“เจ้านายทำได้อยู่แล้วค่ะ”
“อาฉีก็เชื่อ พี่ใหญ่เก่ง” พี่ใหญ่จะไม่เก่งได้อย่างไร หากไม่เก่งคงไม่มีพี่สาวเหมยจูเป็นผู้ช่วย นี่คือความคิดของเด็กน้อยวัยห้าขวบ
“ลี่อิน อาฉี ตื่นกันหรือยัง ป้ามาแล้ว”
“ตายแล้ว ป้าต้วนมาแล้วหรือนี่ อาฉี เราออกไปด้านนอกกันเถอะ”
“ครับพี่ใหญ่ ไปก่อนนะพี่เหมยจู”
“เจอกันค่ะเจ้านาย คุณชายน้อยฉีหลิน”
“ตื่นแล้วค่ะป้า ป้ากินอะไรมาหรือยังคะ” ลี่อินเอ่ยถาม ดีนะอาหารเมื่อวานยังเหลืออยู่เลยไม่เป็นที่น่าสงสัยเท่าไร สองพี่น้องได้แต่สบตาและขยิบตาให้กัน
“เรียบร้อยแล้ว แล้วเราสองคนล่ะกินอะไรหรือยัง”
“กินแล้วครับ”
“กินแล้วค่ะ แล้วเราจะไปกันเลยไหมคะ ลี่อินจะได้ไปเอาเงินที่ลุงหัวหน้าหมู่บ้านก่อน” ลี่อินเอ่ยถาม ส่วนเรื่องทำงานเธอจะฝากป้าต้วนไปแจ้งกับหัวหน้าคอมมูน
“อืม ถ้าเรียบร้อยแล้วก็ไปเลย เดี๋ยวไปเจอกันที่รอเกวียนของหมู่บ้านนะ ป้าจะไปลางานก่อน เดี๋ยวป้าจะลาของลี่อินให้ด้วย” นางต้วนตอบกลับ
“ได้ค่ะป้า เดี๋ยวเจอกันที่รอเกวียนนะคะ”
จากนั้นลี่อินพาน้องชายเดินออกจากบ้านเพื่อไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน เธอจะไปเบิกเงินที่ฝากไว้
“มาเอาเงินหรือลี่อิน” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถามเมื่อลี่อินมาถึง เขาเตรียมเงินมารอแล้ว
“ค่ะลุงหัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องเมื่อวานลี่อินขอบคุณนะคะที่ทวงความยุติธรรมคืนให้”
“ขอบคุณครับลุงหัวหน้าหมู่บ้าน” ฉีหลินเอ่ยขอบคุณเช่นกัน
“มีเงินก็อย่าลืมซื้อเครื่องนอนล่ะที่มีอยู่ไม่ค่อยหนาเท่าไร อีกไม่กี่เดือนก็เข้าหน้าหนาวแล้ว ส่วนอาฉีเตรียมเข้าเรียนได้แล้ว อีกไม่นานก็เข้าเกณฑ์ ส่วนเรื่องเข้าเรียนลุงจะติดต่อสอบถามให้ ลี่อินว่ายังไง” ถึงอยากจะให้ฉีหลินเข้าเรียน แต่เขาต้องถามความสมัครใจของลี่อินเสียก่อนว่าจะเอาอย่างไร
“ค่ะลุงหัวหน้าหมู่บ้าน ลี่อินอยากให้น้องเรียน”
“แล้วลี่อินล่ะ ไม่อยากเรียนด้วยหรือ”
“ไม่ค่ะ แม้จะมีเงินหนึ่งร้อยหยวน แต่ต้องกินต้องใช้ทุกวัน อีกอย่างลี่อินค่อยหาหนังสือมาเรียนด้วยตัวเอง พ่อเคยสอนลี่อินอ่านเขียน ลี่อินอยากให้น้องเรียนมากกว่า” ลี่อินตอบกลับอย่างฉะฉาน ตัวเธอเองมีความทรงจำของลี่ซินจึงยังไม่มีความจำเป็นต้องเรียนเหมือนเด็กทั่วไป เพียงแต่ต้องการให้น้องชายได้เรียนก็พอ
“เอาเถอะลุงจะจัดการเรื่องเข้าเรียนของฉีหลินให้ หากมีความคืบหน้าและต้องรายงานตัวเมื่อไรลุงจะรีบแจ้ง” หัวหน้าหมู่บ้านไม่อยากบังคับ เขารู้ดีว่าลี่อินนั้นมีภาระมากกว่าคนทั่วไป เด็กน้อยต้องทำงานหาเงินหาอาหารมาเลี้ยงดูน้องชายเพียงคนเดียว ซึ่งไม่ต่างจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่ยังดีที่ได้เงินจากบ้านจางมาหนึ่งร้อยหยวน
หลังจากพูดคุยและรับเงินมาแล้ว ลี่อินจึงจูงมือน้องชายเดินมายังที่รอเกวียนของหมู่บ้านทันที ไม่นานนางต้วนก็ตามมาเช่นกัน
“เราจะไปไหนกันหรือครับ ป้าต้วน พี่ใหญ่” ฉีหลินไม่เคยออกจากหมู่บ้าน เด็กน้อยมองสองข้างทางด้วยความตื่นเต้นไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ป้ากำลังจะพาอาฉีและลี่อินไปสหกรณ์เพื่อซื้อของใช้ และยังจะพาไปกินอาหารด้วยนะ อาฉีอยากจะกินอะไรหรือลูก” นางต้วนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่กล้าเอ่ยถึงตลาดมืด แม้ในเกวียนแห่งนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่จะซื้อของจากตลาดมืดก็ตาม แต่ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า
“จริงหรือครับ อาฉียังไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลย ไม่คิดว่านอกหมู่บ้านจะมีบ้านคนเยอะเหมือนกัน เอ๊ะ ! นั่นมีร้านขายอาหารด้วย” ฉีหลินกล่าวตามความเป็นจริง ก่อนจะชี้ไม้ชี้มือบอกถึงร้านอาหารด้วยความตื่นเต้น สร้างความเอ็นดูให้กับลี่อินและคนในเกวียนไม่น้อย
“ฉีอยากกินลูกอมไหม ยายไปหาลูกที่ห้างสรรพสินค้า ยายจะซื้อมาฝาก” ยายซืออายุไล่เลี่ยกับย่าจางเอ่ยด้วยความเอ็นดู และขันอาสาว่าจะซื้อลูกอมมาฝากอีกด้วย แต่คำตอบที่ได้รับ กลับสร้างความเอ็นดูให้กับทุกคนยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรครับยาย อาฉีรู้ว่าเงินหายาก และลูกอมมีราคาแพง อาฉีขอรับน้ำใจนะครับ แต่ไม่ต้องซื้อมาฝากอาฉี” ฉีหลินรู้ความยิ่งนัก แม้จะอายุเพียงเท่านี้แต่เขารู้ดีว่าทุกอย่างนั้นมีราคา จึงไม่อยากให้ใครต้องมาเสียเงินแบบไร้เหตุผลเพราะตนเอง
“ตายแล้ว อายุแค่นี้กลับรู้ความยิ่งนัก บ้านสามจางเลี้ยงลูกได้ดีจริง ๆ คนโตแม้จะเป็นหญิงก็รู้จักทำงานและรับผิดชอบหน้าที่ด้วยการเลี้ยงดูน้องชายและทำงานไม่ต่างกับผู้ใหญ่ ส่วนคนเล็กก็รู้ความ ไม่ต้องการเอาเปรียบผู้ใด”
“นั่นสิ หากหลานชายเอางานเอาการได้สักครึ่งหนึ่งของลี่อินฉันจะหาของที่ต้องการมาให้ทุกอย่างเลยล่ะ”
“ฉันด้วย”
“ฉันด้วย หากหลานฉันรู้ความเหมือนอาฉีจะดีแค่ไหนกันเชียว ทุกครั้งที่ฉันเข้าเมือง จะบอกตลอดว่าย่าอย่าลืมขนมนะ ย่าอย่าลืมลูกอมนะ”
ชาวบ้านในเกวียนต่างพูดคุยถึงลูกหลานอย่างอารมณ์ดี ลี่อินและฉีหลินเองก็ยิ้มตามเช่นกัน นางต้วนภูมิใจในตัวเด็กทั้งสองคน แม้เธอจะไม่ใช่ญาติ แต่อดภูมิใจแทนพ่อแม่ที่จากไปของลี่อินและฉีหลินไม่ได้
ไม่นานเกวียนเล่มนี้ก็ถึงจุดหมายปลายทางของทุกคน นางต้วนพาสองพี่น้องเดินลัดเลาะเข้ามาในซอยแคบแห่งหนึ่ง ทว่าเมื่อเดือนมาเรื่อย ๆ พื้นที่กลับใหญ่ขึ้น และมีชายหน้าโหดสองคนยืนเฝ้าประตูทางเข้าอยู่
ทันทีที่บอกรหัสผ่าน ทั้งสองจึงเปิดประตูให้ทั้งสามคนเข้าไป ฉีหลินจับมือพี่สาวแน่น นอกจากสามคนแล้ว ยังมีชาวบ้านอีกหลายคนต้องบอกรหัสและได้เข้ามาเช่นกัน
เมื่อเดินเข้ามาด้านใน ภายในตลาดมืดแห่งนี้มีร้านค้ามากมาย เยอะแยะจนละลานตา ลี่อินและฉีหลินต่างก็มองอย่างตื่นตาตื่นใจ ทั้งสองไม่คิดว่าจะมีสถานที่แบบนี้หลบซ่อนอยู่ในเมือง
ชาวบ้านต่างจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว่ นางต้วนพาทั้งสองคนเข้ามาได้ไม่นานจึงเอ่ยถามว่าจะซื้ออะไรหรือไม่
“อยากซื้ออะไรหรือไม่ลี่อิน”
“ลี่อินอยากได้ผ้านวมสักหน่อยค่ะ แต่ดูราคาน่าจะแพง วันนี้ดูลาดเลาก่อนดีกว่าค่ะ ลี่อินเอาเงินมาแค่สิบหยวน ไม่น่าจะพอซื้อผ้านวม”
ความจริงเวลานี้เธอไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรเลยด้วยซ้ำเพราะในมิติเธอมีทุกอย่างแล้ว และเท่าที่ดู ต่อให้เธอเอาเงินมาทั้งหนึ่งร้อยหยวนหากต้องซื้อผ้านวมก็คงไม่พอเช่นกัน
วันนี้เลยต้องการดูลู่ทางไว้ก่อน เวลาที่ผลผลิตในฟาร์มจำหน่ายได้เธอจะได้ไม่เคว้งว่าต้องทำอย่างไร ขายเท่าไร
“อืม แต่จะเอาเงินของป้าก่อนก็ได้นะ อย่างน้อยซื้อสักหนึ่งผืนก็ยังดี อีกไม่กี่เดือนก็เข้าหน้าหนาวแล้ว”
“อย่าสิ้นเปลืองเลยพี่ใหญ่ วันนั้นชาวบ้านให้เรามาก็หลายผืนนะครับ” ฉีหลินรู้ว่าเวลานี้เขาและพี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรแล้ว และเขาไม่อยากให้พี่ใหญ่เสียเงินด้วย
“จริงอย่างที่อาฉีบอกนะคะป้า อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงหน้าหนาว ถ้าเกิดผ้านวมที่มีไม่พอ ค่อยกลับมาซื้อก็ได้ค่ะ”
สองพี่น้องต่างช่วยกันหาเหตุผลมาปฏิเสธ นางต้วนจึงยอมใจในความมัธยัสถ์ของสองพี่น้อง จึงเลยตามเลย
ลี่อินเก็บประสบการณ์ในครั้งนี้ไว้ในใจ อีกทั้งยังคอยสอดส่องถึงราคาของอาหารและผลผลิตที่ชาวบ้านแอบนำมาขาย ว่าราคาเท่าไร
วันนี้ลี่อินจึงได้ของไปไม่เยอะ แต่ก็นั่นแหละเงินสิบหยวนแทบจะไม่เหลือเช่นกัน
เมื่อทั้งสามได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ทั้งหมดจึงเดินออกมาจากตลาดมืด และแวะร้านอาหารของรัฐเพื่อกินอาหารด้วยกัน
“จานละหนึ่งหยวนราคาไม่น้อยเลยนะเนี่ย” นางต้วนเอ่ยขึ้น แต่พอทำใจได้ในเมื่ออาหารที่พวกเธอเลือกมานั้นมีเนื้อสัตว์ด้วย
“นั่นสิคะป้า ดูเหมือนร้านนี้ไม่ค่อยมีคนเข้าร้านและอาหารมีให้เลือกไม่เยอะ” ลี่อินเห็นด้วย หากราคาหนึ่งหยวนต่อจานแม้จะมีเนื้อสัตว์ แต่มันก็มีเพียงเนื้อไก่เท่านั้น ไม่รู้ว่าร้านนี้เกิดอะไรขึ้น
