ยังใส่ใจคนอื่นมากมายขนาดไหน...ปัจจุบันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย…
เรียกได้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทำให้สิรดนย์หุบยิ้มไม่ลงจริง ๆ จากที่ประทับใจอยู่แล้วกลับประทับใจมากขึ้นไปอีก เพราะทั้งหมดทั้งมวลพิสูจน์ได้ดีกว่าคำพูดไหน ๆ ของโปรดปราน ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลืมเขาลงไปเลยแม้แต่น้อย
ทั้งยังจำรายละเอียดเล็ก ๆ ได้ อย่างเช่นการที่เขาชอบทานข้าวผัดกับไข่เจียว
ร่างสูงมองรอบ ๆ ทุกคนทานข้าวผัดเหมือนกันแทบจะทั้งหมด ของบางคนก็มีไข่ดาว ของบางคนก็มีพริกแห้ง ก่อนเขาจะกลับมามองคนที่อยู่ดี ๆ ก็ยอมว่าง่าย นั่งทานข้าวกับเขาโดยไม่ขัดขืนเสียอย่างนั้น
โปรดปรานทานอาหารของตนเองเงียบ ๆ พลางครุ่นคิดว่าเธอจะเริ่มต้นพูดกับอีกฝ่ายอย่างไรดีในเรื่องการทำงานและผู้คนรอบตัวของเธอที่เธอพยายามรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุด เธอรู้ตัวว่ามันไม่ใช่เรื่องดีที่จะแคร์ทุก ๆ คนและทุก ๆ อย่างรอบกาย แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ? ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุข สบายใจ แล้วยังทำให้เธอได้รับแต่สิ่งดี ๆ เหมือนที่เธอมอบให้แต่สิ่งดี ๆ เช่นเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทุกครั้งก็ตามแต่
แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือหนาเอื้อมมาตักเจ้าหัวหอมที่เธอหน่ายจะเขี่ยมันออกจากจาน เลยได้แต่พยายามตักส่วนอื่น ๆ แทน ดวงตากลมโตสบตาเข้ากับอีกฝ่ายอย่างจังโดยไม่ทันตั้งตัว
สิรดนย์ชะงักไปไม่ต่างจากตัวเธอ เขาเอามันเข้าปากด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ จนดูตลกอยู่ไม่น้อย
“เธอไม่ชอบหัวหอมไม่ใช่หรอ?”
ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันเนี่ย
อยากจะยิ้มออกมา แต่อีกใจก็ไม่อยากยิ้ม พลันจะสบตามองกลับรู้สึกกระดากขึ้นมาอย่างนั้น มือไม้ดูพันกันมั่วซั่วไปหมด จัดการร่างกายตนเองไม่ค่อยถูกเลย
หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นตุบตับเสียรุนแรงเหมือนจะกระดอนออกมา
โปรดปรานไม่ได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่าสิรดนย์จะจำได้...เช่นเดียวกับที่เธอจำได้ว่าเขาชอบทานอะไร
“ดนย์ ฉันพูดจริง ๆ นะ” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้สิรดนย์หลุดยิ้มออกมาอย่างยินดี เขาเท้าคางตั้งใจฟังอีกฝ่ายทันตา ในขณะที่โปรดปรานได้แต่เหลือบตามองด้วยความหมั่นไส้ พวกคนที่รู้ตัวว่าตัวเองหล่อแล้วก็เลือกจะทำอะไรที่ขับภาพลักษณ์ตัวเองนี่มันเจ้าเล่ห์เจ้ากลเสียจริง
“ว่าไง”
“ฉันไม่ว่านะ ถ้าหากนายจะแกล้ง หรือวุ่นวายกับฉัน ถึงฉันจะไม่ชอบเท่าไหร่ก็ตามเถอะ แต่อย่าให้มันกระทบกับการทำงานหรือคนอื่นได้ไหม”
“...”
“ฉันยอมรับตรง ๆ ว่าฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไรจากฉัน หรืออยากมาทำงานร่วมกับฉันจริง ๆ แต่เราคุยกันได้นี่ พวกเราโตกันแล้วนะ”
“แล้วเธอตอบแชทฉันที่ไหนล่ะ?”
เออว่ะ
โปรดปรานที่กำลังจริงจังได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ มองคนข้างกายที่หยิบโทรศัพท์เครื่องหรูมาโชว์แชทให้เธอดูว่าเจ้าตัวส่งข้อความมาหาเธอเกือบ 6 ข้อความ โดยไม่มีการตอบกลับของตัวเธอแม้แต่น้อย จนเธอได้แต่ยิ้มแหะ ๆ
ว่าแต่ไอ้ชื่อที่เมมว่ายัยอวบกับรูปหมูนั่นมันคืออะไรกัน... เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้
“ก็นึกว่าไม่มีอะไรสลักสำคัญ จะคุยเรื่องงานก็บอกก่อนสิว่าคุยเรื่องงาน” โปรดปรานอ้อมแอ้มตอบ “แต่ครั้งนี้ฉันไม่โอเคจริง ๆ ...หมายถึงเรื่องที่นายไปคุยกับคุณมิวเอาไว้ หากจะตกลงหรือต้องการอะไรแบบไหน ไว้ทำในงานอื่นเถอะนะ ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาซวยเพราะฉันเลย”
คำพูดของโปรดปรานทำให้ตัวสิรดนย์คิดได้จริง ๆ นั่นล่ะ เขารู้ตัวมาตลอดว่าเขามันช่างเอาแต่ใจเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังเชื่อว่าไม่มีอะไรยากเกินกว่าความพยายามเลย เพราะขนาดธุรกิจสตาร์ทอัปที่เขาเริ่มต้นทำมาได้สามสี่ปี ญาติผู้ใหญ่ที่โคราชก็ต่างพากันมองอย่างคลางแคลงใจว่าจะรอดหรือไม่ แต่ท้ายที่สุด มันก็ถูกดำเนินไปได้ด้วยดีแม้จะมีติดขัดไปบ้างในบางครั้ง ตามประสาบริษัทเล็ก ๆ ที่เพิ่งตั้งตัวได้ไม่นาน
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เข้าใจดีจริง ๆ กับสิ่งที่โปรดปรานต้องการจะสื่อสาร
“เข้าใจแล้ว ขอโทษเธอด้วยนะ” คำพูดของสิรดนย์ทำเอาโปรดปรานเบิกตากว้างหันไปมองอีกฝ่ายทันทีด้วยความตกอกตกใจยิ่งกว่าตอนเจอกันครั้งแรกเสียอีก
สิรดนย์ขอโทษ?
สิรดนย์เนี่ยนะ??
คนอย่างดนย์จอมแกล้งที่แกล้งเธอตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้าไปเลยน่ะนะ???
สีหน้าเหมือนเห็นผีของโปรดปรานทำเอาชายหนุ่มหุบยิ้มฉับ ดวงตาคมกริบดั่งจิ้งจอกมองแม่ผู้จัดการสาวด้วยสีหน้าไม่พอใจนิด ๆ เห็นอย่างนั้นโปรดปรานถึงได้รู้ตัวแล้วโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน
“ไม่ ๆ ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณดนย์” เธอพูดพลางส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้คนข้างกายที่ยังคงกินหัวหอมที่ตักไปจากจานของเธออยู่
“แต่ผมเป็น”
“...”
“ค่าตอบแทนของการที่ผมจะต้องเปลี่ยนใจและไปคุยกับคุณมิวใหม่”
ถึงจะยังไม่รู้ก็ตามว่าสิรดนย์กำลังจะพูดต่อว่าอะไร
แต่โปรดปรานรู้ดี ว่านี่ไม่ดีต่อใจตนเองสักนิด
“เธอต้องไปทานข้าวกับฉันเย็นวันศุกร์นี้นะ”