EP.10 สิ่งสำคัญ
แก้วมุกดายกหลังมือเช็ดน้ำตา “ร้องไห้ทำไม เรื่องแค่นี้เอง” หญิงสาวปลอบใจตัวเองอีกครั้ง แล้วลงมือเก็บเศษแก้วที่แตกไปทิ้ง ใบที่ไม่แตกเธอก็เก็บไปล้างคว่ำไว้อย่างเป็นระเบียบ
หญิงสาวเดินกลับขึ้นมาบนบ้าน เห็นผ้าห่มผืนหนาและฟูกนอนวางไว้ข้างมุ้งและผ้าห่มผืนบางของยายน้อย ก็รู้ว่าพ่อเลี้ยงอินทัชยังพอมีน้ำใจกับเธอบ้าง หญิงสาวปูฟูกนอนแบบพับสามทบให้กางออก แล้วกางมุ้ง ที่หูมุ้งผูกเชือกเอาไว้แล้ว หญิงสาวจึงนำไปเกี่ยวตะปูที่เสาจนครบสี่มุม เธอมุดเข้าไปในมุ้ง ไหว้พระก่อนนอน แล้วจึงห่มผ้าห่มผืนหนา
นอนกระสับกระส่ายไปมา เพราะแปลกที่หรือเพราะความกังวลที่กำลังรบกวนจิตใจอยู่ในขณะนี้ก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะมันทำให้หญิงสาวนอนไม่หลับ แต่ไม่นานก็เคลิ้มหลับแล้วเธอก็ฝันไปถึงเหตุการณ์ในอดีต
‘แก้ว ไหว้คุณลุงสิลูก ต่อไปนี้คุณลุงจะมาเป็นพ่อของหนูนะ’
เด็กหญิงแก้วมุกดาในวัย 7 ปี เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มองชายรูปร่างสูงใหญ่ ไว้หนวด หน้าตาดุด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อลุงที่จะมาเป็นพ่อของเธอส่งยิ้มให้ หญิงสาวก็ยกมือไหว้แล้วยิ้มตอบกลับไป เธออยากมีพ่อเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ในที่สุดเธอก็มีพ่อเสียที
ตอนเป็นเด็กแก้วมุกดาไม่เคยรู้ว่าบิดาที่แท้จริงนั้นหายไปไหน จนเมื่อเธอโตขึ้นนั่นล่ะ จึงรู้ความจริงจากปากของมารดาว่าบิดาแท้ๆ ของเธอ ทิ้งภรรยาที่อุ้มท้องหนีไปแต่งงานกับสาวชาวปักษ์ใต้ ไม่เคยกลับมาดูดำดูดีอีกเลย บิดาเลี้ยงดีกับเธอและมารดาทุกอย่าง แต่มันก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เมื่อเศรษฐกิจฝืดเคือง บิดาเลี้ยงจำต้องออกจากงานขับรถมารับจ้างทั่วไป แล้วเขาก็หันหน้าเข้าหาสุรา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่บิดาเลี้ยงลงไม้ลงมือกับมารดา
ด้วยความที่มารดาของเธอเป็นช้างเท้าหลังที่ดีของสามีมาโดยตลอด ไม่เคยมีปากเสียง เชื่อฟัง เป็นแม่บ้าน แก้วมุกดาต้องทนเห็นมารดาโดนทุบตีเป็นประจำ เธอสงสารแต่ไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องมารดาจากบิดาเลี้ยงได้เลย
‘แม่จ๋า แม่ยอมให้พ่อตีทำไม ทำไมแม่ไม่เลิกกับพ่อล่ะคะ’ เมื่อเด็กหญิงอายุสิบปี โตพอที่จะรู้เรื่องราวของผู้ใหญ่ คำถามที่เธอเอ่ยถามมารดาทำให้ท่านถึงกับน้ำตาร่วง
‘แก้วลูกแม่ แม่ไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงหลายผัว ชาวบ้านจะนินทาเอาได้นะลูก’ ทับทิมรั้งบุตรสาวเข้าไปกอดด้วยความรัก โชคดีเหลือเกินที่เธอไม่มีลูกกับสามีใหม่ แก้วมุกดาจึงเป็นแก้วตาดวงใจเพียงคนเดียว ที่เธอเฝ้าฟูมฟักให้เติบโต
‘แล้วชาวบ้านเขาไม่ได้มาโดนตีแทนแม่นี่จ๊ะ แม่จะไปสนใจคนอื่นทำไม’
คำถามของบุตรสาวทำให้ทับทิมถึงกับร้องไห้โฮ ‘นั่นสินะ หนูพูดถูก...’
