10.เดินป่าและผู้บุกรุก

4518 คำ
‘แล้วถ้าบีนท์ไปเรียนจิมก็จะไม่มีเพื่อนเล่นแล้วนะ’ ‘ใช้ หรือเราจะให้จิมไปเรียนด้วยดีหรือเปล่า’ เหล่าพฤกษาพูดคุยกันเรื่องของจิมที่ตอนนี้กำลังเตรียมตัวออกเดินทางอย่างขยันขันแข่งด้วยสีหน้าที่ชื่นบานจนไม่สามารถปกปิดใบหน้าที่ยิ้มอย่างร่าเริงได้ ‘เรื่องนั้นค่อยว่ากันที่หลัง แต่ข้าว่าเราควรบอกเจ้าหนูนี้ก่อนดีกว่าไหมว่าต้องรอให้มีคนมารับนะ’ เสียงนุ่มลึกพูดแทรกเมื่อมองไปทางเด็กน้อยที่ตอนนี้กำลังเดินไปเดินมาเพื่อหาของเตรียมเดินทางในป่าครั้งนี้ ‘ข้าว่าปล่อยจิมไปเถอะ คงกำลังดีใจอยู่นั้นแหละนะ อุสาจะได้เข้าป่าไปทั้งทีนี่นะก็ต้องร่าเริงเป็นธรรมดาสิถึงจะถูก’ ‘แต่จิมแค่ไปวันเดียวเองนะ ไปแบบวันต่อวันนะแต่เจ้าดูเขาสิเตรียมอย่างกับจะย้ายไปอยู่ป่าแบบนั้นนะ’ ‘เฮอ…ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ข้าว่าไปคราวนี้จิมคงจะได้ของแปลกมาเยอะแน่’ ด้วยความที่พวกเขาเป็นต้นไม้และไม่ใช้ต้นไม้ธรรมดาจึงไปแปลกอะไรที่จะดูออกว่าจิมมีพรสวรรค์เรื่องการควบคุมสัตว์อสูร ถึงแม้ความสามารถนี้จะถูกพูดกันว่าเป็นความสามารถที่ไร้ประโยชน์เพราะพวกมนุษย์มักจะแบ่งชนชั้นกันเองเพื่อให้ตัวเองดูสูงกว่าผู้อื่นทำให้ธาตุที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นธาตุที่สมควรจะได้รับการศึกษาหรือพูดให้ง่ายก็คือเป็นธาตุที่ถูกยอมรับแล้วนั้นก็คือ แสง สายฟ้า ดิน ลม น้ำ ไฟ เพียงเท่านั้น ส่วนธาตุที่ถูกจัดว่าไร้ประโยชน์คือ พฤกษา และธาตุมืด ในแต่ละธาตุก็จะมีสายหรือสายความสามารถของตนแต่กต่างกันออกไป ถึงแม้ว่า 6 ธาตุนี้จะถูกยอมรับแต่ก็ยังมีการแบ่งชนชั้นกันเองในแต่ละธาตุด้วยเช่นคนที่อ่อนแอใช้ธาตุของตัวเองได้ไม่ดีพออะไรแบบนี้ก็มีให้เห็นได้ทั่วไปในเซเดรีย แต่โรงเรียนเซเดรียก็ไม่ได้ปิดกันการแบ่งแยกเพราะทุกคนที่สนใจที่จะเรียนที่เซเดรียก็สามารถเข้ามาเรียนได้ถึงแม้คนในโรงเรียนหรือเพื่อน พี่ จะไม่ชอบหน้าหรือไม่คบค้าสามคมกับคนที่มีธาตุที่อ่อนแอก็ตามที่แต่ก็มีเฉพาะบ้างคนหรือบ้างกลุ่มที่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ก็มี หลังจากที่จิมมาอยู่ที่นี่ เด็กชายก็แทบจะไม่ได้เห็นหน้าของจิ้งจอกดำเลยนับตั้งแต่วันนั้นเพราะจิ้งจอกดำนั้นจะใช้ชีวิตในยามกลางคืนแต่จิมหลับในตอนกลางคืนทำให้เวลาที่จิ้งจอกดำมาหาเด็กชายก็จะหลับแล้วทั้งนั้น เพราะที่เขามาหาก็เพื่อจะดูให้แน่ใจว่าเด็กชายสบายดีหรือเปล่าและเขาก็เป็นคนเสนอตัวเองเพื่อที่จะสอนจิมในเรื่องสัตว์อสูรทั้งหลายในป่าเองด้วยเช่นกัน หลังจากที่เขาได้ช่วยชีวิตเด็กชายเอาไว้จากการถูกปล่อยเอาไว้ในป่าในตอนกลางคืนเมื่อตอนนั้นเขาก็นึกเอ็นดูจิมมากเพราะหน้าตาและนิสัยของเด็กชายทำให้เขานึกถึงลูกชายของตัวเอง และเขาเองที่เป็นคนเอาตัวจิมไปไว้ในป่าชั้นในเพราะกลัวว่าถ้าเกิดปล่อยไว้อาจจะเป็นอันตรายได้โชคดีมากที่หลังจากเด็กชายเข้าไปในป่าชั้นในแล้วธาตุในตัวตื่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวและบวกกับพลังธาตุจากสิ่งต่างๆรอบตัวในเขตของป่าชั้นในที่เด็กชายเป็นคนดูดซึ่งเข้าไปในร่างกายอย่างไม่รู้ตัว โดยปกติแล้วพลังธาตุจากต้นไม้และพืชในเขตป่าชั้นในนั้นมีพลังมากและคนที่ดูดซับเข้าไปอาจจะรับพลังนั้นไม่ไหวอีกทั้งยังไม่บวกับพลังธาตุในกายตีกันเองอีก ซึ่งต่างจากจิมที่มีธาตุพฤกษาอยู่แล้วและเรียกได้ว่ามีมากกว่าเด็กปกติหลายเท่าเลยที่เดียวเมื่อรวมกับธาตุจากต้นไม้รอบๆและอากาศที่ลอยอยู่ในเขตป่าชั้นในแล้วด้วยก็ยิ่งทำให้เด็กชายมีพลังธาตุที่มากกว่าคนปกติจนพรสวรรค์ที่มีอันน้อยนิดด้านการควบคุมสัตว์ก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อจนทำให้เด็กชายปรับร่างกายเพื่อให้อยู่รอดในป่าชั้นในได้เป็นเวลา 2-3 วันโดยที่ไม่ตายได้และนั้นก็เป็นเหตุที่ว่าทำไมจิมถึงสามารถฟังและสื่อสารกับพืชได้ ส่วนเรื่องที่เด็กชายสื่อสารกับสัตว์อสูรได้ก็รวมอยู่ในนั้นด้วยเพราะถึงแม้ตัวจะหลับแต่ร่างกายไม่ได้หลับตามไปด้วย ร่างกายของเด็กคนหนึ่งที่ค่อยๆปรับสภาพให้เข้ากับธรรมชาติบวกกับธาตุในตัวที่เรียกได้ว่าพรสวรรค์แล้วด้วยก็ยิ่งไปจำเป็นที่จะแปลกอะไรที่จิมจะสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่าง อีกด้าน หลังจากที่ไปสืบมาจนรู้ว่าเด็กชายหรือลูกชายคนเล็กของท่านลอร็ดอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเป็นเรื่องจริงเพราะสองผัวเมียคู่นั้นบอกเพียงแค่ว่าเห็นนายน้อยเดินกลับไปที่เดิมทำให้ทั้งคู้เดาว่าคงจะเดินเข้าไปในป่าวาเท็นด้า ที่เขาข้อมูลนี้มาก็เพราะหลังจากที่เดินเข้าไปถามอย่างไม่ปิดบังเจ้าสองคนนั้นก็เรียกให้เขาจ่ายค้าเลี้ยงดูอีกทั้งยังมาพูดถึงบุญคุณที่เลี้ยงดูนายน้อยมาหลายปีและยังมาอ้างอีกว่าต้องเสียไปเท่าไรกว่าเด็กคนนั้นจะโตมาได้เท่านี้ทำให้เขาที่ได้รับเงินมาเพิ่มจากท่านลอร็ดที่เหมือนจะรู้ว่าสองคนผัวเมียนั้นอยากได้อะไรมากที่สุด ทำให้เขาได้เงินเพิ่มมาอีกเพื่อให้ค่าเลี้ยงดูที่สองคนนั้นเลี้ยงดูนายน้อยมาหลายปี จนตอนนี้พวกเขาก็กำลังเดินทางกันอยู่ ด้วยความที่นาบัสอยู่ใกล้กับเมืองเอ็กซ์ตร้ามากที่สุดห่างกันก็เพียงแค่ป่าขั้นก็เท่านั้นทำให้เหล่าทหารคิดกันว่านายน้อยจะต้องเดินเลาะไปตามชายป่าที่ใกล้กับแม่น้ำเพื่อไม่ให้พบเจอสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน ถึงแม้ป่าวาเทนด้าจะมีสัตว์อสูรแค่ระดับ 1-2ก็ตามที่แต่ก็ยังอันตรายกับเด็กและมนุษย์อยู่ดี ทำให้กว่าจะไปถึงก็คงอีก 4-6วันหรืออาจจะเป็นอาทิตย์ก็เป็นได้แต่ถึงอย่างน้อยนั้นเราก็ได้รู้ชื่อของนายน้อยและรูปร่างลักษณะท่าทางแล้ว จากการเดินทางคือเราจะเดินไปตามชายป่าทางทิศตะวันออกแล้วจึงขึ้นเหนือไปที่เมืองริฟ้าด้าจากนั้นเดินทางไปไม่ถึงวันหรือสองวันก็จะถึงเมืองเอ็กซ์ตร้า เพราะเท่าทีคิดมาอย่างดีแล้วพวกเขาคิดว่านายน้อยอาจจะอาศัยอยู่แถวๆหมู่บ้านเล็กๆใกล้กับป่าก็ได้เพราะที่หมู่บ้านนั้นมีตลาดที่ขึ้นชื่ออยู่ด้วยและใกล้ที่สุด ในช่วงเย็นวันนั้น ‘พวกเราตัดสินกันแล้ว’ “ตัดสิน ตัดสินเรื่องอะไรเหรอ” จิมถามซ้ำพร้อมตักข้าวเข้าปาก ‘ก็เรื่องเซเดรียยังไงล่ะ พวกเราคิดว่าเจ้าควรจะไปเรียนที่นั้นนะเด็กน้อยถ้าไม่ปเรียนก็ต้องไปตามหาพ่อของเจ้าเจ้าต้องเลือกมาสักทางนะ’ “อะไรกันอีก จะให้ผมไปตามหาที่ไหนผมไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำอีกอย่างนะผมก็ไม่อยากไปที่ไหนแล้ว ผมอยากจะอยู่ที่นี่กับทุกคนนิ” ‘ไม่ได้หรอก หลายวันมานี้เจ้าอาจจะไม่รู้ว่ามีคนกำลังตามหาตัวเจ้าอยู่นะจิม พวกเขาอาจจะเป็นคนของพ่อเจ้าที่กำลังออกตามหาเจ้าอยู่ก็ได้ ส่วนคนในหมู่บ้านนี้ก็กำลังหาตัวเจ้าอยู่เพราะอยากได้ผลจากพวกเรา ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปเจ้าอาจจะเป็นอันตรายก็ได้เพราะเจ้าไม่รู้ว่าพวกมนุษย์นะมักจะมีความต้องการและความโลภอยู่เสมอนั้นแหละนะ ถ้าเจ้าตามหาพ่อของเจ้าเจอจ้าอยากจะทำอะไรก็ได้ทำ อยากได้อะไรเจ้าก็ได้อีกทั้งพวกเขาก้จะคอยปกป้องไม่ให้เจ้าเป็นอันตราย’ เมื่อพูดมาถึงตอนนี้จิมที่ได้ฟังก็เริ่มมีน้ำตาคลอที่ขอบตาเมื่อรู้ว่าใกล้ถึงเวลาที่เขาจะต้องเดินทางออกตามหาพ่อของตัวเองเพื่อตัวของเขาเองแต่ในความรู้สึกของจิมนั้น เด็กไม่อยากที่จะแยกจากพวกเขาเพระพวกเขาทั้งดูแล สอน และช่วยเหลือมจิมในทุกๆวันซึ่งต่างจากพ่อของเขาเพราะเขาแทบจะไม่เคยเห็นคนคนนั้นเลย ไม่รู้ว่าพ่อของเขาเป็นคนแบบไหน เป็นยังไง หรืออยู่ที่ไหน แต่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ควรออกไปไหนบ่อยเพราะคนอื่นๆมักจะบอกกับเขาเสมอว่าเขาไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นเพราะเขามีพรสวรรค์ที่คนอื่นไม่มีและมันก็อาจจะนำอันตรายมาให้ตัวเขาเองโดยไม่รู้ตัว "แต่ผม ฮึก ไม่อยากไปนิ" 'เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกร้องได้แล้ว อีกตั้งนานกว่าจิมจะไปจะรีบอะไรกันนักกันหน้า' ต้นไม้อีกต้นพูดพร้อมปลอมใจเด็กชาย 'ถ้าถึงวันนั้นแล้วเจ้ากลัวละก็ พวกเราจะให้เมล็ดติดไปด้วย พอถึงที่นั้นเจ้าจะได้เจอกับพวกเราอีกยังไงละ' "จริงนะ" (*_*) 'จริงสิ เจ้าไปไหนพวกเราก็ไปด้วยยังไงละ' "อืม ทีนี้พอผมไปไหน ผมก็แค่เอาเมล็ดไปปลูกใหม่ จากนั้นพวกพี่ก็จะกลับเข้าไปในป่า ใช้ไหม" 'ใช้ แต่พวกเราก็ยังอยู่ด้วยกันอยู่ดีไม่ใช้เหรอ' "ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ยังไม่มาถึงเราไม่ต้องคิดให้เปลืองสมองหรอก เย็นแล้วผมจะไปอาบน้ำกับสกับบี้" จิมพูดด้วยสีหน้าไม่สนใจ 'ใช่ๆ อย่าไปสนใจเจ้านี้พูดเลยจิม ไปอาบน้ำเถอะ อาบน้ำช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดนะ' ต้นไม้อีกต้นพูดสนับสนุน ปกติแล้วคนอื่นๆจะอาบน้ำทั่วไปจากลำธานหรือน้ำที่ไปยกมาจากบ่อน้ำแต่จิมไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเพราะจะมีต้นไม้ที่มาจิมไปเอามาจากป่าสามารถคายน้ำออกมาทางฟองอากาศได้ ทำให้ช่วงเวลาเย็นถึงกลางคืนจะเป็นเวลาที่ดอกไม้สีฟ้าสดบานเพื่อคายฟองอากาศออกมาทำให้ทั่วทั้งบริเวณนั้นจะมีฟองอากาศลอยไปมาอยู่ยิ่งทำให้คนอื่นที่เห็นมองเข้าจะเห็นได้ว่าสวยงามแค่ไหนเพราะผลสะเกล็ดดาวเรื่องแสงออกมาเป็นแสงสีนวลชวนให้หลงไหล ดอกไม้สีฟ้าสดเมื่อสะท้อนกับผลสะเกล็ดดาวแล้วยิ่งทำให้น่ามอง อากาศรอบๆทั่วบริเวณบ้านมีฟองอากาศลอยละล่องไปทั่วทุกพื้นที พอเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าก็จะเห็นหมู่ดาวมากมายระยิบระยับอยู่ทั่วทุกพื้นทีของฟ้า นั้นทำให้ภาพที่เห็นชวนมองจนละสายตาไปไหนไม่เลยเลย ถึงแม้จะมีเพียงแค่เด็กชายคนเดียวเท่านั้นทีเห็นมันก็ตามที 'จิมๆ จิมๆ' สกับบี้ที่กำลังสนุกอยู่บนเปลตะฌกนเรียกเด็กชายเพื่อบ่งบอกว่าตนจะนอนที่เปลในคืนนี้ "ฮืม...จะนอนนี้เหรอ" 'ช่าย ช่าย' สกับบี้ที่พึ่งเริ่มหัดพูดตอบกลับไป 'เจ้านี้นะ นับวันยิ่งเหมือนตัวขี้เกลียดขึ้นทุกวันนะสกับบี้' ต้นไม้อีกต้นที่มีเชือกเปลคล้องอยู่ตอบกลับไป 'เชอะ!' "อะ นอนก็นอน พอตื่นเช้ามาเราก็จะไปเดินเล่นในป่ากันเนอะ" (_ _)(-_-) สกับบี้พยักหน้า 'อีกอย่างนะ คนที่จะมาสอนเจ้าคือเจ้าจิ้งจอกดำนั้นแหละที่จะมาสอน' "จริงเหรอเนี่ย ผมไม่ได้เจอคุณจิ้งจอกมาตั้งนานแนะ 'นอนได้แล้ว ดึกแล้วนะ' ต้นไม้อีกต้นดุ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ จะได้ออกไปเที่ยวแล้ว ไปเที่ยวแล้ว จะไปตามล่าหาขนนุ่มนิ่ม (*_*) 'นอนได้แล้วนะ เลิกคิดเรื่องอื่นที่ไม่้กี่ยวกับเรื่องนอนได้แล้ว' อีกฝ่ายที่รู้ท่าทีของจิมพูดด้วยน้ำเสียงเตือนอย่างรู้ทัน อืม นอนก็นอน เรานี้มันเด็กดีจริงๆเลย...