“ไม่จริงหรอกค่ะ มาเรียชอบแบบคุณหนู แข็งแรงและแกร่งพอดูแลปกป้องเราได้”
“มาเรียแค่อวยฉันใช่ไหม สาวๆ ที่ฉันรู้จัก ไม่กล้าเข้าใกล้ฉันสักคน” เบนเดอร์ติง
“ลดการขมวดคิ้ว แล้วก็ยิ้มให้บ่อยขึ้นสิคะ ขี้คร้านสาวๆ จะวิ่งตามคุณหนูเป็นพรวน”
“ไม่ไหวหรอกมาเรีย แบบนั้นศัตรูที่ไหนจะกลัวฉันล่ะ”
“อะพิโธ่ มาเรียลืมไปค่ะ คุณหนูน่ะเป็นมาเฟียนี่นา”
มาเรียตวัดค้อน เสือกจานที่มีขนมปังก้อนกับเนยสดหอมๆ ให้ เบนเดอร์ “ทานสิคะ เพิ่งอบมาใหม่ๆ เลยนะคะ”
“คิดถึงแม่เนอะมาเรีย ถ้าแม่ยังอยู่ ฉันคงมีความสุขกว่านี้” เบนเดอร์เปรย ใช้ส้อมจิ้มขนมปังยัดใส่ปาก หลุบเปลือกตาลง คิดถึงภาพในวันวาน ตอนที่มารดายังมีชีวิตอยู่
“หาเมียสักคนสิคะ รีบมีลูกให้มาเรียเลี้ยงสักที คุณหนูจะได้มีความสุข ไม่ใช่เหนื่อยแทบตายเพื่อใครก็ไม่รู้”
“นั่นสิ ทำไมฉันคิดไม่ได้นะ”
“ใช่ค่ะ มีถูกใจบ้างหรือยังคะ อย่ารีรอเลย เวลาไม่รอท่านะคะคุณหนู”
“มันแย่ตรงฉันยังไม่เจอผู้หญิงที่ถูกใจนี่สิ”
“อย่าเลือกมากสิคะ อายุคุณหนูไม่น้อยแล้ว เรี่ยวแรงไม่เหมือนเก่า จะเอาแรงที่ไหนปั๊มลูกให้มาเรียเลี้ยง”
คำสัพยอกเหมือนดูถูกกลายๆ
“คุณเลียมอีกคน ไม่มองผู้หญิงเลย เมื่อไหร่เดอร์ลาคัวล์จะมีเสียงเด็กร้องไห้ หรือหัวเราะสักทีล่ะคะ”
เบนเดอร์ถอนใจแรงๆ หยุดพูดไปโดยปริยายเมื่อนึกถึงน้องชาย
“คุณหนูให้ใครไปอยู่ที่กระท่อมนั่นคะ มาเรียเห็นใครบางคนเดินเข้าเดินออกตั้งแต่เช้า” เบนเดอร์มองเลยไปยังกระท่อมที่เห็นลิบๆ มีการเคลื่อนไหวจริงๆ ผ้าผืนใหญ่โบกสะบัดอยู่บนราวแขวนหน้าบ้าน ผู้หญิงคนนั้นคงทำความสะอาดบ้าน และยังไม่ตาย
“อย่าให้ใครไปยุ่งกับแม่นั่นนะมาเรีย หล่อนเป็นเชลย”
เบนเดอร์ตอบเสียงแข็ง “ผู้หญิงเหรอคะ” มาเรียพึมพำถาม
“บอกทุกคนในเดอร์ลาคัวล์ด้วย ห้ามพูด ห้ามคุย ห้ามให้การช่วยเหลือเด็ดขาด จนกว่าฉันจะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง”
“ท่าทางเธอไม่ใช่คนเลวอะไรเลยนะคะ” มาเรียเปรย เท่าที่สังเกตดูด้วยตาตัวเองผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นไม่มีลักษณะน่ากลัวหรือชวนให้สงสัย
“บางคนซ่อนความร้ายกาจไว้ข้างในมาเรีย กว่าจะรู้ตัว เราก็พลาดไปแล้ว” เบนเดอร์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบและเกือบสำลักเพราะคำเหน็บแนมของมาเรีย
“เหมือนคุณหนูใช่ไหมคะ”
“ฉันถือเป็นคำชมนะ” เบนเดอร์ไม่ได้ติดใจ คนรอบตัวนินทาเขาลับหลังตลอด การคุมคนมากๆ บางครั้งก็ต้องทำให้คนเกรง
“เชลยก็ควรได้กินอาหารนะคะ มาเรียจะเอาอาหารไปให้ผู้หญิงคนนั้นเอง” ไม่ใช่คำขออนุญาต ท่าทางเฉยชาของมาเรียบอกเป็นนัยๆ ต่อให้เบนเดอร์ห้าม นางก็จะไป