‘แม่จ๋าหนูขอโทษ หนูจะไม่ถามแม่อีกแล้วค่ะ’ เด็กหญิงแก้วมุกดาทำอะไรไม่ถูก เธอไม่อยากให้มารดาร้องไห้ เธออยากให้ท่านยิ้ม แม้ว่าท่านจะแทบไม่เคยยิ้มเลยก็ตาม ใบหน้าของท่านหมองและอมทุกข์ ประกายตาแห้งแล้งอย่างคนสิ้นหวัง มีเพียงยามที่ท่านทอดมองเธอเท่านั้น ที่เธอจะเห็นประกายเล็กๆ แห่งความหวังในดวงตาของท่าน
‘ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่ผิดเอง ผิดที่ตัดสินใจแบบนี้ตั้งแต่แรก’
‘ใครตัดสินใจผิด! อีทับทิมไหนมึงบอกกูซิ ว่ามึงตัดสินใจผิดเรื่องอะไร’ บิดาเลี้ยงเดินเข้ามาพร้อมกลิ่นสุราเหม็นหึ่ง แก้วมุกดาไม่อยากเฉียดใกล้ เธอถอยห่างและพยายามดึงมารดาให้หนี แต่ว่าไม่ทันเสียแล้ว เมื่อมือใหญ่กระชากผมมารดา แล้วตบลงบนใบหน้าอย่างไม่ยั้งมือ
เผียะ!
‘กูสิเป็นฝ่ายตัดสินใจผิด ที่อยู่กินกับมึง’
‘พี่อย่าทำฉันเลยนะ ฉันขอร้องล่ะ อย่าตีฉันต่อหน้าลูก’ ทับทิมอ้อนว้อน แต่ดูเหมือนคนเมาจะขาดสติ นอกจากจะไม่สนใจคำวอนขอ ยังยกเท้าหมายจะกระทืบซ้ำ
‘อย่าตีแม่นะ! อย่าตีแม่!’ แก้วมุกดาในวัยเด็ก ตัวผอมสูง วิ่งเข้าไปดึงแขนบิดาเลี้ยง แล้วกัดลงบนท่อนแขนจนจมเขี้ยว
‘อ๊าก!’
‘อีเด็กเปรต มึงริอ่านสู้กูเหรอ’ คนตัวโตกว่าสะบัดจนเด็กหญิงกระเด็นติดฝาผนังบ้าน
‘แก้ว! หนีไปลูก’
‘มึงอยากลองดีกับกูทั้งแม่ทั้งลูกใช่มั้ย’ ย่างสามขุมเข้าหาหมายจะจัดการกับแม่ลูกคู่นี้ให้เข็ดหลาบ
‘ไอ้ชาติมึงอย่าแตะต้องหลานกูนะโว้ย ไม่อย่างงั้น กูจะฟันมึงด้วยอีโต้ให้หัวแบะ มึงออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้’ หญิงสูงวัยเพิ่งกลับจากหาบขนมขายได้ยินเสียงเอะอะโวยวายในบ้าน ก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
‘เจ้าข้าเอ๊ย! มาดูเร็ว! ไอ้หน้าตัวเมียมันรังแกผู้หญิงกับเด็ก เจ้าข้าเอ๊ย!’
‘หน็อย! ฝากไว้ก่อนเถอะอีแก่’ สมชาติเดินกระแทกเท้าออกไปจากบ้านอย่างไม่สบอารมณ์
‘ยายจ๋า แม่จ๋า’
เด็กหญิงแก้วมุกดาวิ่งไปกอดยายและมารดาเอาไว้ ชีวิตของเด็กหญิงไม่เคยรู้จักคำว่าขาด เพราะไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสคำว่าเติมเต็ม...
“แม่จ๋า...” หญิงสาวสะอื้นไห้ทั้งที่ยังหลับตา คนตัวโตซึ่งยืนมองอยู่นอกมุ้ง ย่อตัวลงนั่งแล้วมองเข้าไปในมุ้ง เห็นหญิงสาวนอนกอดผ้าห่ม น้ำตาอาบแก้มก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
พ่อเลี้ยงอินทัชเดินออกมาสำรวจตรวจความเรียบร้อย แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเธอกางมุ้งและปูที่นอนได้อย่างดี หลายๆ อย่างในตัวเธอทำให้เขาแปลกใจ หรือว่าข่าวที่เขารับรู้มา มันจะมีอะไรผิดพลาด!
พ่อเลี้ยงอินทัชพลิกตัวเมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าลอดผ่านจากม่านสีน้ำเงินเข้มส่องมากระทบใบหน้าจนเขาต้องลืมตาตื่น เขาหยิบนาฬิกาข้อมือข้างฟูกนอนขึ้นมาดู 5.30 น. ยังเช้าอยู่มาก แต่ท้องฟ้าในช่วงหน้าร้อนกำลังจะเข้าหน้าฝนกลับสว่างเร็วราวกับ 7-8 โมงเช้าเสียกระนั้น เขาลุกขึ้นบิดกายไปมา แล้ววิดพื้นกว่าห้าสิบครั้งเพื่อเป็นการเรียกความสดชื่น หยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ตั้งใจว่าหลังจากล้างหน้า วิ่งจ๊อกกิ้งยามเช้าแล้วจะกลับมาปลุกแก้วมุกดาให้ไปเก็บเห็ดที่โรงเพาะเห็ด
แต่เมื่อเขาเปิดประตูห้องออกมาก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่า ที่นอนหมอนมุ้งถูกพับเก็บเรียบร้อยวางซ้อนไว้อยู่ข้างตู้หนังสือ เมื่อเดินไปรอบๆ บ้านก็ไร้เงาของแก้วมุกดา...