บทที่ 4
นีราพรรณเดินโซซัดโซเซราวกับนกปีกหักไปยังรถเก๋งบีเอ็มฯ ของตนเอง ทันทีที่กระเสือกกระสนพาเรือนกายจิตใจอันบอบช้ำที่ก่อเกิดจากการกระทำของมารดาเข้าไปนั่งในรถเก๋งได้ หยาดน้ำตากับเสียงสะอื้นแห่งความเสียใจก็ถูกปลดปล่อยออกมาราวกับทำนบแตก ใบหน้างามที่นองไปด้วยน้ำตาซบลงกับพวงมาลัยรถปล่อยเสียงสะอื้นร่ำไห้ออกมาโดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าใครจะได้ยิน คำพูดประโยคสุดท้ายของมารดายังกึกก้องอยู่ในหัวสมอง
‘ฉันไม่ได้ขายแค่เดอะธาราแกรนด์โฮเทลเท่านั้น แต่ฉันขายบ้านหลังงามที่คุ้มกะลาหัวแกให้กับเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ด้วย’
“วันนี้เป็นวันวิปโยคของฉันหรือไง”
มือบางทุบลงไปหนักๆ ติดกันหลายสิบครั้งบนพวงมาลัยรถยนต์ ริมฝีปากอวบอิ่มสีหวานสั่นระริกตะโกนตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาของตนเองที่พลิกผันแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แม่หลงผู้ชายคนใหม่เอามากๆ ถึงขนาดขายสมบัติทุกอย่างของพ่อเพื่อเอาไปปนเปรอแมงดาที่เกาะชายกระโปรงผู้หญิง แม่ไม่รู้หรอกว่าเวลาที่แม่เผลอ นายอติรุธก็ควงผู้หญิงวัยละอ่อนออกท่องราตรีซึ่งเรื่องนี้เธอเคยเห็นมากับตาแล้ว
น้ำหนาวกับน้ำค้าง น้องสาวฝาแฝดที่น่ารักทั้งสองคงเสียใจมากถ้าหากรู้ว่าแม่มีชายชู้ และคงทนไม่ได้ถ้าหากรู้ว่าแม่ขายสมบัติของพ่อเพื่อเอาเงินไปเลี้ยงผู้ชายคนนั้นและถ้าหากพ่อรู้เรื่องนี้คงทนไม่ได้เช่นเดียวกันอาการของโรคหัวใจต้องกำเริบขึ้นมาแน่นอน เธอจะปิดเรื่องนี้ไว้ จะไม่ให้พ่อและน้องทั้งสองได้รับรู้
นีราพรรณร่ำไห้ให้กับโชคชะตาชีวิตที่ตกต่ำอยู่เป็นเวลานานนับชั่วโมง หัวสมองมึนงงหมุนคว้างไม่รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบกายแม้กระทั่งเสียงโทรศัพท์ของตนเองที่ดังขึ้นเป็นเวลานานเกือบสิบครั้งได้
การที่นีราพรรณจมดิ่งอยู่ในความทุกข์โศกเศร้าโดยไม่สนใจเสียงโทรศัพท์ที่เรียกเข้าทำให้คนที่โทรหาเธอรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียจวนเจียนคลั่ง
“บ้าชะมัด!...เธอทำอะไรอยู่ทำไมถึงไม่รับสาย”
เจ้าชายฮารีฟร์สบถต่อว่านีราพรรณเสียงดังพร้อมกับเดินไปเดินมาหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ภายในห้องทำงานใหญ่ของนีราพรรณราวกับเสือติดจั่น หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นกรรมการอาวุโสคือธนภูมิรวมทั้งคณะกรรมการคนอื่นๆ ได้เข้ามาแสดงความยินดีกับการได้เข้ามาเป็นท่านประธานคนใหม่ การที่คนเหล่านี้เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังทำให้เขาไม่สามารถปลีกตัวออกไปตามนีราพรรณที่หลบออกจากห้องประชุมเป็นคนแรกได้ พอปลีกตัวออกมาได้แล้วเขาก็รีบตรงดิ่งมายังห้องทำงานของหญิงสาว ห้องทำงานใหญ่หรูหราสมฐานะของท่านประธานโรงแรมดูอ้างว้างปราศจากเรือนร่างของเจ้าของห้อง เขาสั่งให้อานีสต์ไปหาเบอร์มือถือของนีราพรรณเป็นการด่วน หลังจากได้เบอร์โทรของหญิงสาวมาแล้วเขาก็กระหน่ำโทรนานนับสิบนาทีแต่ปลายทางก็ไม่ยอมรับสาย
“อานีสต์...เจ้าได้เบอร์โทรของน้ำเหนือมาแค่เบอร์เดียวหรือ”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยถามองครักษ์เอกที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เพื่อรอรับคำสั่ง ขณะที่เอ่ยถามก็ไม่ได้เหลือบสายตามองอานีสต์แต่เพียงนิดเดียว เขายังจดจ่ออยู่กับการโทรศัพท์ไปหานีราพรรณหญิงสาวที่ใจของเจ้าแห่งทะเลทรายกำลังกระหวัดคิดถึง
“กระหม่อมถามคนที่ชื่อธนภูมิแล้วเขาบอกว่าคุณน้ำเหนือใช้เบอร์นี้เบอร์เดียวพะยะค่ะ”
อานีสต์รายงานเสียงราบเรียบพร้อมกับลอบถอนหายใจด้วยความสงสารหญิงสาวที่ชื่อนีราพรรณ เขาภาวนาให้เธออย่าได้รับโทรศัพท์ของเจ้าเหนือหัวของตน มิเช่นนั้นคงถูกพายุอารมณ์ของเจ้าชายฮารีฟร์เล่นงานจนตั้งตัวไม่ทันแน่ แต่เมื่อมาลองคิดอีกทีการที่นีราพรรณจะรับโทรศัพท์หรือไม่รับ ผลก็คงออกมาเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้หญิงสาวคงได้ต้อนรับอารมณ์โกรธราวกับพายุทอร์นาโดของเจ้าชายฮารีฟร์ทันทีที่เดินเข้ามาในโรงแรม
“น้ำเหนือยังอยู่ในโรงแรมหรือเปล่าอานีสต์”
“กระหม่อมถามประชาสัมพันธ์มาเรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่าคุณน้ำเหนือขับรถออกไปข้างนอก คงออกไปทันทีหลังจากที่ออกจากห้องประชุมแล้ว”
อานีสต์เอ่ยรายงาน เขาไม่ได้ออกไปหาแค่เบอร์โทรของหญิงสาวที่เจ้าเหนือหัวต้องตาต้องใจเท่านั้น แต่เขาสืบเสาะหาข้อมูลด้วยว่าหญิงสาวยังอยู่ที่โรงแรมหรือเปล่า
เจ้าชายฮารีฟร์พยักหน้ารับรู้พลางบ่นงึมงำไม่ยอมหยุดเดิน นิ้วเรียวยาวแข็งแกร่งก็ไม่ละความพยายามในการกดโทรหานีราพรรณ
“ทำไมไม่รับสายน่ะ” แล้วจู่ๆ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาของบุรุษชาติอาหรับเจ้าแห่งทะเลทรายก็มีอันต้องซีดเผือดหน้าถอดสีเมื่อเจ้าตัวนึกคิดไปในแง่ร้าย
“หรือว่านีราพรรณ ขับรถไปชนใครอีก”
“คงไม่หรอกพะยะค่ะ พระองค์อย่าได้ทรงคิดในแง่ร้ายเลย กระหม่อมคิดว่า...เอ่อ...คุณนีราพรรณคงเสียใจเรื่องที่เดอะธาราแกรนด์โฮเทลถูกเปลี่ยนมือมาเป็นของพระองค์จึงหลบไปอยู่คนเดียวสักพัก”
อานีสต์เอ่ยตอบพยายามนึกคิดในแง่ดีเอาไว้ก่อน เขาคิดว่านอกจากนีราพรรณจะเสียใจเรื่องโรงแรมที่ต้องตกมาเป็นของคนอื่นแล้วคงเสียใจที่ถูกเจ้าเหนือหัวของตนหักหาญน้ำใจด้วย
เจ้าชายฮารีฟร์ไม่ละความพยายามในการโทรหานีราพรรณ คราวนี้สัญญาณมือถือของปลายทางที่โทรติดแต่ไม่มีใครรับสายกลับแปรเปลี่ยนเป็นสัญญาณการปิดเครื่องแทน
“บ้าชะมัด! น้ำเหนือปิดเครื่องไปแล้ว เจ้าไปตามวาอีน์มาพบเราเดี๋ยวนี้”
เจ้าแห่งทะเลทรายผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยสั่งองครักษ์ด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังใจนึกคิด ทำไมนีราพรรณไม่รับสายทั้งๆ ที่เขาโทรไปนับสิบๆ ครั้งและทำไมเธอต้องปิดเครื่องหนีการติดต่อสื่อสารจากเขาด้วย
“กระหม่อมจะไปตามวาอีน์มาพบพระองค์เดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”
อานีสต์โค้งคำนับรับคำสั่งจากนั้นก็สาวเท้าออกไปจากห้องทำงานใหญ่โดยไม่รอช้า เขานึกไม่ออกว่าเจ้าชายฮารีฟร์ให้ตามวาอีน์หนึ่งในองครักษ์อารักขาความปลอดภัยมาพบด้วยเรื่องใด
ไม่เกินสามนาทีต่อมาวาอีน์องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ก็เข้ามายืนสงบนิ่งหน้าเจ้าแห่งทะเลทรายที่กำลังนั่งหมิ่นๆ อยู่บนโต๊ะทำงานของนีราพรรณ
“พระองค์มีเรื่องใดให้กระหม่อมรับใช้พะยะค่ะ”
น้ำเสียงขององครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่เอื้อนเอ่ยขอรับคำสั่งนั้นเต็มไปด้วยความจงรักภักดีพร้อมทำตามคำสั่งทุกประการของเจ้าเหนือหัวผู้ที่ชุบเลี้ยงตนเองมาโดยไม่หวาดหวั่นว่าเรื่องเหล่านั้นจะอันตรายมากเพียงใด
“เจ้าไปที่บ้านของนีราพรรณดูว่าเธอกลับไปถึงบ้านหรือยัง”
ซุ่มเสียงที่เอ่ยสั่งองครักษ์อาจฟังดูราบเรียบไร้ความรู้สึกสำหรับคนทั่วๆ ไป แต่สำหรับอานีสต์และวาอีน์ไม่คิดเช่นนั้น การรับใช้เจ้าชายฮารีฟร์และราชวงศ์ อัล ริฟาอีลส์มานานตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มทำให้องครักษ์ทั้งสองรับรู้ว่าเจ้าเหนือหัวของตนนั้นเป็นห่วงหญิงสาวชาวสยามเป็นอย่างมาก
วาอีน์หันไปมอบสบตาพลางลอบอมยิ้มอย่างรู้กันให้กับหัวหน้าองครักษ์คนที่เป็นเจ้านายและเพื่อนทุกข์เพื่อนยาก
“กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ และก็จะรายงานให้พระองค์ทราบทันทีที่ไปถึงบ้านของคุณนีราพรรณ”
“ดีมาก ไปได้แล้ว”
เจ้าชายฮารีฟร์โบกมือไล่พร้อมกับเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานของนีราพรรณ ภาพถ่ายในกรอบรูปใบเล็ก 3-4 ภาพที่วางไว้บนโต๊ะทำงานเป็นที่สะดุดตาถูกใจเขาอย่างมาก นิ้วเรียวยาวแข็งแกร่งหยิบภาพถ่ายแต่ละใบขึ้นมาดูเริ่มด้วยภาพถ่ายของครอบครัว ส่วนภาพที่สองเป็นภาพของสามสาวสามพี่น้องซึ่งสวยงดงามชวนพิศคนละแบบ ส่วนภาพสุดท้ายเป็นภาพเดี่ยวของนีราพรรณซึ่งถ่ายที่น้ำตก ภาพนี้นีราพรรณเปิดยิ้มกว้างอย่างเป็นธรรมชาติได้สวยงามสะกดใจเขายิ่งนัก เจ้าชายหนุ่มแย้มยิ้มตรงมุมปากด้วยความพึงพอใจ นิ้วยาวแกะภาพถ่ายของนีราพรรณออกมาจากกรอบรูปจากนั้นก็เอาไปสอดไว้ด้านในกระเป๋าเสื้อสูทหน้าตาเฉย