“ตามใจสิ คำสั่งฉันยังเหมือนเดิม ห้ามทุกคนในเดอร์ลาคัวล์ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น” เบนเดอร์สำทับ
ไม่มีใครคัดค้านแม้แต่มาเรีย จนกระทั่งเบนเดอร์อิ่ม เขาเดินกลับห้องพัก คนอื่นๆ ที่เหลือก็สลายตัว
มาเรียหยิบขนมปังแข็งๆ ใส่ตะกร้า มีอาหารเหลือๆ จากเมื่อคืนก่อนอยู่ในกล่องพลาสติก น้ำสะอาดขวดใหญ่ที่น่าจะประทังความหิวได้นานโข “มาเรียสงสารผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ”
สาวใช้ใกล้ตัวถามเสียงแผ่วๆ มาเรียพยักหน้าตอบ “ในฐานะมนุษย์เหมือนกัน ฉันทนเห็นเพื่อนร่วมโลกอดตายไม่ได้หรอก”
“คุณเบนอาจจะไม่พอใจนะคะ”
“นั่นมันปัญหาของคุณหนู ฉันไม่เกี่ยว” มาเรียตอบ
“อยากรู้จังผู้หญิงคนนั้นทำอะไรมา ถึงถูกทรมานแบบนั้น”
มาเรียตวัดตามอง “ฉันแนะนำด้วยความหวังดีนะ อย่าสู่รู้เรื่องเจ้านายเลย ไม่มีประโยชน์อะไรกับตัวเองหรอก”
เห็นเบนเดอร์เฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใจดีทุกครั้ง ผู้ชายเย็นชาอย่างเขา ถูกปลูกฝังชุดความคิดให้เป็นผู้นำ เขาไม่เสียเวลากับเรื่องหยุมหยิม แต่หากเรื่องเหล่านั้นทำให้เขาสะเทือน เบนเดอร์ก็ไม่รีรอที่จะกำจัด
กว่าจะมายืนตรงจุดนี้ได้ เดอร์ลาคัวล์เดินผ่านกองเลือดมามากมายนับไม่ถ้วน
เบนเดอร์คงไม่ชอบใจนัก หากคนในสอดรู้สอดเห็น และอาจเป็นช่องโหว่ให้ศัตรูเห็นจุดอ่อน
“ฉันเปล่านะมาเรีย แค่สงสัย”
“โยนความสงสัยนั่นทิ้งจะปลอดภัยกับตัวเองนะ” มาเรียไม่ได้ขู่ เบนเดอร์พูดจริงทำจริง ไม่อย่างนั้นเขาจะคุมคนโหดๆ ได้ยังไง
มาเรียหมดความสนใจคนในบ้าน นางถือตะกร้าเดินเลาะไปด้านข้าง เกือบสิบนาทีถึงได้มาโผล่ด้านข้างกระท่อมริมหน้าผาได้ “ถือว่าเป็นคนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดีนะ น่าสงสารพิกล”
กองขยะกองใหญ่ด้านข้าง กับลานกว้างๆ ที่ไม่มีใบไม้หลงเหลือ นับว่าเชลยคนนี้ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนรายก่อนๆ หล่อนขจัดความกลัวได้อย่างดีทีเดียว
นิยาดาโผล่หน้าออกมามองหลังจากได้ยินการเคลื่อนไหว เธอถอนใจดังเฮือก เมื่อการเคลื่อนไหวนั่นเกิดจากคนเหมือนกันไม่ใช่สัตว์ร้ายเหมือนที่กลัว หญิงสูงอายุท่าทางกระด้าง แววตาเรียบเฉยสมกับการอยู่ท่ามกลางหมู่คนไม่ดี
“ฉันเอาอาหารมาให้” มาเรียส่งเสียงบอก
นิยาดาเลยยอมเดินออกมาจากด้านใน เธอมองตะกร้าอาหารในมือคนแปลกหน้าด้วยแววตานิ่งๆ
“ไม่ได้คิดจะฆ่านิใช่ไหมคะ”
มาเรียสูดลมหายใจลึกๆ “นั่นมันเรื่องของเธอกับเจ้านายฉัน”
“ขอบคุณค่ะ” นิยาดาพึมพำ ยื่นมือออกไปรับตะกร้านั่นมาถือไว้
“กินกันตายนะ ไม่ได้ดีอะไรหรอก” สายตาของหญิงตรงหน้ามองของกินที่บรรจุอยู่ในตะกร้าและไม่ปริปากพูดอะไรเลย
“แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ นิอยากรู้ เขาจะขังนิไว้แบบนี้อีกนานแค่ไหนคะ”
“ฉันไม่รู้หรอก ไม่ใช่หน้าที่ฉัน”
นิยาดาเม้มปาก มิตรภาพในฐานะเพื่อนมนุษย์ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกปลอดโปร่ง คนอันตรายนั่นยังคุกคามความรู้สึกของเธออยู่ตลอด ผู้ชายคนนั้นฉลาดเหลือเชื่อ เขาบีบบังคับเธอแบบอ้อมๆ โดยไม่แตะต้องเนื้อตัวของเธอเลย
“ที่นี่ที่ไหนคะ” ความอยากรู้ทำให้นิยาดาอดถามไม่ได้
มาเรียมองหญิงตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนลง ท่าทางของเธอไม่ใช่ผู้ร้ายปากแข็งที่สมควรกับบทลงโทษสุดหินเช่นนี้ “เดอร์ลาคัวล์ คฤหาสน์เดอร์ลาคัวล์”
นิยาดาขมวดคิ้ว ชื่อเสียงของตระกูลนี้เธอพอได้ยินมาบ้าง ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะเข้ามาพัวพันกับกลุ่มคนที่ทรงอิทธิพลขนาดนี้ได้ เธอแค่พลัดถิ่นมาหากินเท่านั้นเองนะ
“ทำไมซวยอย่างนี้นะนิ” เธอบ่นพึมพำ
“ทำอะไรมาล่ะ ขโมยของหรือว่าฆ่าคนตาย” มาเรียบตะล่อมถาม
“เปล่านะคะ นิแค่เห็น เอ...หรือว่าไม่เห็นนะ นินึกไม่ออกค่ะ ทุกอย่างมันคลุมเครือบอกไม่ถูก”
“ยังไงกันล่ะ ตกลงทำหรือไม่ได้ทำ”
“ไม่ได้ทำค่ะ แค่บังเอิญโผล่เข้าไปในเหตุการณ์ที่ตัวเองไม่สมควรเสนอหน้าเข้าไปค่ะ” นิยาดาพยายามอธิบาย ภาพที่ผุดขึ้นในหัวเธอยังไม่ปะติดปะต่อเท่าไรนัก
“เธอเห็นอะไรกันแน่”
“ไม่แน่ใจค่ะ แต่น่าจะมีคนตาย” คนคนนั้นอาจจะสำคัญมาก เธอกลายเป็นพยานรู้เห็นเลยถูกควบคุมเอาไว้
“นิสัยชอบสอดรู้ล่ะสิ”
“ไม่เลยค่ะ นิไม่ใช่คนแบบนั้นเลย”
“เอาเถอะ ฉันไม่ใช่คนที่ตัดสินอะไรได้ คงต้องรอให้คนคนนั้นเจรจากับเธอเอง ฉันไปล่ะมีงานรอให้ทำอีกเยอะ” มาเรียตัดบท พร้อมจะเดินจากไป แต่ก็ไม่วายหันมากำราบหญิงแปลกหน้า “อยู่แต่ในกระท่อมล่ะ กลางคืนหมาป่ามันชุม ฉันกลัวว่าเธอจะไม่มีชีวิตรอดกลับไป”
นิยาดาย่นคอหด สีหน้าสยอง ถึงไม่เคยเห็นสัตว์พวกนั้นตัวเป็นๆ แต่เสียงคำรามและดวงตาสีแดงสดที่เฝ้าอยู่ด้านนอก ก็ทำให้เธอขยาดไม่น้อย
“เจ้านายของป้าเป็นมาเฟียเหรอคะ” นิยาดาตะโกนถาม
มาเรียโบกมือตะโกนตอบ “เขาเปิดบ่อนกาสิโน เธอคิดว่าเขาเป็นคนดีไหมล่ะ”
การเอาชีวิตรอดท่ามกลางคนใจโฉด
กินแต่หัวมันเผาเข้าวันที่สอง อาหารที่หญิงแปลกหน้าไม่รู้จักชื่อนำมาให้ช่วยให้ความเครียดของนิยาดาลดลง ขนมปังแข็งๆ นั่นดีกว่าหัวมันเผาเป็นไหนๆ ถึงมันจะแข็งไปสักหน่อยแต่ก็อร่อยไม่ใช่เล่น เนื้อสัตว์ในกล่องพลาสติก นิยาดาอุ่นและเก็บไว้สำหรับกินในมื้อต่อไป มีน้ำขวดใหญ่ที่สะอาดจนไม่กล้ากินทีเดียว