จะได้ไปเที่ยวแล้ว.... ในใจคิดได้อย่างนั้นเด็กชายก็ยิ้มออกมา เช้าอันสดใสแสงแดดที่สาดส่องผ่านใบไม้ใบหญ้าเข้ามาด้านในสะท้อนเข้ากับดวงตาที่ปิดสนิทของเด็กชายที่ไม่มีวี้แววว่าจะตื่นขึ้นมารับแสงอาทิตย์ยามเช้า ครอกฟี้… ‘เจ้าว่าจิมจะตื่นเมื่อไร’ เสียงจากจิ้งจอกสีดำที่มีลวดลายงดงามที่หลังไปจนถึงหางถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ‘เดี๋ยวก็ตื่นแล้วล่ะ เจ้าก็ใจเย็นๆสิ จิมของข้าตื่นเวลานี้ประจำนั้นแหละอีกไม่นานก็ตื่นแล้ว’ ‘นี้พวกเจ้าสอนอะไรเขากันเนี่ย’ คนถามมองด้วยสายตาจับผิด ‘ก็สอนตามปกติไง เจ้ามีอะไรหรือไงถึงมาจับผิดพวกเราแบบนี่นะ’ อีกฝ่ายที่ได้ยินในสิ่งที่แขกพูดเหมือนจับผิดก็ตอบไปด้วยตวามไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดจนเหล่าต้นไม้รอบๆที่เห็นถึงกับถอนหายใจ “งืมๆ งำๆ” จิมที่ตอนนี้เริ่มขยับตัวทำเสียงงืมงำเหมือนเป็นเริ่มจะรู้สึกตัว แต่ก็ไม่ตื่นแต่คนที่ตื่นคือคนที่นอนใกล้อย่างสกับบี้ที่ขยับตัวแล้วค่อยๆลืมตาก่อนจะลุกขึ้นยืนบนเปลแล้วมองไปรอบๆเพื่อหาอะไรสักอย่าง ‘ตื่นแล้วรึเจ้าใบไม้’ จิ้งจอกดำทัก ‘ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว’ “อืม…สกับบี้เช้าแล้วเหรอ” จิมทำเสียงงึมงำแล้วค่อยๆขยับตัว ‘ไปเที่ยว จิมเที่ยว’ “เที่ยว จริงด้วยไปเที่ยว!” เมื่อคิดได้แบบนั้นเด็กชายที่นอนอยู่ดีๆก็เด้งตัวขึ้นพร้อมลุงขึ้นยืนเหมือนพร้อมที่จะออกเดินทาง ‘ท่าทางแบบนี้แปลว่าพร้อมสินะ’ “ฮะ ผมพร้อมมากๆเลยล่ะ” จิมพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนที่จะโกมือเป็นเชิงว่าให้รอก่อนเพราะต้องไปอาบน้ำและกินข้าวก่อนออกเดินทาง อาหารที่ถูกเตรียมเอาไว้ก่อนที่เด็กชายจะตื่นเป็นผลไม้ธรรมดาที่จิมกินเป็นประจำถึงแม้ว่าจะไม่ธรรมดาในสายตาของคนอื่นแต่สำรับเด็กชายมันคือเรื่องธรรมดามากเพราะเขากินทุกวันแบบที่ว่าไม่เคยขาดเลยแม้แต่มื้อเดียว “เอาอะไอไอ้อันอ่อนเอ่ออ่ะ (เราจะไปไหนกันก่อนเหรอฮะ)” เด็กชายพูดทั้งๆที่ของกินมีอยู่เต็มปากกับมืออีกข้างที่ค่อยๆเทน้ำอุ่นลงไปในแก้วเพื่อให้สกับบี้กินเป็นอาหาร ถึงแม้จะมีปากแต่อาหารหลักก็คือน้ำเพราะอย่านั้นสกับบี้ถึงต้องแช่น้ำเพื่อเอาสารอาหารจากน้ำมาหล่อเลี้ยงร่างกายทั้งลำต้น ราก และใบ ‘กินให้หมดก่อนก็ได้ไม่ต้องรีบ วันนี้ข้าจะไม่ได้สอนอะไรมากมายนักหรอกข้ารู้ว่าเจ้าพวกนี้สอนเจ้ามาบ้างแล้วที่เหลือข้าก็แค่อยากให้เจ้าไปเจอกับของจริงก็เท่านั้นแหละ’ “จริงเหรอ แล้วผมจะได้เจอตัวขนฟูไหมฮะ” ‘ตัวขนฟู’ (-_-!) “ใช้ตัวขนฟู อะไรก็ได้ที่มันมีขนนุ่มนิ่ม” เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสามคนก็เริ่มเตรียมตัวที่จะออกเดินทางโดยที่ด้านหลังมีตะกร้าสะพานไปด้วยและก่อนออกเดินทางจิมจะเขียนกระดาษติดไว้ที่หน้าประตูเพื่อว่าบีนท์จะมาหาแล้วหาไม่เจอจะได้รู้ว่าเขาไปไหน คิดถึงจังเลยกลิ่นของดิน กลิ่นลม กลิ่นต้นไม้คิดถึ้งคิดถึง จิ้งจอกดำพาจิมเดินลัดไปไม่ไกลมกนักก็จะพบเห็นสัตว์หลากหลายสายพันธุ์มีอยู่ทั่วไปหมดมีทั้งสัตว์ธรรมดาทั่วไปและสัตว์อสูรโดยส่วนใหญ่สัตว์อสูรที่ป่านี้จะมีแค่ระดับที่ 