บทที่ 5 ล้มป่วย

1561 คำ
ฉีหลินกำหมัดแน่นเมื่อเจอคำนี้เข้าไป แต่เขายังใช้สติสยบทุกอย่าง เด็กน้อยเลือกที่จะเงียบและทำงานของตนเองต่อ โดยไม่สนใจเด็กพวกนี้อีก แต่กลุ่มของจางมู่สงกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังคงก่อกวนไม่หยุด ตะกร้าและเสื้อผ้าระเนระนาดเพราะอีกฝ่ายใช้กฎหมู่เข้ามาเล่นงานเด็กน้อย “ทำมาเป็นขยัน อาสามและอาสะใภ้ต้องมาตายไปเพราะลูกเช่นแกกับลี่อิน ไอ้ตัวซวย พ่อแม่ยังไม่อยากอยู่ด้วยจนต้องชิงตายไปก่อน” “หยุดนะ อาฉีไม่ใช่ตัวซวย พี่ใหญ่ก็ไม่ใช่ พ่อกับแม่ป่วยและตายเพราะบ้านย่าไม่ให้เงินไปรักษาต่างหาก อย่ามาว่าอาฉีกับพี่ใหญ่นะ” ฉีหลินเมื่อโดนกล่าวหาว่าเป็นตัวซวยจนทำให้พ่อกับแม่ต้องตายไป เกิดความไม่พอใจและไม่ยอม จึงโต้ตอบกลับไปบ้าง เวลานี้กลายเป็นโดนรุมอยู่คนเดียว เมื่อโดนโต้กลับและไม่คิดว่าฉีหลินจะกล้า จางมู่สงจึงเดินเข้าหาก่อนจะผลักฉีหลินตกลำธาร “ช่วยด้วย ! ช่วยอาฉีด้วย” “ซวยแล้ว ! พวกเรากลับกันเถอะ” จางมู่สงตกใจเมื่อเห็นฉีหลินตกน้ำ ความกลัวเกาะกุมจิตใจจึงรีบชวนสหายหนีมาจากตรงนั้น ก่อนจะกำชับสหายห้ามพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ใครฟัง ฉีหลินดำผุดดำว่ายอยู่พักใหญ่ก็เริ่มหมดแรง “พี่ใหญ่ ช่วยอาฉี ดะ...ด้วย” ทว่าเมื่อร่างของฉีหลินกำลังจะจม ลี่อินมาถึงลำธารก็เจอน้องชายที่กำลังจะจมน้ำ จึงรีบเข้าไปช่วย “อาฉี” ตู้ม ! ลี่อินกระโดดลงน้ำอย่างรวดเร็ว ดีที่เธอว่ายน้ำเป็นจึงรีบว่ายน้ำเข้าหาฉีหลินทันที “อาฉีใจเย็นนะ พี่มาช่วยแล้ว” ลี่อินคว้าร่างน้องชายไว้ได้ ก่อนจะว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งอย่างทุลักทุเล “ฮือ พี่ใหญ่ อาฉีคิดว่าจะตายแล้ว” ฉีหลินกอดคอพี่สาวไว้ไม่ปล่อย เด็กน้อยตัวสั่นเพราะยังไม่หายกลัว “ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร อาฉีปลอดภัยแล้ว ว่าแต่พอจะเล่าให้พี่ฟังได้ไหม ทำไมอาฉีถึงตกน้ำ” ด้วยนิสัยของน้องชาย ฉีหลินไม่มีทางที่จะเล่นซนจนตกน้ำเช่นนี้ อีกทั้งตะกร้าผ้ายังกระจัดกระจาย ลี่อินคิดได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ฉีหลินแหงนหน้ามองพี่สาว ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟังด้วยความน้อยใจ “ทำไมล่ะครับพี่ใหญ่ พี่มู่สงอยากให้อาฉีตายหรือถึงได้ผลักอาฉีตกน้ำ อีกทั้งยังด่าอาฉีว่าเป็นตัวซวย อาฉีไม่ใช่ตัวซวยเสียหน่อย” พอได้ฟัง ลี่อินเองก็อดแค้นใจไม่ได้ ขนาดโดนไล่ออกมาจากบ้านใหญ่แล้ว ฉีหลินยังโดนกลั่นแกล้งเกือบเอาชีวิตไม่รอด ต่อให้แค้นใจแค่ไหน แต่ลี่อินกลับให้น้องชายลืมเรื่องนี้เสีย เพราะแค้นไปก็เท่านั้น ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี “ต่อจากนี้อย่าไปไหนคนเดียว รอพี่กลับมาก่อน อาฉีเข้าใจไหม จบเรื่องนี้เสีย เรากับบ้านนั้นต่างคนต่างอยู่ก็พอ และที่สำคัญอาฉีไม่ใช่คนไร้ค่าหรือว่าตัวซวย แต่อาฉีมีค่าที่สุดสำหรับพี่” อย่างที่บอกลี่อินไม่ต้องการมีเรื่อง เธอสูญเสียพ่อกับแม่ไปแล้ว เธอไม่ต้องการสูญเสียน้องชายอีก และไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับบ้านจางด้วยเช่นกัน “ครับพี่ใหญ่” แม้จะน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เด็กน้อยก็เข้าใจพี่สาว หลังจากนี้ฉีหลินสัญญาว่าจะไม่ทำให้พี่สาวลำบากใจอีกแล้ว “ขอบใจมากนะอาฉีที่เข้าใจพี่” ลี่อินกอดน้องชายไว้แน่น เธอรู้ว่าอาฉีคงจะเสียใจที่เธอจบปัญหาแบบนี้ แต่จะให้ทำอย่างไร จะไปสู้รบกับบ้านย่าก็คงไม่ใช่เรื่องดี อีกทั้งตัวเธอและฉีหลินนั้นมีกำลังไม่พอ เพียงแค่เอาตัวรอดได้แต่ละวันก็ยากแล้ว เมื่อทั้งสองกลับมาถึงบ้าน ลี่อินทำอาหารให้น้องกินสุดความสามารถเพื่อปลอบใจฉีหลินและต้องการให้เขาลืมเรื่องนี้ไปเสีย ก่อนที่สองพี่น้องจะเข้านอน ตกดึกลี่อินเกิดหนาวสั่นเนื่องจากลงน้ำ ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สู้ดีอยู่แล้วจึงทำให้ป่วยหนัก ส่วนฉีหลินนั้นเป็นไข้เพียงเล็กน้อย เด็กน้อยนอนในอ้อมกอดพี่สาวจึงรับรู้ได้ว่าลี่อินตัวร้อนยิ่งกว่าไฟ แต่เขาทำได้เพียงเช็ดตัวเพื่อบรรเทาความร้อนเท่านั้น ลี่อินเพ้อด้วยพิษไข้ จนสุดท้ายหลับไปอีกครั้ง เช้าวันต่อมา... เมื่อเห็นพี่สาวไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นฉีหลินจึงเข้าครัวด้วยตัวเอง แม้จะทุลักทุเลก็ตาม แต่เด็กน้อยกลับใจแข็งและฮึดสู้เพื่อพี่สาวคนเดียวที่เหลืออยู่ ถึงขนาดตัวที่ต้องแบกฟืนเพื่อก่อไฟนั้นเป็นอุปสรรคไม่น้อย ฉีหลินก็ไม่ยอมแพ้ ทันทีที่ก่อไฟติด เด็กน้อยหยิบหม้อที่มีหูข้างเดียวใส่น้ำใส่ข้าวอีกทั้งยังตอกไข่ใส่พร้อมกัน เพราะไม่เคยทำอาหารมาก่อนจึงไม่รู้ว่าขั้นตอนการต้มข้าวเป็นอย่างไร ในระหว่างที่รอ ฉีหลินรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของพี่สาวด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นพี่สาวเหงื่อเต็มใบหน้าด้วยพิษไข้ที่ยังไม่ลด เขารีบวิ่งไปหยิบกะละมังและผ้าสะอาดเพื่อนำมาเช็ดตัวอีกครั้ง “พี่ใหญ่ อาฉีขอโทษ ถ้าอาฉีไม่ดื้อและไม่ไร้ประโยชน์ พี่ใหญ่ไม่ต้องลงน้ำช่วยอาฉี และไม่ต้องป่วยหนักขนาดนี้” ใบหน้านี้เต็มไปด้วยน้ำตา เด็กน้อยเช็ดตัวให้พี่สาวด้วยความอ่อนโยนและกล่าวโทษตัวเองไม่หยุด คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะตัวเองไร้ประโยชน์ เป็นตัวซวยอย่างที่บ้านจางกล่าวหา ฉีหลินร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง พอเช็ดตัวให้พี่สาวแล้วก็รีบวิ่งกลับมาในครัวทันที เมื่อมาถึงหม้อข้าวต้มกำลังเดือด ด้วยความไม่เคยทำและไม่รู้ว่าหม้อร้อนแค่ไหน อาฉีจึงหยิบเพียงผ้าบาง ๆ มาจับ ทำให้หม้อข้าวต้มหกเลอะเทอะและกระเด็นถูกตัวเล็กน้อย ด้วยความเป็นห่วงกลัวพี่จะไม่มีอะไรกิน และข้าวที่ต้มเหลือเพียงก้นหม้อ อาฉีจึงทนความเจ็บปวด รีบนำข้าวต้มถ้วยที่เหลือไปป้อนให้กับลี่อินพี่สาวของตน “พี่ใหญ่ตื่นก่อน กินข้าว” ลี่อินได้ยินเสียงน้องชายเรียกก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง และคิดว่านี่น่าจะได้เวลาทำงานแล้ว จึงรีบพยุงร่างของตัวเองลุกขึ้น “กี่โมงแล้วอาฉี” “ไม่รู้ครับ แต่พี่ใหญ่กินข้าวก่อนนะ เดี๋ยวอาฉีจะไปขอยาในคอมมูนให้” “ไม่ได้หรอก พี่ต้องทำงาน อาฉีกินเถอะนะ แล้วนี่ใครทำให้กัน” ลี่อินมองถ้วยข้าวต้มด้วยความสงสัย ในเมื่อเธอป่วยจนลุกไม่ขึ้นแล้วใครกันทำข้าวเช้านี้ “อาฉีทำเอง พี่ใหญ่กินก่อนนะ” “อาฉีกินยัง” “กินแล้ว” นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องโกหกพี่สาว ทำให้เด็กน้อยไม่กล้าสบตาโดยตรง และพยายามไม่ให้ลี่อินเห็นรอยแดงที่โดนข้าวต้มร้อน ๆ ลวก อาจจะเป็นเพราะยังหนักศีรษะเนื่องจากปวดหัวเพราะพิษไข้ เลยไม่ได้สังเกตท่าทางของน้องชายมากนัก ฉีหลินเองหลังจากป้อนข้าวพี่สาวเสร็จแล้วก็รีบวิ่งไปยังคอมมูนทันที ฉีหลินมาถึงคอมมูนก็เพื่อลางานให้ลี่อิน ก่อนจะเอ่ยขอยาให้กับพี่สาว “น้าหัวหน้าครับ พี่ใหญ่ป่วยวันนี้มาทำงานไม่ได้นะครับ” “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอาฉี ลี่อินป่วยเป็นอะไร” หัวหน้าคอมมูนอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ในใจคิดว่าเพราะเกิดจากการทำงานเมื่อวาน “เมื่อวานผมตกน้ำ พี่ใหญ่ลงไปช่วยเลยป่วยครับ” ฉีหลินรักษาคำมั่นสัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องเมื่อวาน เลยไม่คิดจะพูดถึงสาเหตุการตกน้ำของตน “อืม แล้วนี่มีอาหารกินไหม เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ และจะเอายาให้ด้วย” “ขอบคุณครับ” ฉีหลินยืนรออยู่พักหนึ่ง ไม่นานหัวหน้าคอมมูนก็กลับมาพร้อมกล่องอาหารและยา “นี่อาหารเอาไปกินก่อน ยังไงมื้อเที่ยงมาเอาอีกครั้งนะ ฉันจะเตรียมไว้ให้ ส่วนนี่ยาลดไข้ เอาไปให้พี่สาวกินเสีย ไข้จะได้ทุเลา อาฉีเองก็กินด้วยล่ะ เดี๋ยวจะป่วยหนักอีกคน” “ครับหัวหน้าตู้ แต่ผมจะขอทำงานแทนพี่ใหญ่ได้ไหมครับ” ฉีหลินเอ่ยเสียงหนักแน่น เวลานี้พี่สาวป่วยคนที่ต้องทำงานก็ต้องเป็นเขา แต่ขอไปป้อนยาพี่สาวก่อน แล้วค่อยกลับมาทำงาน เด็กน้อยรู้ดีว่าทั้งสองมีเพียงงานในคอมมูนเท่านั้นที่จะช่วยให้มีกิน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม