนที่มีเริ่มหายไป เขาหนวกหูเต็มที! (ใครก็ได้พาความสงบมาคืนดรูฟที) "แค่กๆ....ดิวขอน้ำ อึกๆๆ" หนูซีนสำลักข้าวคำโตจนต้องร้องขอน้ำดื่มจากเพื่อน "เราไม่ได้พูดมากนะ" แม้จะสำลักจนหน้าดำหน้าแดงก็ยังมีความพยายามที่จะอธิบายต่อ "พูดมาก!" ดรูฟย้อนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนัก "ไม่ใช่พูดมาก เราแค่พูดเก่งเฉย ๆ" หนูซีนแย้งอย่างน่ารัก ชี้แจงถึงสิ่งที่เธอเป็น ใครบอกว่าเธอพูดมากกันแค่เธอพูดเก่งเท่านั้น! "ชิ!" ดรูฟลุกขึ้นด้วยความเร็ว เมื่อทานทนต่อเสียงที่พูดไม่หยุดหย่อนเป็นนกกระจิบแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไป แม้จะดูน่ารักสดใส แต่พูดมากขนาดนี้ดรูฟจะไม่ทน ความสงบที่เคยมีต้องหายไปตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมาเรียน...แล้วต่อไปล่ะเขาจะหาความสงบได้จากที่ไหน !? เวลาหลังเลิกเรียนที่ดรูฟไม่ค่อยออกไปไหนต่อ เหมือนที่วัยรุ่นทั่วไปต้องนัดแนะกันพบปะสังสรรค์ แต่ดรูฟเลือกที่จะมุ่งตรงกลับบ้านด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่แสนจะธรรมดาราคาหลักแสน มีคนขับรถที่เป็นคนไทยที่พ่อแม่คัดหามาให้ รถยนต์ที่ใช้ไม่ใช่รถยนต์ยี่ห้อดัง ไม่ใช่รถรุ่นลิมิเตทที่มีเพียงจำนวนจำกัด ไม่ใช่รถที่ผู้คนชอบซื้อเพื่ออวดตนแสดงความมั่งคั่งว่าตนมี เขาใช้รถตลาดทั่วไปที่มีขายตามโชว์รูมในเมืองไทยที่คนส่วนมากใช้กัน แม้ผู้เป็นพ่อจะหยิบยื่นให้แต่ดรูฟกลับปฏิเสธ เพราะมันไม่ได้จำเป็นสำหรับเขา นิสัยชอบอวดตนไม่ใช่นิสัยของดรูฟ แม้เขามีทรัพย์มากก็ไม่เคยทำตัวโอ่อ่า เพราะแม่ของดรูฟนั้นพร่ำสอนเสมอ เพราะการมั่งมีมันไม่ใช่ความสุขเสมอไป แต่มันคือผลพลอยได้ เพื่อการดำเนินชีวิตที่ราบรื่นเท่านั้น และการมาที่ประเทศไทยจุดหมายคือการศึกษาและเป็นประเทศในฝันที่เขาอยากจะมาเท่านั้น กริ๊ง กริ๊ง...เสียงเครื่องมือสื่อสารที่วางข้างตัวของดรูฟดังขึ้น ขณะที่เขานั้นนั่งอ่านหนังสือเพียงลำพังในสวนหลังบ้าน สายตามองเห็นแล้วว่าเป็นสายของมารดาที่โทรทางไกล "ท่านแม่" เสียงเรียบเอ่ยเรียกปลายสายทันทีที่หน้าจอโชว์หราให้เห็นใบหน้าของผู้เป็นแม่ ผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่เขานั้นรักสุดหัวใจ "ดรูฟ ลูกเป็นยังไงบ้าง" ผู้เป็นแม่เอ่ยถามอย่างแสนคิดถึงและห่วงใย เมื่อบุตรชายคนเดียวต้องอยู่ต่างแดนที่แสนไกลโพ้น "ลูกสบายดีครับ ท่านแม่ต้องดูแลตัวเองให้ดี ทานข้าวทุกมื้อด้วยนะ" ดรูฟพร่ำยาวเหยียดสั่งการผู้เป็นแม่อย่างห่วงใย ((มากไปแล้วดรูฟ)) เสียงของผู้เป็นพ่อดังแทรกเข้ามาก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าที่โผล่มาจนเต็มหน้าจอเครื่องมือสื่อสาร "ท่านพ่อ" ดรูฟเอ่ยเรียกด้วยความดีใจ การมาไกลถึงต่างแดนย่อมคิดถึงคนในครอบครัว ((ดูแลตัวเองด้วยนะดรูฟ ขาดหรือต้องการอะไรให้รีบบอกนะ)) ผู้เป็นพ่อบอกกล่าวเมื่อหลายอย่างที่พ่อพยายามประเคนให้ แต่กลับถูกลูกชายปฏิเสธ เมื่อลูกชายบอกว่าขอแค่พอเพียงก็เพียงพอแล้ว "ไม่ต้องการอะไรครับ" ดรูฟตอบกลับเสียงเรียบ "ไปเรียนเป็นยังไงบ้าง เล่าให้แม่ฟังบ้างสิ" และเสียงหวาน ๆ ของเชคฮคาม่านฟ้าก็ดังแทรก "ก็ไม่มีอะไรครับ ปกติดี แค่....." ดรูฟต้องชะงักคำพูดเมื่อสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดคือใบหน้ากลมใสของผู้หญิงที่แสนจะพูดมากจนน่ารำคาญ ((แค่อะไร มีปัญหาอะไรหรือเปล่าดรูฟ)) เมื่อเห็นสีหน้าก็บุตรชายที่เปลี่ยนไป ด้วยความนึกห่วงใยผู้เป็นพ่อจึงย้อนถามอย่างคนกังวล "ไม่มีอะไรครับ" "ดรูฟ!" ใบหน้าที่แสดงออกอย่างกังวล น้ำเสียงเข้ม ของพ่อดังขึ้น ดรูฟรู้ดีหากเป็นเช่นนี้นั่นคือพ่อต้องการคำตอบที่ชัดเจนไม่ใช่การเบี่ยงเบนหลีกหนี และดรูฟก็ไม่เคยมีพฤติกรรมโกหก เพราะแม่ของเขานั้นไม่ชอบ "แค่ลูกไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ต้องได้มาเจอกับคนที่พูดมาก”  ดรูฟบอกให้ปลายสายรับรู้ "หืม...เพื่อนเหรอลูก" ผู้เป็นแม่ย้อนถามอย่างสงสัย "ไม่ใช่ครับ เธอเป็นใครก็ไม่รู้ เธอพูดมากที่สุดทั้งที่เราไม่รู้จักกันแต่เธอก็พูดไม่หยุด" "ย้ายที่เรียนใหม่ไหม?" ผู้เป็นแม่ออกความคิดนำเสนอ "ไม่ครับท่านแม่" ดรูฟพูดสวนกลับทันที ด้วยดวงตาที่แสดงออกชัดเจน แต่สีหน้ากลับนิ่งเรียบตามแบบฉบับของดรูฟ "เอ๊ะยังไง" "ลูกมีพิรุธนะดรูฟ" น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อนั้นเอ่ยอย่างสงสัย "หรือว่าลูกชายของพ่อ..." "ไม่ครับ ไม่มีทาง" ดรูฟแสดงอาการลนลาน "อะไรกันดรูฟ พ่อยังไม่ได้พูดอะไรมากมายเลยนะ" ผู้เป็นพ่อพูดย้ำเมื่ออาการของลูกชายนั้นแสดงพิรุธจนผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนจับทางได้ "ลูกชายของแม่มีความรักหรือเปล่านะ" และผู้เป็นแม่ก็พูดสำทับสามีอีกทาง "สงสัยเชคฮคากำลังจะมีสะใภ้" ผู้เป็นพ่อยังคงพูดแซวต่อไป ใบหน้าของลูกชายนั้นเริ่มเปลี่ยนสี และหลบสายตาผู้เป็นพ่อแม่อย่างเอียงอาย แม้จะไม่ได้แสดงออกมากมาย แต่คนที่เลี้ยงลูกมากับมือมีหรือจะดูไม่ออก "ลูกขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนนะครับ" ดรูฟกลัวการถูกจับผิด จึงรีบตัดบทปฏิเสธและเบี่ยงเบนทันที "โอเคดรูฟ...แม่คิดถึงลูกนะ" ผู้เป็นแม่เมื่อเห็นแล้วว่าลูกชายเริ่มเสียการทรงตัว จึงตัดบทสนทนาและยิ้มส่งให้ลูกชาย สายตาของสังเกตอาการเคอะเขินที่ลูกชายนั้นไม่เคยแสดงให้เห็นสักครั้ง จนมาครั้งนี้ "ครับคิดถึงท่านพ่อท่านแม่เช่นกัน" "ดูแลตัวเองด้วยนะดรูฟ" ผู้เป็นพ่อพูดสั่ง ทุกอย่างล้วนอแกมาจากความรักที่มีให้ทั้งนั้น "ครับท่านพ่อ" การสนทนาระหว่างครอบครัวจบสิ้นลง คำพูดที่พ่อและแม่พูดออกมา ทำเอาดรูฟนั้นเสียการทรงตัว คนนิ่งเย็นชาแบบเขาหรือจะมีความรัก คำพูดที่พร่ำบอกกับตัวเองตลอดการสนทนาว่ามันใช่หรือ แต่เวลาที่เจอเธอเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง แม้จะรำคาญในการช่างพูดเสวนา แต่กลับทำให้เขานั้นหัวใจเต้นแรง แค่เพียงมองเห็นหน้าไกลๆ แต่ใจก็กลับรู้สึก...นี่หรือเรียกว่ารัก ?
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม