ร่างน้อยที่เหมือนหลับฝันไป ว่านอนอยู่บนปุยนุ่นแสนอบอุ่น เริ่มรู้สึกว่ามีน้ำเย็นมากระทบตัวจึงขยับปลายนิ้วปัดออก ไปด้วยความรำคาญ
“องค์หญิงๆ องค์หญิงเพคะ ทรงได้ยินซาจิหรือไม่เพคะ”
นางกำนัลร้องเรียกองค์หญิงฮิมาวาริ เมื่อเห็นว่าทรงรู้สึกพระองค์ขึ้นมาแล้ว
“อือ! อย่าเสียงดังสิซาจิ ข้าปวดหัว”
ร่างน้อยที่ยังไม่ยอมลืมตาตื่น เพราะรู้สึกเวียนพระเศียร บ่นขึ้นมาเบาๆ
“ปวดหัวหรือเจ้า”
เสียงพูดทุ่มนุ่มอยู่ใกล้ๆใบหู แสนช่างอ่อนหวาน แต่ร่างน้อยนั้นถึงกับรีบลืมตาขึ้นมาพลันเนื่องด้วยเป็นเสียงของบุรุษเพศ
”พวกเจ้า ให้ใครไปตามหมอมาอีกทีซิ”
ร่างสูงตะโกนออกไปโดยที่ฝ่าพระหัตถ์ ยังอังอยู่บนดวงหน้าน้อยๆนั้น
“ไม่ต้องๆเรามิเป็นอันใดมาก พวกเจ้ามิต้องออกไป”
ทรงตรัสเอ่ยเบาๆกับนางกำนัล พร้อมกับดึงฝ่ามือร้อนๆ ออกจากหน้าผากตนเองเบาๆ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ยอมแต่โดยดี ขัดขืนเกร็งข้อมือกดทับไว้ จนร่างน้อยต้องออกแรงอีก เพราะรู้แล้วว่าคนตัวโตนี้กลั่นแกล้ง
“เอามือของท่าน ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!!!”
เสียงตวาดแหว แสดงอาการฉุนขาดเพราะโดนแกล้ง ฝ่ามือร้อนถึงได้ดึงออกไป พร้อมกับเสียงดุของบรรดาพระพี่เลี้ยงที่ดังขึ้นมาแทน
“องค์หญิง อย่าทรงทำกิริยาเช่นนั้นนะเพคะ !!"
"อย่าได้ทำให้ทรงเสียพระทัยนะเพคะ พระคู่หมั้นนั้นทรงเป็นห่วงพระองค์นะเพคะ "
นางกำนัลที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางว่ากล่าวองค์หญิงของตน ด้วยทรงกระทำกิริยาที่ไม่งดงามเลยในยามนี้
“เจ้าคงแข็งแรงดีแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องไปแล้วซินะ”
ร่างสูงยืดตัวขึ้น หลังจากที่ประทับอยู่ข้างเตียงมาเป็นเวลานานแล้ว ขณะกำลังจะออกไป ทรงหันไปเห็นนางกำนัล ออกไปด้านนอกพอดี จึงหันกลับมาล้วงปิ่นปักผมทองคำ ที่สลักลวดลายดอกไม้กุมไว้ในมือตน พร้อมกับมองสบตา ไปที่ร่างน้อย ที่สะบัดหน้าหนีพระองค์ไป อย่างน่ารัก จากที่จะให้ดีๆแล้วกลับออกไป ก็เลยทรงเปลี่ยนใจขึ้นมาเสียแล้ว
"จะขอแกล้งเจ้าเล่นให้หนำใจ แล้วค่อยไปดีกว่า"
ร่างสูงแกล้งเดินไปแล้วสะดุดขาตัวเองหนึ่งครา แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆสาวน้อย จนกลิ่นหอมอ่อนๆรวยรินมาใกล้ๆ สร้างเสียงวี๊ดว๊าย ให้นางกำนัลที่หันมาเห็นได้อย่างดี สร้างความอับอายแก่สาวน้อย จนหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“ต่อไปเจ้าคงตบแต่งกับผู้ใดมิได้แล้วสาวน้อย"
" นางกำนัลของเจ้า หันมาเห็นแล้วว่าข้านอนบนเตียงเดียวกับเจ้าไปเสียแล้ว”
สุรเสียงนุ่มตรัสเบาๆแต่นางกำนัลนั้นได้ยินกันทั่วไปทั้งตำหนัก พร้อมกับไล้มือไปบนเรือนผมงาม ในขณะที่เจ้าร่างน้อยตัวแข็งทื่อ ทรงปักปิ่นปักผมให้เบาๆ แล้วตรัสข้างพระกรรณให้ได้ยินกันสองคนเท่านั้นเอง
“พี่ให้เจ้าแทนของหมั้น ต่อไปจะได้มิมีชายใดได้ยลแม้แต่ขอบเตียงของเจ้าได้อีก “
“ท่าน!!!! "
องค์หญิงน้อยอายแสนอาย ที่พระคู่หมั้นนั้นบังอาจได้ถึงเพียงนี้
“ไม่ต้องไปส่งข้านะ เจ้าคงยังมิหายดี”
กล่าวด้วยแววตาระยิบระยับ พร้อมกับเสด็จดำเนินออกไปต่อหน้านางกำนัลมากมาย
“ว๊ายองค์หญิง พระคู่หมั้น ทรงประทานของหมั้น มาแล้วหรือเพคะ”
บรรดานางกำนัลผู้ร่วมเหตุการณ์พากันกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ จนร่างน้อยหน้าแดงจนขึ้นสีจัด มุดตัวลงไปในพระแท่นบรรทม พร้อมกับออกปากไล่นางกำนัลให้ออกไปในทันที
“พวกเจ้าออกไปซะ ข้าจะนอนแล้ว!! “
หลังจากไล่นางกำนัลออกไป ร่างน้อยก็ผุดออกมาลุกขึ้นประทับนั่งข้างพระแท่น พร้อมกับดึงปิ่นดอกไม้ออกมา จดๆจ้องๆพร้อมกับแย้มสลวลขึ้นมา
”คนบ้า ช่างอวดดีนัก!!!”
เรื่องราวการประทานของหมั้นแสนน่ารัก ของสองพระองค์ ถูกนางกำนัลนำไปถ่ายทอดต่อๆกัน จนไปถึงพระกรรณ ขององค์หญิงใหญ่มิจู ซึ่งยังมิได้เคลื่อนขบวนออกไปยังเมืองของพระสวามีของพระนางเข้า เพราะทรงติดพระราชพิธี หมั้นหมายขององค์หญิงฮิมาวาริ ทำให้องค์หญิงมิจูนั้นแสนริษยายิ่งนัก เนื่องด้วยทรงแอบมองเห็นว่า พระพักตร์ขององค์ชายเทโยงดงามยิ่งนัก ชวนให้ไฝ่ฝันว่า เหตุใดจึงมิเป็นพระองค์เองกันนะที่ได้หมั้นหมาย กับองค์รัชทายาทเทโย แต่กลับเป็นองค์หญิง ที่ยังเยาว์วัยไม่ได้ความนั่น
"ทั้งๆที่ตลอดมาสิ่งใดที่พระองค์ประสงค์ ท่านพ่อมิเคยขัดพระทัยเลยแม้คราหนึ่ง อย่างกระดิ่งทองคำ ที่ท่านพ่อประทานให้นั่นอย่างไรเล่า แม้จะทรงทำหายไป แต่อย่างไรเมื่อพระองค์ทรงโปรด ท่านพ่อก็ทรงให้ช่างหลวงทำขึ้นมาใหม่ และประทานลงมาให้พระองค์เหมือนกับชิ้นเดิมทุกอย่างไป แต่เหตุใดเล่าท่านพ่อจึงส่งพระองค์ให้ไปไกลเยี่ยงนั้น"