1-2 เท่านั้น แต่ที่มนุษย์เข้ามาได้ยากก็เพราะต้นไม้บ้างต้นจะมีพิษอยู่ด้วย บ้างต้นเมื่อไปสัมผัสที่ดอกก็จะปล่อยกลิ่นให้สลบไปหรือไม่ก็เป็นอัมพาตเป็นเวลาเกือบวันเลยก็มี ยังไม่รวมกับสัตว์ต่างๆที่อยู่รอบๆอีกทั้งเสือ สิงโต หมี(จะอยู่แถวๆแม่น้ำ) กวาง และอื่นๆอีกมากมายจิ้งจอกที่ระหว่างทางก็สอนเรื่องการแยกระดับของสัตว์อสูรต่างๆว่าควรแยกยังไงและสัตว์มีนิสัยแบบไหนควรพูดจายังไงเมื่ออยู่ใกล้ๆ ‘สัตว์อสูรระดับหนึ่งที่ไม่มีอันตรายก็มีอย่างเช่นกวางกิลที่มลักษณะคล้ายกวางทุกอย่างจะแตกต่างก็เพียงแค่เขาที่อยู่บนหัวของมันจะสามารถเรืองแสงได้ในยามกลางคืนอีกทั้งเขาของมันยังสามารถเอาไปบดเป็นยาเพื่อเสริมความงามสำหรับมนุษย์ก็มี’ “ความงามเหรอ” จิมทำหน้าสงสัย ‘ใช้ความงามพวกมนุษย์เชื่อว่าถ้าเอาเขาของมันไปบดเป็นยาแล้วใช้จะสามารุรักษาผิวพรรณได้นะหรือไม่ก็เอาไปตั้งโชว์พวกมนุษย์ถึงสนใจป่าที่นี่ยังไงล่ะจิม เพราะอย่างนั้นเจ้าต้องไม่เชื่อใจพวกมนุษย์ง่ายๆเข้าใจหรือไม’ “เข้าใจฮะ” จิมขานรับพร้อมกับมองไปรอบๆด้วยความตื่นตา ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจีกับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาผ่านดอกไมใบหญ้ากระทบกับใบไม้สีเขียว กลิ่นต้นหญ้าอ่อนๆโชยมาชวนให้คิดถึง แมลงและสัตว์ขนาดเล็กที่มีปีกต่างบินไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กชายเดินตามจิ้งจอกดำไปข้างหน้าจนเริ่มเข้าไปเรื่อยๆ จนฝีเท้าของสัตว์ที่นำทางเด็กชายหยุดลงสายตามองไปทางด้านขวาทีมีต้นไม้ใบหญ้าเต็มไปหมดเด็กชายมองตามจนเห็นบางอย่างเกาะอยู่ที่ใบไม้สีเขียว ที่มีความสูงเลยตัวของเขาไปอีก สิ่งที่เกาะอยู่ที่ใบสีเขียวมีลักษณะคล้ายสัตว์มีเกล็ดและมีปีก รูปร่างเหมือนมังกรแต่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือของเด็กชายเพียงเท่านั้นมันกำลังพ่นไฟใส่ผลไม้สีแดงสดที่เกาะกิ่งอยู่ไม่ไกลจากมันก็จะค่อยๆกัดเข้าปากไปที่ละนิด จิมที่เห็นอย่างนั้นก็มองด้วยความตื่นตาเพราะคลาวก่อนเขาไม่ได้สนใจสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจึงไม่ได้สังเกตอะไรมากมายนัก สัตว์สี่เท้าที่เมื่อเห็นถึงปฎิกริยาของเด็กตรงหน้าจึงอธิบายสิ่งที่เด็กชายกำลังสนใจอยู่ตอนนี้ให้ฟัง ‘มันคือมักกิล มีขนาดเล็กรูปร่างเหมือนมังกรถึงจะตัวเล็กแต่ความสามารถของมันก็ไม่ได้เล็กตามตัวเพราะไฟที่มันพ่นออกมามีความร้อนสูงมาก มากที่ว่าโดนไฟของมักกิลเพียงไม่กี่วิก็สาารถทำให้เนื้อของเราสุกได้เลยนะรู้ไหม อย่าไปโดนตัวมันละมันไม่ชอบให้โดนสัมผัสมากเท่าไร’ “โห…มันสวยมากเลยนะฮะ ตัวเล็กนิดเดียวเอง” เมื่อได้ยินที่จิ้งจอกดำบอกเด็กชายก็ชักมือที่กำลังจะไปสัมผัสกลับมาทันที