“น่าจะอยู่ในสภาวะอาหารขาดแคลนนะ เวลานี้เนื้อหมูในตลาดมืดยังปรับราคา พวกที่มาขายก็พวกทำงานในโรงเชือดทั้งนั้น ครั้งนี้ผลผลิตของหมู่บ้านเราเองใช่จะดีเหมือนปีก่อน ๆ” หากไม่มีเงินที่ลูก ๆ ส่งมาให้ก็แย่เหมือนกัน
ลี่อินครุ่นคิดเล็กน้อย เธอพอจะเห็นลู่ทางเรื่องการค้าแล้ว แต่ปัญหาคือเธอเป็นเพียงเด็กแปดขวบ ใครจะมาทำการค้ากับเธอ
เมื่ออาหารมาถึงทั้งสามจึงกินโดยไม่สนทนาอะไรอีก
ในมิติเวลานี้ เหมยจูยังคงทำหน้าที่ของตัวเองไม่หยุด ผลผลิตที่ได้มาก็ไม่น้อย เพียงแต่เลเวลของระบบยังไม่อัปเกรดจึงยังไม่สามารถเอาออกมาได้
“เฮ้อ...ผลผลิตเต็มยุ้งแล้ว เอายังไงต่อล่ะทีนี้ อยากจะช่วยเจ้านาย แต่ก็ทำอะไรได้ไม่มาก” เหมยจูบ่นกับตัวเอง แม้จะมีผลผลิตพอที่จะขาย แต่ไม่สามารถเอาออกมาได้เนื่องจากระบบภายนอกยังไม่เปิดนั่นเอง อีกทั้งเธอยังไม่อัปเกรดเลยไม่รู้เรื่องภายนอกมากนัก
“เอ…เที่ยงนี้เอาอะไรให้เจ้านายทั้งสองกินดีล่ะ ป่านนี้ยังไม่เข้ามาไม่รู้จะหิวหรือยัง โลกมนุษย์นี่ก็แปลกนะ ต้องกินต้องนอนไม่เหมือนเหมยจูเลย” เหมยจูยังคงบ่นกับตัวเอง เวลานี้ยุ้งเก็บของกลับเต็มไปด้วยผลผลิต และไม่สามารถเก็บเพิ่มได้อีกแล้ว
“เช่นนั้นขายเข้าระบบก่อนก็แล้วกัน แม้เงินในนี้จะใช้ไม่ได้ แต่สามารถซื้ออุปกรณ์และที่ดินในระบบเพิ่มได้ เจ้านายอย่าด่าเหมยจูเลยนะคะ” พูดจบเหมยจูจึงขายผลผลิตทั้งหมดเพื่อเก็บเหรียญให้ได้มากที่สุด และรันให้ระบบเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ต่อไป
ทางด้านลี่อิน หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ทั้งสามจึงเดินทางไปรอเกวียนเพื่อกลับเข้าหมู่บ้านทันทีเช่นกัน
กว่าจะกลับมาถึงก็บ่ายแล้ว และคิดว่าหากลี่อินกับนางต้วนกลับไปทำงานคงไม่เต็มเวลา ทั้งหมดจึงแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน
ส่วนลี่อินนั้นพาน้องชายเข้ามิติทันที
“มาแล้วหรือคะเจ้านาย กินอะไรมาหรือยังคะ เหมยจูเตรียมให้”
“กินมาแล้ว ขอบใจนะ” ลี่อินตอบกลับ แต่ไม่วายโดนผู้ช่วยอย่างเหมยจูตอกกลับ จนเธออยากจะทุบเหมยจูจริง ๆ
“ตามสบายเลยค่ะ ไม่ต้องห่วงเหมยจู ไอ้เราอุตส่าห์เตรียมอาหารมื้อเที่ยงไว้ให้ กลัวว่าเจ้านายทั้งสองจะหิว แต่ไม่เป็นไรค่ะ ทิ้ง ๆ ไปเถอะ อาหารในนี้เหลือกินเหลือใช้อยู่แล้ว”
“โอ๋ ๆ นะครับพี่เหมยจู อาฉียังกินอีกได้ครับ พี่เหมยจูเตรียมอะไรให้ครับวันนี้ ต้องของอร่อยแน่เลย อาฉีมีลูกอมมาฝากด้วยนะ แต่พี่เหมยจูกินไม่ได้” ฉีหลินเสียงอ่อยเมื่อถึงประโยคสุดท้าย
“ไม่เป็นไรค่ะคุณชายน้อยฉีหลิน เหมยจูน้อมรับน้ำใจ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว คุณชายน้อยใจดีกับพี่เหมยจูมากเลย ไม่เหมือน…”
“เหมยจู !!!”
“ขาเจ้านายยยย”