คิดแล้วก็แค้นยิ่งนัก เหตุใดทุกสิ่งจึงไม่เป็นดั่งวันวาน เมื่อทำอะไรนางตัวดีไม่ได้ ข้าวของในตำหนักจึงถูกเหวี่ยงลง กระแทกพื้นอย่างรุนแรง
“ทำไม เหตุใดจึงไม่เป็นข้ากัน กรี๊ด ทำไมกัน”
ร่างงามกรีดร้องพร้อมกับทำลายข้าวของ จนยับเยินไม่มีชิ้นดี จนอารมณ์สงบลงแล้วนางจึงได้ คิดแผนการหาทางทำให้พระคู่หมั้นนั้นออกแยกจากกันไปเสีย องค์หญิงมิจู ให้นางกำนัลในตำหนักไปไต่ถามมาว่า องค์ชายเทโยประทับที่ใด แล้วจึงแต่งองค์ให้งดงาม พร้อมกับเดินกรีดกรายออกไปจากบริเวณนั้น แล้วหยุดอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อได้ยินเสียงองค์รัชทายาทกำลังเสด็จมา จึงขยับผืนผ้าของพระองค์พร้อมกับจงใจ เดินไปปะทะกับเรือนร่างแข็งแกร่ง จนเสียการทรงตัว ร่างสูงจึงรองรับร่างงามไว้โดยสัญชาติญาณ
“ว๊าย ขออภัยเพคะ หม่อมฉันมิเห็นว่าพระองค์เสด็จมาทางนี้”
ร่างงามเสแสร้งแบบมีจริตมารยา วงแขนคล้องอยู่บนพระศองาม คล้ายบาดเจ็บอย่างรุนแรงแล้วทรงตัวด้วยองค์เองมิได้ ทั้งๆที่ฝ่าพระหัตถ์อุ่นคลายออกไปเสียนานแล้ว และด้วยความบังเอิญ เจ้าร่างน้อยแสนงามก็เสด็จมาเห็นภาพบาดพระเนตรเข้าพอดี ภาพที่พระคู่หมั้น ทรงกกกอดกับพระพี่นางนั้น ทำให้ร่างน้อยเจ็บแปลบไปทั้งหทัย
"ทั้งๆที่อุทยานหลวงมีทหารและข้าราชบริพารมากมาย เจ้าชายทุเรศนั่นก็ยังหาญกล้า มาฉกฉวยโอกาสกับพี่หญิง!!!"
"เหมือนกับที่เสแสร้งสะดุดล้มใส่พระองค์เช่นวันวาน คิดแล้วก็แค้นตัวเองนักที่เผลอไผลไปหลงไหลได้ปลื้ม กับเจ้าชายจอมกะล่อนนั่น คิดแล้วก็โมโหดำเนินเร็วๆ เดินเลยเข้าไปในอุทยานชั้นใน แล้วนั่งข้างขอบสระน้ำ หยิบก้อนหินชิ้นเล็กๆ ใกล้ๆพระหัตถ์ขว้างออกไปบนผิวน้ำ ยิ่งขว้างยิ่งโมโห จากหินหนึ่งก้อนเป็นสองก้อน จนทรงเหนื่อยหอบขึ้นมา แล้วก็ต้องสะดุ้ง พระหทัยแทบหล่นไปกองที่พื้น เพราะสุรเสียงข้างพระกรรณนั้นเอง
“เหนื่อยแล้วหรือเจ้า พี่นึกว่าเจ้าจะขว้างหิน จนหมดอุทยานเป็นแน่แท้แล้ว พี่เกือบจะให้ทหาร ไปหาก้อนหินที่ไม่ทำร้ายพระหัตถ์องค์หญิงของพี่มาให้เสียด้วยซ้ำ เพราะกลัวมือนุ่มๆของเจ้าจะช้ำไปเสียหมดเสียก่อน”
ใบหน้าคมขยิบดวงเนตรทำดวงตาระยิบระยับส่งมาให้ องค์หญิงฮิมาวาริ