บทที่3 คนโง่คือข้าเอง
"ข้าจะเข้าไปด้านใน รออยู่แถวนี้อย่าเถลไถลไกลล่ะ" เฒ่าจันทราหันมาสั่งลูกศิษย์
หลังจากตรากตรำผูกวาสนาให้มนุษย์จำนวนมากตามลิขิตที่เทพลิขิตเขียนมา เขาก็ต้องนำรายงานกลับมาส่งที่ตำหนักสวรรค์หลังจากดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
"ข้าไม่ไปไหนไกลหรอก จะเดินเล่นรอท่านอยู่แถวนี้" หงเหม่ยรีบรับคำ ทันทีที่งานเสร็จ ทุกครั้งอาจารย์ต้องมาเดินทางมาเข้าเฝ้าเง๊กเซียน ด้วยที่นางไม่เคยเดินทางมาที่แห่งนี้เลยสักครั้งตั้งแต่ถือกำเนิดมา จึงใช้เป็นข้ออ้างอ้อนวอนขออาจารย์เพื่อติดตามมาด้วย บอกอยากมีโอกาสสักครั้งที่ได้มายื่นสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นสูงสุด ซึ่งอาจารย์ก็ยอมใจอ่อนให้นางตามมาในครั้งนี้
เมื่อเห็นอาจารย์เดินเข้าไปด้านใน หงเหม่ยเดินเข้าไปหาทหารยามสวรรค์ทันที
"พี่ชาย ข้าถามอะไรหน่อยสิ"
ทหารยามปรายตามองเซียนน้อย แม้จะเพิ่งเคยเห็นนางครั้งแรก แต่เขาก็รู้ว่านางเป็นผู้ติดตามเทพจันทรา คนที่จะเขามายังด้านในสุดของตำหนักได้ต้องได้รับอนุญาต ซึ่งส่งนใหญ่ก็เป็นเทพชั้นสูง
"เจ้าก็ได้ยินเทพจันทราบอกแล้วนิ ว่าอย่าเดินเพ่นพ่าน"
"โถ่พี่สุดหล่อ อาจารย์ข้าบอกอย่าเถลไถล แต่พอท่านพูดกลับกลายเป็นเพ่นพ่านราวกับว่าข้าเกะกะการทำงานของท่านงั้นละ" นางเสร้งตีหน้าเศร้า "ตั้งแต่ข้าถือกำเนิดมา ความฝันสูงสุดคือได้เข้ามาเป็นเซียนรับใช้ในตำหนักสวรรค์แต่ข้าก็ได้เป็นแค่เทพธิดาผูกวาสนาด้ายแดง"
นางตัดพ้อโชคชะตา ด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
"ข้าไม่ได้คิดจะมากวนเวลางานของพี่สุดหล่อเลย ข้าแค่อยากรู้ว่าตำหนักที่เง๊กเซียนประทับเป็นเช่นไร วิจิตรงดงามเพียงใด โอกาสของข้าที่จะมาที่แห่งนี้อีกครั้งคงไม่มีอีกแล้ว"
ทหารยามถอนหายใจ ก็จริงอย่าที่นางว่า เซียนตัวเล็กๆ อย่างนางได้เข้ามาลึกขนาดนี้คงเป็นเรื่องที่เกินคาดฝันแล้วล่ะ เขาหรี่ตามองนางอีกครั้ง พลังวัตรของนางนั่นน้อยนิดแค่ฝ่ามือเดียวเขาก็สามารถหยุดนางได้แล้ว อย่างนางคงไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ใดได้หรอกหรอก
"เจ้าจะไม่ทำข้าเดือดร้อนใช่หรือไม่" เขาถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
"อือๆ ข้าแค่อยากเห็น ท่านแค่ชี้ทางบอกข้า ข้าจะรีบวิ่งไปดูแล้ววิ่งกลับมา ข้ารับปากว่าจะกลับมาก่อนที่อาจารย์ของข้าจะคุยธุระกับเง๊กเซียนฮองเต้เรียบร้อยเสียอีก ข้าจะรีบกลับมาโดยที่ท่านแทบไม่รู้สึกเลยว่าข้าหายไปจากบริเวณนี้" หงเหม่ยรีบรับปาก เอ่ยพูดรวดเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน
"รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน" ทหารยามชี้นิ้วไปยังตำหนักสีทอง ยอดจั่วของตำหนักประดับด้วยมังกรตัวใหญ่
"ขอบคุณ ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สุดหล่อ" หงเหม่ยไม่รอช้า รีบวิ่งออกตัวทันที นางต้องรีบไปรีบกลับก่อนที่อาจารย์จะออกมา
ตำหนักประทับของเง๊กเซียนนั้นอยู่ห่างออกไปเพียงนิดเท่านั้น มองจากจุดเดิมที่นางยืนคุยกับทหารยามก็สามารถมองเห็นได้ จากตอนแรกนางแสร้งทำเป็นเดินชื่นชมตัวอาคารทั้งหมด ค่อยส่งยิ้มกลับไปให้ทหารยามคนนั้นบ้างเป็นบ้างคราก่อนที่ค่อยๆ เดินอ้อมไปด้านข้าง ทำเป็นพิจารณาไม้ทุกแผ่นอิฐทุกก้อนอย่างเพ้อฝัน และเมื่อเห็นว่าทหารยามละความสนใจจากตนแล้ว นางรีบแทรกกายเข้าไปภายในตำหนักอย่างรวดเร็ว
หงเหม่ยรีบมองหาเตาไฟที่ว่า เมื่อพบกว่ามันตั้งอยู่ข้างตั่งอ่านหนังสือ ร่างเล็กรีบสาวเท้าเข้าไปหาเป้าหมายในทันทีนางมีเวลาไม่มากนัก แค่โยนมันลงเตาภาระกิจของนางก็จบสิ้น หากจะว่าคนที่แอบเข้ามาให้ห้องบรรทมของเง๊กเซียนนั้นโง่ ไม่ต้องไปหาจากที่ไหนไกล คนโง่ที่ว่านั่นอยู่ตรงนี้แล้ว นางนี่ล่ะคนโง่คนนั้น
หงเหม่ยรีบดึงห่อผ้าออกจากทรวงอก คลี่ออกอย่างรีบร้อน นางพยายามแกะเอามาเพียงแต่ด้ายแดงที่พันตุ๊กตาแล้วแต่เพียงแกะออกไม่นาน ด้ายนั้นก็กลับไปพันรอบตุ๊กตาอีกครั้ง หงเหม่ยจึงต้องจำใจแอบเอาพวกมันมาด้วย
เอามามันทั้งหมดนั่นล่ะ
โชคดีที่อาจารย์มีตุ๊กตาแบบนี้เรียงรายอยู่หลายคู่หากไม่สังเกตุดีๆ ก็จะไม่รู้ว่ามีคู่ใดที่หายไป และหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนางจะรีบเอากลับไปไว้ที่เดิมและเอาด้ายสีแดงธรรมดาพันเอาไว้วางเอาไว้ กลังจากนั้นจะดำเนินการผูกวาสนาให้หลงเจี้ยนกั๋วต่อ เท่านี้ก็จบอย่างสุขสม
เมื่อสาวด้ายทั้งกลุ่มออกมาจากตุ๊กตาจนหมด หงเหม่ยรีบโยนด้ายทั้งกลุ่มลงเตาไฟโลกัลป์ หวังว่าเรื่องที่อาจารย์พูดนั่นจะเป็นความจริง ไฟนี่จะมำลายด้ายเส้นนี้ได้ ตากลมตามองด้ายแห่งวาสนาค่อยๆ กลายเป็นจุลในเปลวเพลิง
"จ้าวเยว่ชิง ข้ารู้ตัวดีว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นผิดต่อเจ้า แต่หลงเจี้ยนกั๋วเขาเป็นคนดี ให้เขาได้สมหวังกับหลิวชิงชิงสักครั้งเถิด ข้าขอรับรองว่านางจะต้องมีความสุข เขาไม่มีทางและไม่มีวันทำนางเสียใจ หากเจ้าจะโกรธจะเกลียดข้า ข้าก็เข้าใจเจ้า" หงเหม่ยมองเปลวไฟที่ลุกไหม้เส้นด้ายขี้เถ้าจากการไหม้ลอยขึ้นมาเหนือเปลวไฟ สลายไปแล้วสินะวาสนาของจ้าวเยว่ชิงและหลิวชิงชิง นางรู้ตัวดีว่าส่งที่ได้ทำลงไปนั่นผิดมหันต์ แต่แล้วอย่างไร แค่รักเพียงภพเดียวพวกเขาก็สมหวังกันมาไม่รู้กี่ภพแล้วนางแค่อยากให้คนที่นางรักสมหวังสักครั้งเท่านั้น ใครจะว่าข้าเลวที่ตัดวาสนาผู้อื่น ข้าก็ยินดีรับเอาไว้ ข้าเลวอย่างที่ว่าจริงๆนั่นล่ะ
เสียงเดินจากด้านหลังทำหงเหม่หลุดจากพวังนางรีบเร้นกายไปแอบหลังผ้าม่านด้วยใจระทึก ถ้าหากถูกพบเข้า
ตาย ตายแน่ๆ
หงเหม่ยนั่งคู้กายกอดตุ๊กตาเอาไว้แน่นราวกับว่าตนเองนั้นได้กลายเป็นตุ๊กตาไปอีกตัว พยายามหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าให้ถูกผู้ใดพบเข้าเลย
ข้ายังไม่ได้เห็นหลงเจี้ยนกั๋วสมหวังในรักเลย
ไม่นานเสียงด้านนอกก็เงียบลง หงเหม่ยเงี่ยหูฟังอย่างตั้ง เมื่อแน่ใจว่าคนผู้นั้นออกไปแล้ว นางค่อยๆ เงยหน้าคลานเข่าออกมาจากหลังม่าน
"เฮ้อ นึกว่าจะแย่แล้ว รีบออกไปจากที่นี่ดีกว่าหากมีใครเข้ามาอีกได้ตายของจริงแน่คราวนี้" ในเมื่อด้ายแดงก็มอดไหม้ไปแล้วก็ควรจะไปจากที่นี่ได้แล้วไม่ควรอยู่ต่อให้ผู้ใดมาพบเห็น
หงเหม่ยรีบลุกขึ้นเตรียมจะสาวเท้าเล็กๆ โกยแนบหนีความผิด แต่ไม่รู้ว่าเป็นลิขิตสวรรค์หรือมีสิ่งลี้ลับอะไรดลใจให้นางหันกลับไปมองเตาไฟอีกครั้ง
"ไม่"
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของนางในตอนนี้คือตุ๊กตาของหลิวชิงชิงกำลังลุกไหม้อยู่ภายในเตาไฟ หงเหม่ยรีบก้มดูตุ๊กตาที่อยู่ในมือของตนกลับพบว่ามีเพียงตุ๊กตาของจ้าวเยว่ชิงชิงเพียงตัวเดียวเท่านั้น
ตุ๊กตามีดวงวิญญาณของหลิวชิงชิงอยู่