อานีสต์กลั้นหัวเราะไว้สุดความสามารถจนบ่ากว้างสั่นสะท้าน ใบหน้าหล่อเข้มแดงก่ำไปหมด ถ้าหากเจ้าชายซารีฟร์และองครักษ์คนอื่นๆ มาเห็นเจ้าแห่งอัลนูรีนขโมยภาพของหญิงสาวมาเก็บไว้แนบกายคงได้พากันอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่
ถึงเป็นแน่
“หยุดหัวเราะได้แล้วอานีสต์ ขำอะไรกันนักกันหนา“
เจ้าชายฮารีฟร์ต่อว่าองครักษ์เอกทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอ่านเอกสารกองมหึมาที่วางอยู่เบื้องหน้า เขารู้ว่าอานีสต์แปลกใจขบขำกับการกระทำของเขาเมื่อสักครู่ ใช่ว่ามีแต่อานีสต์ที่แปลกใจ ตัวเขาเองก็แปลกใจในการกระทำของตนเช่นเดียวกัน เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เจ้าแห่งทะเลทรายผู้ยิ่งใหญ่ทระนงไม่จำเป็นต้องขโมยภาพของผู้หญิง มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาหลายชาติหลายภาษาที่ต้องการปรนนิบัติคอยอยู่ใกล้ๆ ไม่เคยมีหญิงใดที่คอยหลบหลีกวิ่งหนีเขาเป็นโยชน์เหมือนนีราพรรณและไม่เคยมีใครเป็นที่ต้องตาต้องใจจนทำให้เขาต้องขโมยภาพของเธอมาเก็บไว้แนบกายใจเช่นดังนีราพรรณมาก่อน
อานีสต์ขยับกายเข้าไปใกล้เรือนร่างใหญ่โตกำยำของเจ้าเหนือหัวนิดหนึ่งจากนั้นก็เอ่ยแซวเจ้าแห่งทะเลทรายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“กระหม่อมแปลกใจการกระทำของพระองค์พะยะค่ะ พระองค์ชอบคุณนีราพรรณใช่ไหมพะยะค่ะ”
เจ้าชายฮารีฟร์เอนกายพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่พลางถอนหายใจยืดยาวก่อนเอ่ยตอบองครักษ์เอกโดยไม่รู้สึกขัดเคืองกับคำเอ่ยแซวของอีกฝ่าย
“อย่าว่าแต่เจ้าเลยอานีสต์ เราเองก็แปลกใจการกระทำและจิตใจของเราเหมือนกัน เรายังจำคำบอกเล่าเรื่องราวความรักของท่านพ่อกับท่านแม่ได้ดี ท่านพ่อบอกว่าครั้งแรกที่ท่านเดินทางมาเมืองไทยและพบกับท่านแม่ ท่านก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือคู่ชีวิต คู่ครองของท่าน บอกตามตรงว่าเราไม่ค่อยเชื่อคำพูดของท่านพ่อสักเท่าไหร่ จนกระทั้งเรามาพบกับนีราพรรณเราถึงได้เข้าใจท่านพ่อ แต่เรารู้สึกได้ว่าความรักของเราคงไม่ราบรื่นเหมือนความรักของท่านพ่อกับท่านแม่ ยังมีเรื่องของชารีฟร์และราษฎรชนเผ่าคาลีส์ที่อยู่ชายแดนประเทศอัลนูรีนที่เป็นภาระยิ่งใหญ่หนักอึ้งที่เราต้องสะสางให้เรียบร้อยก่อนที่จะเสาะแสวงหาความสุขใส่ตัว”
เรือนร่างล่ำสันบึกบึนของเจ้าแห่งทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลลุกขึ้นจากเก้าอี้หนานุ่มพลางสืบเท้าช้าๆ ไปหยุดยืนแน่นิ่งทอดสายตาจ้องมองออกไปนอกตัวอาคารของโรงแรม อยากให้ชารีฟร์ได้รับรู้ว่าเชษฐาทั้งสองเป็นห่วงน้องมากเพียงใด เขาไม่เคยคิดทำร้ายสายเลือดเดียวกัน แต่ในทางกลับกันเขาต้องการให้อนุชาทั้งสองได้นั่งร่วมบนราชบัลลังก์อัลนูรีน ทำไมอนุชาชารีฟร์ไม่เข้าใจและไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้เข้าพบบ้าง