พร้อมแสดงสีหน้าประหลาดใจ ดวงตาเปล่งประกายอย่างมีความหวัง ปากอ้าเป็นรูปตัวโอ ‘เอาล่ะเราไปกันต่อ เจ้าพวกนั้นอยากให้เจ้ามาเดินเล่นเพื่อเจ้าจะได้อะไรที่แปลกใช้กลับไปบ้าง เห็นพวกนั้นบอกข้าว่าอีกไม่นานเจ้าจะเดินทางแล้วเอาของติดไม้ติดมือไปด้วยก็ดีนะ’ “จริงเหรอฮะ เอาอะไรไปก็ได้ใช้ไหม” ‘เอากลับไปได้ถ้าพวกเขาอยากให้นะ ไปกันเถอะข้างหน้ามีอย่างอื่นที่ทำให้เจ้าต้องแปลกใจมากเลยล่ะ’ สัตว์อสูรบอกกับจิมก็จะเดินนำออกไป จิมที่เห็นว่าต้องไปต่อก็นึกเสียดายกับมักกิลตัวจิ๋วน่ารักตัวนี้ก่อนจะเดินตามไปด้วยตาละห้อย แต่ก็แสดงออกมาเพียงไม่นานเท่านั้นก็ที่จะเป็นอย่างเดิม เด็กชายเดินตามไปอย่างช้าๆเพราะต้องขอโน้นทีนี้ทีอย่างถูกใจ “นี้คุณต้นไม้ผมของผลของคุณได้ไหมฮะ ผมจะเอาไปปลูกนะฮะ” จิมเดินมาหยุดตรงหน้าต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีผลสีน่ากินจเด็กชายละสายตาไปไม่ได้เลยทำให้จิมต้องเดินไปขออนุญาติเจ้าตัวด้วยสีหน้าตั้งความหวังที่จะได้กินผลสีสวยลงท้อง เจ้าตัวที่เมื่อได้ยินในสิ่งที่เด็กน้อยพูดก็หัวเราะชอบจเพราะไม่เคยเห็นใครมาขอเขาก่อนที่จะเด็ดมันออกจากต้นเขามาก่อนแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไกลับชอบใจจนให้ผลของตนไปเยอะกว่าที่เด็กชายขอเสียอีก “ขอบคุณฮะ ผมจะดูแลมันอย่างดีเลยฮะ อืม…อร่อย” จิมที่ได้รับมาเยอะก็พูดขอบคุณแล้วเอาไปเก็บลงในตะกร้าที่ในตะกร้ามีเจ้าสกับบี้นั่งอยู่ด้านใน จิมที่เก็บเสร็จก็พูดด้วยเสียงอยู่ในลำคอเพราะในปากไม่ว่างก่อนที่จะเดินตามจิ้งจอกดำไป “ง้ำๆ อร่อยนะฮะ กินไหมฮะ” จิมบอกกับสัตว์อสูรสีดำทั้งๆทีในแก้มยังของกินอยู่เต็มปาก ‘ไม่ล่ะ เจ้ากินเถอะเห็นเจ้ากินแค่นี้ข้าก็อิ่มตามแล้ว’ “แค่มองผมจะอิ่มตามได้ยังไง ไม่ลองกินหน่อยเหรอฮะ อร่อยน่า…” เด็กชายพูดพร้อมหยิบผลที่ได้มายื่นไปให้อีกฝ่ายก่อนจะพูดด้วยเสียงใส มองแล้วจะอิ่มจริงๆเหรอ ช่างเถอะไม่กินเราก็จะกินเอง เด็กชายเดินตามจิ้งจอกดำไปเรื่อยๆ ไม่นานก็เดินไปเจอแม่น้ำสายเล็กจากจุดที่เดินมาจากชายป่าจนถึงตอนนี้ระยะทางก็ไม่ได้ห่างไกลมากนักเพราะระหง่างทางที่เดินเด็กชายจะเห็นสัตว์อสูรตามที่ต่างๆ ทำให้บรรยากาศเหมือนกำลังเดินเที่ยวมากกว่าเดินมาเรียนเพราะจิ้งจอกดำที่เป็นคนเดินนำหน้าเด็กชายอยู่นั้นอธิบายเนื่องนู้นทีเรื่องนี้ทีอย่างช้าๆ จิมเจอสัตว์อสูรระดับที่ 1 ในเขตป่าที่นี่มาหลายหลายมีทั้งสีแปลกตา และมีรูปร่างไม่เหมือนสัตว์ทั่วไปและสัตว์ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู๋จริงก็เห็นดับตา “แล้วไหนะสัตว์ขนนุ่ม ไม่เห็นมีเลย” จิมพูดด้วยสีหน้าผิดหวังพร้อมเดินมานั่งใกล้ๆแม่น้ำ ‘สัตว์ขนนุ่มรึ ในป่านี้ไม่มีหรอกจะมีก็แต่ป่าซาเดียนั้นแหละละที่มี ป่าวาเทนด้าจะมีสัตว์อสูรระดับที่ 1กับสัตว์ธรรมดาที่หายากก็เท่านั้นอย่างเช่น นกฟีนิกซ์ มักกิล ภูติก็มีแต่พวกนี้แหละนะ’ “เสียดายจัง” อีกด้าน กลุ่มชายที่เดินมาประมาณ 5-6 คน เดินมาตามทางเพื่อไปที่ท้ายหมู่บ้านจากข้อมูลที่ได้มา กลุ่มชายวัย 40 กว่าปี ที่การแต่งกายเหมือนมีฐานะพอสมควร “แน่ใจนะว่าข้อมูลที่ได้คือทางนี้นะ” ชายคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อมากนัก “แน่ใจสิ เห็นมีคนบอกว่าเด็กนั้นเป็นคนมาอยู่ใหม่ อยู่ที่ท้ายหมู่บ้านนั้นแหละ” “ท้ายหมู่บ้านที่จะมีบ้านเก่าของใครก็ไม่รู้ใช้ไหม” อีกคนถาม “น่าจะใช้นะ ถ้าข้อมูลที่ได้มาเป็นเรื่องจริงเราก็ไม่เสียหายอะไรจริงไหม” ชายตัวอวบพูดพร้อมกับยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงเงินทองที่จะตามมา ไม่นานคนกลุ่มนั้นก็เดินมาถึงจนเห็นบ้านหลังเก่า หลังหนึ่งที่ใกล้กับชายป่ามากที่สุดแต่สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับไม่พบอะไรเลยทั้งห้าคนเห็นแค่ต้นไม้ธรรมดากับบ้านหลังเก่าเท่านั้น “ไหนละ ไม่เห็นมีอะไรเลย” คนแรกที่แต่งกายคล้ายพ่อค้าในตลาดพูดด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ “แต่คนในตลาดที่เห็นเจ้าเด็กนั้นบอกว่าเด็กนั้นอยู่ที่นี่จริงๆนะ” “แปลว่าเจ้าถูกหลอกแล้วไงละ” คนที่สามพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทั้งห้าคนหยุดยืนพร้อมมองบ้านหลังเก่าที่ตั้งอยู่ไม่ไกลโดยที่ไม่ทันได้สังเกตถึงต้นไม้ด้านหลังและหญ้าหนามที่เริ่มเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆจนมาถึงชายวัยกลางคนทั้งห้า ก่อนที่ต้นไม้ด้านหลังและรอบๆเริ่มขยับกิ่งก้านไปหาชายทั้งห้าคนที่กำลีงมีปากมีเสียงกันอยู่ “นี้เราเชื่อไปได้ยังไงเนี่ย เสียเงินค่าโง่ไปตั้งหลายเหรียญ ชิ!” “ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าถูกหลอกนะ” “ก็ไม่ใช้นายหรือไงที่บอกว่าให้จ่ายๆไปเลยนะ เป็นไงล่ะมาถึงไม่มีอะไรเลยมีแต่บ้านหลังเก่าเก็บกับต้นไม้พวกนี้นะ ชิ” คนที่สามเริ่มมีอารมณ์พร้อมชี้นิ้วไปทางบ้านหลังเก่าที่ไม่มีอะไรให้สนใจเลย “เด็กนั้นอาจจะไปเก็บของพวกนั้นในป่าก็ได้นะ ไม่ลองไปดูในบ้านก่อนละเพื่อจะได้อะไรกลับไปขายบ้าง” อีกคนพูดพร้อมเดินไปข้างหน้าเพื่อมุ่งหน้าไปที่ประตูบ้านหลังเก่าที่ถูกลวงตาให้คนด้านนอกเห็นเป็นบ้านที่ไม่มีอะไร แต่เดินไปได้ไม่กี่เก้าก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะเสื้อผ้าถูกเกี่ยวกับอะไรบ้างอย่างจนเสื้อผ้าแถวบริเวณแขนกับคอด้านหลังขาดเป็นทาง “โอ๊ย! อะไรวะเนี่ย” ชายวัยกลางคนอีกคนร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม