บทที่ 2
ณ โรงแรมเดอะธาราแกรนด์โฮเทล...
โรงแรมเดอะธาราแกรนด์โฮเทลเป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาวใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งวันนี้เป็นวันประชุมประจำเดือนของคณะกรรมการโรงแรมโดยมีนีราพรรณเป็นประธานโรงแรม คณะกรรมการทรงคุณวุฒิทุกท่านได้เข้ามานั่งในห้องประชุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้เก้าอี้ท่านประธานของโรงแรมกำลังร้อนฉ่า...ด้วยมีการเปลี่ยนประธานโรงแรมอย่างกะทันหันโดยที่กรรมการทุกคนไม่ทราบข่าวระแคะระคายมาก่อน แต่จู่ๆ เมื่อช่วงเช้าก่อนที่จะเข้าห้องประชุมทุกคนก็ได้รับแจ้งจากกรรมการอาวุโสท่านหนึ่งซึ่งได้แจ้งให้ทราบว่าขณะนี้เดอะธาราแกรนด์โฮเทลได้มีการเปลี่ยนเจ้าของและเปลี่ยนท่านประธานคนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทุกคนรู้แค่เพียงว่าท่านประธานคนใหม่เป็นเจ้าชายในประเทศแถบตะวันออกกลางนามว่า เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์
คุณธนภูมิ กรรมการโรงแรมที่อาวุโสที่สุดได้ยืนรอรับท่านประธานคนใหม่ที่ล็อบบี้ของโรงแรมแต่เพียงผู้เดียว จริงๆ แล้วเขาอยากให้คณะกรรมการทุกท่านได้ลงมาต้อนรับท่านประธานคนใหม่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแต่เขาได้รับคำสั่งจากองครักษ์ของเจ้าชายว่าห้ามทำอะไรที่เป็นการเอิกเกริกเพราะว่าเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ไม่ประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น และเมื่อรถเบ็นซ์คันงามตีวงมาจอดสงบแน่นิ่งหน้าโรงแรมพร้อมด้วยเรือนร่างกำยำหล่อเหลาภูมิฐานบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้ก้าวลงมาจากรถด้วยท่วงท่าสง่างามน่าเกรงขามทำให้กรรมการผู้อาวุโสรู้ว่าบุคคลที่มีอำนาจบารมีแผ่ออกรอบกายคือเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์
ธนภูมิก้าวเท้ายาวๆ เกือบเป็นวิ่งเข้าไปหาบุรุษชาติชาวอาหรับทั้งสองพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ เอ่อ...พะยะค่ะ กระผม...เอ่อ...กระหม่อมธนภูมิครับ”
กรรมการอาวุโสไม่รู้ว่าจะพูดคำราชาศัพท์กับเจ้าชายทรงอำนาจผู้นี้อย่างไรดี คำพูดคำจาที่กล่าวออกมาด้วยภาษาอังฤกษจึงติดๆ ขัดๆ ราชาศัพท์คำสามัญชนคำจนทำเอาองครักษ์เอกอย่างอานีสต์ต้องลอบหัวเราะออกมา
เจ้าชายฮารีฟร์ กวาดสายตาคมกริบดุจพญาอินทรีมองรอบๆ บริเวณโรงแรมที่ตนเองได้เข้ามาเป็นเจ้าของ เดอะธาราแกรนด์โฮเทลจัดว่าเป็นโรงแรมที่สวยงามได้มาตรฐานระดับห้าดาว ทำเลที่ตั้งก็อยู่ในทำเลทองใกล้ย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ จำนวนแขกที่เข้ามาจองห้องพักมีเต็มเกือบทั้งปี รายได้กำไรที่ได้รับจัดว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก หลังจากที่ประชุมกับคณะกรรมการโรงแรมในวันนี้เรียบร้อยแล้วเขาจะให้ทีมบริหารของตนซึ่งนำโดยอานีสต์เข้ามาดูแลโรงแรมเต็มตัว การเป็นโรงแรมระดับห้าดาวยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เดอะธาราแกรนด์โฮเทลภายใต้การบริหารงานของชาวอัลนูรีนต้องเป็นโรงแรมที่มากกว่าห้าดาว...
ธนภูมิหน้าเสียเมื่อกล่าวคำทักทายท่านประธานคนใหม่แล้วยังไม่ได้รับการตอบรับนอกจากนัยน์ตาคมกริบแน่นิ่งที่กวาดมองรอบๆ บริเวณโรงแรม
“เอ่อ...กระผม...กระหม่อมธนภูมิ ชนุดม กรรมการโรงแรมเดอะธาราแกรนด์โฮเทลครับ เอ้ย!...พะยะค่ะ”
“พูดภาษาไทยก็ได้ ข้าฟังออกและก็พูดธรรมดาไม่ต้องพูดราชาศัพท์”
กรรมการผู้อาวุโสเบิกตากว้างเมื่อได้ยินถ้อยคำภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำหลุดออกมาจากริมฝีปากสีสดได้รูปสวยของเจ้าชายผู้ทรงอำนาจ
“เอ่อ...เจ้าชายพูดภาษาไทยได้ด้วยหรือครับ”
ธนภูมิเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจซึ่งเป็นคำถามที่ออกจะโง่เล็กน้อยทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่ก็ได้ยินประโยคภาษาไทยที่ชัดเจน
“ห้องประชุมไปทางไหน”
เจ้าชายฮารีฟร์ ไม่ตอบคำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยของกรรมการโรงแรม เวลานี้เขาต้องการพบเจาะเจอนีราพรรณหญิงสาวชาวสยามแสนงดงามที่เพิ่งจากลากันมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าป่านนี้นีราพรรณจะมาถึงโรงแรมหรือยัง
ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบไร้ความรู้สึกบ่งบอกให้ทราบว่าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของใครทั้งนั้นทำให้ธนภูมิไม่กล้าเอ่ยถามเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ที่บัดนี้ได้กลายมาเป็นเจ้านายของตนเรียบร้อยแล้ว
“เชิญเจ้าชายทางนี้เลยครับ”
ธนภูมิผายมือเชิญค้อมตัวให้เจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างนอบน้อมระคนหวั่นเกรงอำนาจบารมีที่แผ่ออกมาจากเจ้าชายผู้นี้
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ก้าวเดินมั่นคงตามร่างของกรรมการโรงแรมโดยไม่สนใจซุ่มเสียงของบรรดาแขกสาวๆ ที่ต่างก็เอ่ยถึงตัวเขาด้วยน้ำคำที่เต็มไปด้วยความชื่นชมระคนชมชอบ
อานีสต์หัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างขบขำขณะที่แว่วได้ยินคำพูดของลูกค้าโรงแรมกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าอยากเป็นหญิงสาวผู้โชคดีที่ได้ครอบครองหัวใจและเรือนกายกำยำหล่อเหลาของเจ้าเหนือหัวแห่งทะเลทรายสีทอง
“หัวเราะอะไรอานีสต์”
เจ้าชายฮารีฟร์ถลึงตากัดฟันเอ่ยถามองครักษ์เอกด้วยภาษาอาหรับรู้ว่าอานีสต์หัวเราะขำเพราะได้ยินประโยคของสาวๆ ที่พวกเขาได้เดินผ่านมาเมื่อสักครู่
อานีสต์หยุดหัวเราะไปแล้วแต่ยังอมยิ้มให้เจ้าแห่งชีวิตพลางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“กระหม่อมขำแขกของโรงแรมที่เราเดินผ่านมาเมื่อตะกี้ พวกเธอคงคิดว่าพระองค์ฟังภาษาไทยไม่ออกจึงได้เอ่ยชื่นชมแกมหื่นกระหายในตัวพระองค์”
เจ้าชายฮารีฟร์ตีหน้าบึ้งถลึงตาใส่คนที่เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งองครักษ์ผู้จงรักภักดีให้หยุดพูดถึงเรื่องที่เขาไม่ต้องการได้ยินอีก มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาหลายชาติหลายภาษาทั้งนางแบบ ดารา หรือแม้แต่บรรดาไฮโซทั้งหลายที่ต่างก็วิ่งเข้าหาอยากเป็นนกน้อยในกรงทอง แต่หญิงสาวเหล่านี้ไม่มีใครทำให้เขาสนใจใคร่หลงใหลได้แม้แต่ผู้เดียว
“หยุดพูดได้แล้วอานีสต์ เจ้าก็รู้ว่าผู้หญิงเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราสนใจแม้แต่นิดเดียว”
“กระหม่อมทราบพะยะค่ะ แต่กระหม่อมก็ยังอดขำไม่ได้”
อานีสต์เอ่ยตอบกลั้วหัวเราะขณะที่ก้าวตามเจ้าเหนือหัวเข้าไปภายในลิฟท์ที่กรรมการโรงแรมได้กดรออยู่
“เมื่อไหร่พระองค์จะคิดเรื่องมีราชินีคอยนั่งเคียงคู่บนราชบัลลังก์อัลนูรีน กระหม่อมอยากให้พระองค์มีครอบครัวเหมือนกับพระสหายของพระองค์ซึ่งบางคนก็มีลูกหนึ่งลูกสองไปแล้ว”
“พูดมากน่ะอานีสต์”
เจ้าชายฮารีฟร์ขึงตาต่อว่าองครักษ์เอกผู้จงรักภักดี ไม่ได้นึกโกรธโทษอานีสต์ที่เอ่ยพูดเกินหน้าที่การเป็นองครักษ์ ด้วยรู้ว่าอานีสต์เอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วง
อานีสต์ก้าวเข้ามาหยุดยืนภายในลิฟท์เรียบร้อยจากนั้นก็เอ่ยพูดแกมร้องขอเจ้าเหนือหัวของตน
“กระหม่อมอยากให้พระองค์มีราชินีคอยอยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจในยามที่พระองค์เหน็ดเหนื่อยจากภาระกิจทั้งปวง”
การเป็นเจ้าชายองค์โตทำให้เจ้าชายฮารีฟร์ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อประเทศอัลนูรีนเพื่อราษฎรนับล้านของตน การที่คอยอยู่รับใช้เจ้าชายฮารีฟร์แทบจะเรียกว่าตลอดทั้ง 24 ชั่วโมงทำให้เขารู้ว่าเจ้าชายฮารีฟร์ได้เสียสละความสุขส่วนพระองค์ทำงานจนลืมพักลืมเรื่องหัวใจเพียงเพื่อให้ราษฎรทั่วทั้งแผ่นผืนอัลนูรีนได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข
“เราเองก็อยากมีราชินีดังที่เจ้าต้องการและยัดเยียดให้เรามี แต่หญิงสาวที่จะมาเป็นราชินีของเราได้ต้องเข้มแข็งกล้าหาญไม่หวาดหวั่นภยันตรายที่มีอยู่รอบตัวเรา ซึ่งเรายังไม่พบหญิงสาวที่มีคุณสมบัติดังที่เราพูดออกมาแม้แต่คนเดียว”
ขณะที่เอ่ยบอกองครักษ์เอกหัวใจของเจ้าแห่งทะเลทรายก็กระหวัดคำนึงคิดถึงหญิงสาวที่เพิ่งผละจากมาก่อนหน้านี้ ในใจได้ภาวนาให้นีราพรรณเป็นหญิงสาวที่มีความเข้มแข็งมากพอที่จะเผชิญกับอันตรายทุกรูปแบบในขณะที่อยู่เคียงคู่กับเขา
“เอ่อ...พระองค์คิดว่าคุณนีราพรรณจะเข้าข่ายหญิงสาวที่พระองค์ต้องการหรือเปล่าพะยะค่ะ”
อานีสต์เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ กล้าเอ่ยชื่อของหญิงสาวที่เจ้าเหนือหัวของตนพึงพอใจเพราะว่าเขาและเจ้าชายต่างก็สนทนากันด้วยภาษาอาหรับเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่ากรรมการโรงแรมที่ยืนสงบนิ่งภายในลิฟท์จะเข้าใจและรับรู้เรื่องที่เขากับเจ้าชายได้สนทนากัน
“เราภาวนาให้นีราพรรณเป็นเช่นนั้น”
คำตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความของเจ้าชายผู้ทระนงยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเลทรายทำให้องครักษ์เอกถึงกับยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ
อานีสต์กำลังดีใจที่เจ้าชายฮารีฟร์คิดที่จะมีราชินีขึ้นมาบ้างแล้วและเขาเองก็ขอภาวนากับละอองเม็ดทรายสีทองทั่วทั้งอัลนูรีนขอให้นีราพรรณเกิดมาเพื่อเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์
“กระหม่อมขอภาวนาอีกแรงขอให้คุณนีราพรรณคือหญิงสาวที่เกิดมาเพื่อเป็นราชินีคอยเคียงคู่อยู่กับพระองค์”
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะอานีสต์ เจ้าก็รู้ว่าปัญหาภายในตระกูลของเราปัญหาการช่วงชิงราชบัลลังก์จากเจ้าชายชารีฟร์อนุชาของเราเองทำให้เราไม่อาจคิดรักใครได้ในขณะนี้”
เจ้าชายฮารีฟร์ถอนหายใจยาวด้วยความอ่อนล้า เขาไม่เคยปรารถนาราชบัลลังก์อัลนูรีน ไม่ปรารถนาการเป็นเจ้าชายหรือการเป็นประมุขของประเทศ เขาปรารถนาที่จะเป็นสามัญชนธรรมดาที่สามารถรักใครก็ได้ตามที่ใจต้องการ แต่เมื่อเลือกเกิดเลือกทำดังที่ใจปรารถนาไม่ได้ก็จำเป็นต้องรับภาระหน้าที่การเป็นผู้นำของประเทศอัลนูรีนอย่างเลี่ยงไม่ได้และเมื่อได้รับเกียรติอันสูงสุดที่ท่านพ่อได้มอบไว้ให้เขาก็สาบานว่าจะทำให้ดีที่สุด
หลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์แล้วเขาก็มิอาจละทิ้งราษฎรอัลนูรีนของตนได้ เมื่อเอ่ยคำสัตย์สาบานต่อหน้าพระบิดาและราษฎรทั้งประเทศว่าจะปกครองพัฒนาให้อัลนูรีนเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความสุขสงบ ปวงประชาผองอยู่ร่วมกันอย่างสุขสบายภายใต้การปกครองของตน เขาก็ต้องทำให้ได้ดังคำที่ได้เอ่ยสัตย์สาบานไว้
“อานีสต์?...”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยเรียกองครักษ์ด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก นัยน์ตาคมกริบเผยแววเจ็บปวดอ่อนล้าจากปัญหาที่พี่น้องสายเลือดเดียวกันต้องมาเข่นฆ่ากันเอง
“พะยะค่ะพระองค์”
อานีสต์รับคำเบาๆ พร้อมรอรับคำสั่งที่เจ้าเหนือหัวจะเอ่ยสั่งออกมา สีหน้าหล่อเหลาคมเข้มเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวลเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าเหนือหัว
“เราตัดสินใจแล้ว ถ้าหากซารีฟร์กลับมาจากอเมริกา เราจะเดินทางไปที่ชายแดนประเทศ เรากับซารีฟร์จะไปพบชารีฟร์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราต้องคุยกับชารีฟร์ให้ได้”
“กระหม่อมไม่เห็นด้วยกับความคิดของพระองค์ ถ้าหากพระองค์ทั้งสองเดินทางไปยังถิ่นของเจ้าชายชารีฟร์ก็เท่ากับว่ากำลังเดินสู่ความตายชัดๆ”
สีหน้าของอานีสต์ซีดเผือดสายตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับความคิดของเจ้าเหนือหัว องครักษ์ทุกนายที่ทำหน้าที่อารักขาให้กับเจ้าชายฮารีฟร์และเจ้าชายซารีฟร์ต่างก็รู้ดีว่าการเดินทางไปที่ ‘เผ่าคาลีส์’ ไปยังถิ่นที่พำนักของเจ้าชายชารีฟร์เท่ากับว่าเป็นการย่างเท้าเข้าสู่มาตุภูมิของมัจจุราชร้ายที่โหดเหี้ยมที่สุด เจ้าชายชารีฟร์ต้องการชีวิตของเชษฐาทั้งสองยิ่งนัก กาลใดที่ไม่มีเชษฐาทั้งสองพระองค์แล้วเจ้าชายชารีฟร์ก็สามารถขึ้นครองราชบัลลังก์อัลนูรีนได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าอย่าคิดห้ามเราเลยอานีสต์ เราคุยเรื่องนี้กับซารีฟร์ไว้แล้ว ต่อให้ถูกฆ่าตายเรากับซารีฟร์ก็จะไปที่เผ่าคาลีส์ไปพบชารีฟร์และงานนี้เจ้ากับองครักษ์ทุกนายห้ามตามเราไปเด็ดขาด”
เจ้าชายฮารีฟร์ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจพลางเอ่ยตอบองครักษ์ด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าและเมื่อลิฟท์วิ่งมาถึงเป้าหมายคือชั้นบทสุดของโรงแรม เจ้าชายหนุ่มก็ตัดบทสนทนาการเอ่ยท้วงขององครักษ์เอกผู้จงรักภักดีด้วยการเดินออกไปจากลิฟท์ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกกว้าง