“แด๊ดดี๊ ทำไมหอมแก้มราฟาลแค่ครั้งเดียงล่ะครับ ตะกี้ราฟาลหอมแก้มแด๊ดดี๊สองครั้ง แด๊ดดี๊ก็ต้องหอมแก้ม
ราฟาลสองครั้งเหมือนกันครับ”
คราวนี้คีธหัวเราะร่วน เมื่อราฟาลจ้องมองเขาตาขวาง พร้อมกับตีหน้ามุ่ยราวกับไม่พอใจอย่างมากที่ถูกเขาแกล้งเช่นนั้น
‘นิสัยพ่อค้าแท้ๆ เลยนะเจ้าราฟาล’
ผู้เป็นพ่อเอ่ยแซวลูกน้อยอยู่ในใจ ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าตกใจแล้วร้องเสียงหลง ให้มาดามเกรซและแม่บ้าน
แอลลีนได้หัวเราะออกมาเบาๆ เพราะความขบขำ
“โอ๊ะ! แด๊ดดี๊ลืมไป ตะกี้นึกว่าหอมไปสองครั้งแล้ว ถ้างั้นแด๊ดดี๊หอมแก้มราฟาลอีกรอบก็แล้วกันนะครับ”
ว่าแล้วผู้เป็นพ่อก็ยื่นใบหน้าไปหอมแก้มซ้ายขวาและแถมให้ตรงหน้าผากเกลี้ยงๆ ของราฟาลอีกชุดใหญ่ ซึ่งเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้จากราฟาลทันที
“ค่อยยังชั่วหน่อย” ราฟาลหัวเราะคิกคักชอบใจ เมื่อบิดาหอมแก้มและมอบของแถมด้วยการหอมหน้าผากของตนเองด้วย
“ลงได้แล้วเจ้าราฟาล ตัวหนักยังกับช้าง แด๊ดดี๊อุ้มไม่ไหวแล้ว”
คีธแกล้งต่อว่าลูกชาย พร้อมกับวางราฟาลให้ยืนบนพื้น แต่ใช่ว่าราฟาลจะยอมลงง่ายๆ เพราะเจ้าหนูจอมแสบของบ้านได้เอาเท้าเล็กๆ เกี่ยวต้นขายาวแข็งแกร่งของผู้เป็นพ่อไว้แน่น ซึ่งมองดูราวกับลูกลิงกำลังเกาะขาพ่อก็ไม่ปาน
“เจ้าราฟาล ลงได้แล้ว”
คีธทำเสียงฮึ่มๆ ขู่ให้ลูกกลัว แต่ราฟาลกลับหัวเราะร่วนเห็นเป็นเรื่องสนุก และไม่ยอมทำตามคำขู่ของพ่อ ขาทั้งสองยังคงเกี่ยวต้นขาของพ่อไว้ ส่วนต้นแขนเล็กๆ ก็กอดรอบเอวของพ่อแน่น จนผู้เป็นพ่อจำเป็นต้องเดินเข้าไปหามาดามเกรซทั้งๆ ที่ยังมีลูกลิงที่ชื่อราฟาลเกาะต้นขาอยู่เช่นนั้น
“สวัสดีครับคุณแม่”
คีธกล่าวทักทายมารดาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนโซฟาแล้วสวมกอดร่างของมารดาไว้ด้วยความรัก กำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับเขาในยามที่อ่อนล้า ในยามที่เหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่การงาน ก็คือกำลังใจจากมารดา และลูกน้อยที่ยังคงเกาะแข้งเกาะขาเขาไม่เลิก
“อาการคุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ ปวดเท้ามากไหมครับ”
ขณะเอ่ยถามอาการของมารดา คีธเลื่อนฝ่ามือไปจับตรงต้นขาที่ถูกเข้าเฝือกไว้ ด้วยกริยาแสนแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าน้ำหนักมือของตนเองที่วางไปนั้นจะทำให้มารดาเจ็บปวดได้
“ก็มีเจ็บบ้างนะลูก แต่ไม่มากเท่ากับตอนแรกๆ ที่แม่ตกบันไดใหม่ๆ”
มาดามเกรซเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหวานไม่ต่างจากน้ำเย็นที่คอยประโลมใจของผู้เป็นลูกได้เย็นชื่นช่ำ พร้อมกันนั้นก็สวมกอดเรือนร่างใหญ่โตล่ำสันของผู้เป็นอภิชาตบุตรไว้แนบแน่น ก่อนจะหอมแก้มซ้ายขวาของลูกไว้ด้วยความรัก ความ
คิดถึงไม่แพ้กัน
“รอบนี้ไปนานเลยนะคีธ งานเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหมลูก”
ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามหลังจากถ่ายทอดความรัก ความคิดถึงเป็นห่วงเป็นใย ผ่านริมฝีปากที่หอมลงไปบนแก้มสากๆ ทั้งสองข้างของลูกชายผู้หล่อเหลา
“ครับคุณแม่ มีติดขัดบ้างนิดหน่อย แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีครับ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
คีธเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาบางประการในการเดินทางไปเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาต้องเดินทางกลับบ้านล่าช้ากว่ากำหนดอถึง 2-3 วัน
“แม่ไม่เป็นห่วงเรื่องงานหรอกลูก เพราะแม่รู้ว่าคีธนั้นมีความรู้ความสามารถในการบริหารงาน นำพาให้ธุรกิจในเครืออัลเคอร์เมสส์กรุ๊ปของเรา เจริญรุ่งเรืองขึ้นๆ เรื่อย แต่ที่แม่เป็นห่วงนั่นคือตัวของคีธมากกว่า แม่อยากให้คีธพักผ่อนบ้าง แม่กลัวว่าคีธจะเจ็บป่วยต้องนอนแซ่วเดินเหินไปไหนไม่ได้เหมือนแม่นะสิ”
มาดามเกรซเป็นห่วงลูกชายของตน ที่มักจะทำงานแบบลืมพัก หากนางไม่ขอร้องให้พักผ่อนบ้าง เชื่อว่าวันพรุ่งนี้เจ้าพ่ออัลเคอร์เมสส์กรุ๊ป ก็คงขึ้นเครื่องบินเดินทางไปดูแลธุรกิจในเครือทันที
คีธคลี่ยิ้มกว้างรู้ว่ามารดานั้นเป็นห่วงตัวเขามาก ที่ต้องเดินทางบ่อยๆ อีกทั้งยังไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนเหมือนคนอื่น ที่มักจะทำงานแค่ห้าวัน หยุดสองวันเพื่ออยู่ครอบครัว ซึ่งเขาเองก็อยากทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เพราะยังไฟแรง ยังสนุกกับงานที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ จึงทำให้เขาไม่ค่อยอยากหยุดพักสักเท่าไร
แต่เพื่อเป็นการเอาใจมารดาที่กำลังไม่สบาย คีธจึงได้ตกปากรับคำกับท่าน เรื่องการหยุดพัก พับงานยุ่งๆ ไว้ชั่วคราว แล้วอยู่ดูแลท่าน อยู่เล่นกับราฟาล พาเจ้าหนูตัวแสบไปตกปลาล่องเรือเล่นสัก 2-3 วัน ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่กำลังจะถึงนี้
“อืม...เดี๋ยวผมจะส่งใบลาพักร้อนสักอาทิตย์ดีไหมครับคุณแม่ จะได้พาเจ้าแสบของเราไปเที่ยวด้วย”
“เย้ๆ จะได้ไปเที่ยวกับแด๊ดดี๊แล้ว”
พอได้ยินคำว่าไปเที่ยว ราฟาลก็กระโดดโลดเต้นร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ เพราะเกือบสามเดือนแล้วที่ตนเองไม่ได้ไปพักผ่อนเที่ยวเล่นกับบิดาเลย
มาดามเกรซรู้สึกดีใจที่ได้ยินแผนการหยุดพักผ่อนของลูกชาย อีกทั้งยังเป็นสุขใจเมื่อเห็นหลานชายกระโดดร้องตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความดีใจ
“ก็ดีเหมือนกันนะลูก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าใครจะดูแลราฟาล ลำพังคีธคนเดียว เอาไม่อยู่แน่”
พอได้ยินมารดาพูดเช่นนี้ คีธก็พอจะเดาได้เลาๆ แล้วว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่นั้น เจ้าแสบที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นพรมใกล้ๆ กับเท้าของเขานั้นแผลงฤทธิ์เข้าให้อีกแล้ว
“พี่เลี้ยงลาออกอีกแล้วหรือครับคุณแม่”
“ไม่ได้ลาออกหรอกคีธ แต่วิ่งร้องห่มร้องไห้ ออกจากบ้านไปเลย เงินเดือนก็ไม่เอา แม่ต้องสั่งให้แอลลีนจัดการส่งเช็คตามไปให้ทีหลัง”
มาดามเกรซบอกให้ลูกชายทราบ ซึ่งก่อนหน้านี้ระหว่างที่ลูกชายอยู่ต่างประเทศ นางก็ได้โทรไปรายงานความเคลื่อนไหว รายงานความแสบซนของราฟาลให้คีธได้รับรู้ตลอดเวลา
พอได้ยินมารดาเอ่ยพูดเช่นนั้น คีธก็ก้มหน้ามองคนที่นั่งอยู่แทบเท้าตนเอง ก่อนจะเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงห้าวดุ บ่งบอกให้รู้ว่าเตรียมพร้อมจะลงโทษเจ้าแสบในทันทีทันใด
“ราฟาล!”
“ราฟาลไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเขานะครับ แต่ราฟาลไม่ชอบคนนี้ ทั้งแก่ ทั้งปากเหม็นตัวเหม็น แล้วชอบบังคับให้ราฟาลทำโน่นทำนี่ ราฟาลไม่อยากให้เขาเป็นพี่เลี้ยงราฟาล แด๊ดดี๊อย่าทำโทษราฟาลนะครับ ราฟาลขอโทษครับแด๊ดดี๊”
พอรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกลงโทษ ราฟาลก็รีบทำตาปริบๆ เอ่ยไล่เรียงยกเหตุผลต่างๆ นานา ในตอนท้าย นอกจากจะเอ่ยขอโทษแล้ว ยังโผเข้าไปสวมกอดต้นขาและซบหน้าที่ส่อเค้าว่าหล่อเหลาอยู่ไม่น้อย เข้ากับต้นขาของผู้เป็นพ่อไว้แนบแน่น
“เฮ้อ...ให้มันได้ยังงี้สิ พอจะถูกตีทีไรก็ชอบทำตาแดงๆ กะพริบตาปริบๆ ตีหน้าเศร้า แล้วใครจะตีลงล่ะทีนี้”
คีธบ่นเบาๆ กับมารดา ที่เอาแต่ยิ้มกริ่ม กับความเจ้าเล่ห์ของหลานชายหัวแก้วหัวแหวน
“แม่รู้สึกว่านิสัยนี้คุ้นๆ นะ เหมือนราฟาลจะรับนิสัยความเจ้าเล่ห์มากจากคีธเต็มๆ เลย”
มาดามเกรซเอ่ยแซวยิ้มๆ ซึ่งก่อนหน้านี้นางก็มีอาการไม่ต่างจากลูกชาย พอจะยกมือตีราฟาล ก็ตีไม่ลงสักที
ในเมื่อลงมือทำโทษลูกชายด้วยการตีไม่ได้ ก็ใช่ว่าคีธจะละเลยเรื่องการลงโทษลูกน้อย เพื่อไม่ให้ราฟาลติดเป็นนิสัย จึงสั่งให้ราฟาลทำความดีเพื่อเป็นการไถ่โทษของตนเอง
“ราฟาล พ่อมีสองทางเลือกให้กับราฟาล หนึ่งถูกตีโทษฐานที่ราฟาลเกเรแกล้งพี่เลี้ยงของลูกคนแล้วคนเล่า และสอง ให้ไปทำความสะอาดห้องเป็นการไถ่โทษ ราฟาลจะเลือกข้อไหน”
“ข้อสองครับแด๊ดดี๊”
ไม่ต้องให้ผู้เป็นพ่อเอ่ยบอกซ้ำเป็นรอบที่สอง พอเอ่ยเลือกในหัวข้อที่ทำให้ตนเองไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว ราฟาลก็รีบผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของตนเองในทันทีทันใด