สิรดนย์มีเรื่องไม่สบายใจ#2

1303 คำ
โปรดปรานถึงกับชะงักงันไปเมื่อเห็นข้อความสุดท้าย ภาพวันวานในอดีตฉายซ้อนทับในความทรงจำราวกับหนังม้วนเก่าที่นำมาฉายซ้ำอีกครั้ง ภาพที่สิรดนย์แชร์หูฟังเครื่องเล่น mp3 ใหม่เอี่ยมให้เธอได้ฟังด้วยตอนเข้าแถวตอนเช้าในวันที่มีพิธีการน่าเบื่อยังเป็นหนึ่งในความทรงจำที่โปรดปรานไม่เคยลืม โดยเฉพาะเพลงโปรดของเธอตั้งแต่เมื่อก่อน…ที่ได้รู้จักเพราะสิรดนย์ PP: ว่าง ๆ ค่อยกลับไปเยี่ยมละกัน PP: พูดละคิดถึงเพลงของ Big Ass S. Autsawathada: พรหมลิขิตหรอ? PP: ช่าย จำได้ด้วยหรอ? S. Autsawathada: จำได้สิ เห็นร้องเป็นอยู่เพลงเดียว PP: ร้องเพลงอื่นเป็นด้วยเหอะ S. Autsawathada: ขี้โม้ S. Autsawathada: พน.ไปโคราชกันไหม PP: ฉันมีงานต้องทำนะ S. Autsawathada: วันเดียวเอง PP: นายไปเถอะ ฝากสวัสดีคุณน้าด้วย PP: ไปกินมาม่าต่อแล้ว เส้นอืดเป็นหนอนแล้วเนี่ย S. Autsawathada: สมน้ำหน้า โปรดปรานแลบลิ้นใส่คนในโทรศัพท์ด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันมาดูซีรีส์และทานอาหารตรงหน้าต่อ แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องกุมขมับ …เมื่อกี้ที่ดูอยู่มันถึงตอนไหนแล้วนะ สุดท้ายโปรดปรานก็ต้องเริ่มดูตอนนี้ใหม่ตั้งแต่ต้นอย่างช่วยไม่ได้เลย… . . . . . สิรดนย์ยืดเส้นยืดสายน้อย ๆ หลังจากที่ขับรถติดต่อกันเป็นเวลานานจากกรุงเทพมายังโคราช อากาศร้อน ๆ ภายนอกทำเอาเหงื่อเม็ดใสไหลเต็มกรอบหน้าหล่อเหลาเต็มไปหมด ร่างสูงกดปุ่มบนพวงกุญแจเพื่อล็อกรถ ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้านหลังใหญ่ที่เขาอาศัยมาตั้งแต่เด็กจนเติบโตเช่นนี้ บ้านเงียบสงัด คาดว่าพี่ดอนกับพ่อของเขาน่าจะออกไปทำงานกันอยู่เลยยังไม่ได้กลับ ชายหนุ่มวางกุญแจรถไว้บนถาดวางกุญแจตรงทางเข้าบ้าน แล้วจึงเดินตรงเข้าไปยังในห้องน้ำสำหรับแขกเพื่อล้างมือล้างแขนให้สะอาด เมื่อทำอะไรต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วเขาก็ไม่รอช้าเดินเข้าไปในส่วนพักผ่อนที่จะมีครัวฝรั่งเล็ก ๆ ไว้ให้แม่เขาทำขนมจุกจิกทันที เพราะตัวเขาเองเชื่อว่าแม่ต้องอยู่ในห้องนี้แน่ ๆ แล้วก็ไม่ผิดจากสิ่งที่คาดเอาไว้เลย หญิงชราตามวัยเงยหน้าขึ้นมามองเขาผ่านเลนส์แว่น ก่อนจะยิ้มกว้างแบบเดียวกับพี่ดอนเป๊ะ ๆ ส่งมาให้เขา สิรดนย์ที่คราแรกรู้สึกทั้งเหนื่อยและไม่พอใจเสียเท่าไหร่กับเหตุผลที่ถูกเรียกกลับบ้านมานั้นลืมความขุ่นเคืองไปเสียสนิท เขาโอบกอดมารดาอย่างรักใคร่ก่อนจะชะโงกหน้ามองในชามเหล็กใบใหญ่ ที่มีชิ้นบัวลอยถูกปั้นเป็นรูปผลไม้ต่าง ๆ “แม่เข้าครัวเองเลยหรอครับ?” “จ้ะ ก็วันนี้หนูรสมาทานข้าวกับครอบครัวเราทั้งที แม่จะปล่อยเฉยเมยได้ยังไง” เสียงหวานปนแหบไปตามกาลเวลาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นเคย แต่ถึงอย่างนั้นรอบนี้สิรดนย์ไม่ได้มีรอยยิ้มกว้างประดับหน้าเหมือนในตอนแรกแล้ว “เหตุผลที่พ่อให้ผมขับรถจากกรุงเทพตั้งหลายชั่วโมง เพียงเพื่อกินข้าวกับรสงั้นหรอครับ?” เขาขมวดคิ้ว อันที่จริงเขารู้อยู่หรอกว่ามันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาถูกเรียกตัวกลับบ้าน แต่เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเพียงเหตุผลเดียวนี่นา “ทั้ง ๆ ที่พ่อก็รู้ว่าผมทำงานแทบทุกวันน่ะหรอ?” “เจ้าดนย์อย่าคิดแบบนั้นสิลูก พ่อกับแม่ก็คิดถึงเราเหมือนกันนะ ไม่ได้กลับบ้านมาตั้งนานแล้ว” “แต่วันนี้วันจันทร์นะครับ ผมต้องลางานมาเลยนะ” เขาถอนหายใจ ทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะเล็ก ๆ ที่ที่บ้านของเขาไว้นั่งพูดคุยหรือทานขนมร่วมกัน แม้ในปัจจุบันเหมือนจะมีแม่แค่คนเดียวที่ใช้มันก็เถอะ แต่เขาไม่ชอบและไม่พอใจกับความคิดนี้จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็เรียนและเริ่มต้นธุรกิจแบบที่พ่อต้องการแล้วแท้ ๆ ทำไมเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ยังต้องมาบังคับขู่เข็ญกันด้วยวิธีต่าง ๆ นานาอีกล่ะ ในเมื่อตัวเขาไม่ต้องการ อีกทั้งคนที่มาดหวังหมายตาเอาไว้ก็ไม่ใช่ใคร แต่กลับเป็นเพื่อนในวัยเด็กอย่างมธุรสอีก ซึ่งหากสุดท้ายเขาแสดงความไม่พึงพอใจออกไป ไม่ได้จะมีแต่ทำให้เธอนั้นรู้สึกแย่และเสียหน้างั้นหรือ? เขารู้ว่าผลพวงเรื่องธุรกิจเป็นเรื่องที่สำคัญ และพี่ดอนเองก็มีภรรยาแล้ว ดังนั้นทุก ๆ อย่างจึงตกมาที่เขาอย่างไม่ต้องคาดเดา แต่ในความคิดของสิรดนย์ เขาคิดว่ามันยังมีวิธีอีกมากมายเพื่อที่จะประสานงานและตกลงเป็น partner ร่วมกันภายใต้สิทธิสัญญาใด ๆ โดยไม่ต้องเอาความรู้สึกของใคร ๆ มาเป็นตัวชี้นำอีกด้วย ถ้าหากไม่เกรงใจ เขาคงจะพูดไปตรง ๆ แล้ว ว่าความคิดเหล่านี้มันล้าหลังมากมายขนาดไหน แต่ก็รู้ว่าพูดไป พ่อกับแม่ก็พลันจะเสียใจเปล่า ๆ สุดท้ายก็กลับกลายเป็นว่าเขาเหมือนไร้ทางเลือกไปเสียอย่างนั้น แม้จะปฏิเสธด้วยท่าทาง ปฏิกิริยา และทุกสิ่งอย่างนอกเหนือจากคำพูดตลอดมาก็ตาม “คุณปานกับคุณเดชเขาก็ว่างแค่วันนี้นี่ลูก ลูกก็รู้ว่าผู้ว่าฯงานเยอะขนาดไหน ใจเย็น ๆ นะดนย์ เข้าใจพ่อเขาหน่อยนะ” มือเหี่ยวกร้านข้างที่ไม่เปื้อนฝุ่นแป้งลูบไหล่เขาเบา ๆ อย่างต้องการให้เขาใจเย็นลง สิรดนย์ปล่อยตัวเองจมไปกับความคิดเมื่อมารดาของเขาไม่ได้พูดอะไรต่อขึ้นมาอีก มือหนาถือโทรศัพท์เลื่อนอ่านข่าวไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เจาะจงนัก เพราะแท้จริงลึก ๆ เขากำลังทบทวนกับตนเองอยู่ เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ปฏิเสธชัดเจน อาจจะเป็นเพราะอย่างแรกเขาไม่รู้ว่าเขากำลังชอบใครหรือมองหาใคร และเขาเองก็พยายามหลอกตัวเองว่าท้ายที่สุดแล้วเขาคงไม่ได้เจอกับโปรดปรานอีกครั้งหรอก ดังนั้นการจะทดลองเปิดใจเรียนรู้นิสัยใจคอเบื้องต้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขากลับยิ่งรู้สึกว่ามธุรสไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเขา ทั้งเรื่องของความชอบและนิสัยใจคอ เขายอมรับว่าเธอเป็นคนสวยที่สุดคนหนึ่งที่เขาเคยได้พบแต่ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตและรสนิยมต่าง ๆ ของเขาและเธอมันไปด้วยกันไม่ได้จริง ๆ และยิ่งตอนที่เขาเจอกับโปรดปรานอีกครั้งด้วยแล้วนั้น… เขารู้ตัวทันที ว่าความรู้สึกที่มีต่อผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากสิบปีก่อนแม้แต่น้อย ระหว่างทางที่รอคอยให้วนเวียนกลับมาพบกัน เขาเองก็คบ ๆ เลิก ๆ กับใครหลาย ๆ คนไปตามประสาวัยรุ่น แต่แท้ที่สุดเขาก็รู้สึกไม่ถูกเติมเต็มอยู่ดี ราวกับไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ใช่สักคน แล้วโปรดปรานก็กลับเข้ามาเป็นคำตอบนั้นอีกครั้ง เขาไม่อยากบอกให้ใครฟังแม้สักนิดเลยด้วยซ้ำว่าเขาใจเต้นแรงขนาดไหนยามที่เห็นเธอบนโลกออนไลน์อีกครั้ง และดีใจจนแทบอยากยิ้มออกมาเหมือนไม่เคยมีความทุกข์มาก่อนแค่ไหน ในตอนที่ได้สบตากัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม