"หนูแก้วตาตื่นแต่เช้าเลยนะจ้ะ" เสียงหวานดังขึ้นขณะที่ฉันกำลังจะเดินผ่านหน้า ทว่าหญิงวัยกลางคนกลับส่งยิ้มกว้างพร้อมเอ่ยกับฉันเหมือนที่ชอบทำ จนฉันต้องหยุดเดินชะงักแล้วหันกลับไปตอบบ้างตามมารยาท
"ไม่พูดสักวันก็ไม่มีใครบอกว่าเป็นใบ้หรอกนะจ้ะป้า" ฉันยิ้มหวานตอบกลับ ขณะที่อีกคนเริ่มชักสีหน้ารอยยิ้มหุบลงในทันทีที่ได้ยิน
"นี่อีแก้ว! ฉันพูดกับแกดีๆ นะ" นิสัยที่แท้จริงถูกเผยออกในเวลาต่อมา แม่ค้าขายผักที่ชอบแซะฉันในแต่ละวันเริ่มแสดงตัวตนที่แท้จริง และฉันเองก็ดูออกตั้งแต่แรกว่ายัยป้าบัวไม่ได้พูดเพราะกำลังชมฉันจริง ๆ แต่เพียงเพราะกำลังประชดประชันใส่ฉันเนื่องจากเวลาที่ฉันกำลังจะเปิดแผงขายของเลยเวลาเปิดปกติสายมามากแล้ว
จะบอกว่าคนอย่างแก้วตาก้าวร้าวก็ได้ แต่ฉันก็เลือกทำเหมือนกัน ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคน แต่ถ้ามองออกว่าคนไหนไม่จริงใจ ฉันเองก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งจริงใจกลับ แม้ว่าจะเป็นคนแก่กว่าก็ตาม
นั้นคือนิสัยของฉัน
"เก็บคำพูดดี ๆ ของป้าเถอะ ฉันไม่อยากได้" ว่าจบฉันก็เข็นรถเข็นที่มีผลไม้หลายลังผ่านไปในทันที เสียเวลาทำมาหากินชะมัด…อยู่ตลาดเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับทำตัวแซะคนนั้นคนนี้มั่วไปหมด แน่นอนว่าคนอย่างแก้วตาไม่เคยยอมใคร ร้านก็ร้านฉัน จะเปิดขายเวลาสายโด่แค่ไหนมันก็เรื่องของฉันอยู่ดี
"หน้าบูดแต่เช้าเลยยัยแก้ว…" จนเดินมาถึงแผงขายของตัวเองเสียงของอีกคนก็ดังขึ้น แต่ฉันไม่ตอบกลับเหมือนคนที่แล้วหรอก เพราะป้าณีที่เป็นคนทักฉันขายอยู่แผงตรงข้าม เป็นคนใจดีจริง ๆ ไม่ได้สร้างภาพเหมือนคนก่อนหน้าฉันรับประกัน
"เรื่องเดิม ๆ น่ะป้า" ฉันยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนที่จะจัดการยกลังผลไม้ที่หนักหนาด้วยตัวคนเดียว ถึงจะหนักแต่มันคือสิ่งที่ฉันทำมาหลายปี ทำแบบนี้โดยไม่มีใครช่วยมาตลอด จนตอนนี้ฉันก็ลืมว่ามันเคยหนักเสียแล้ว
"หักโหมอีกแล้วเหรอ…" ระหว่างนั้นป้าณีก็ชวนคุยเช่นทุกวัน ขณะที่ฉันก็จัดหน้าร้านเพื่อเตรียมจะเปิดร้านทำอาชีพสร้างรายได้ของตัวเองบ้าง
"ช่วงนี้ใกล้จะปิดเทอมแล้ว ต้องขยันหน่อยป้า"
"แกจะเรียนต่อใช่ไหม?"
"เปล่า…หนูหมายถึงไอต้นกล้า เปิดเทอมมันขึ้นปีหนึ่งต้องใช้เงินเยอะ"
"แล้วแกล่ะ ไม่คิดจะเรียนต่อบ้างหรือไง"
"แค่มอหกก็พอแล้วป้า ที่เหลือให้ไอต้นกล้ามันเรียนแทน" ต้นกล้าคือน้องชายที่อายุห่างกันสองปี พี่น้องคนละแม่ที่ฉันกำลังทำงานงก ๆ เพื่อส่งมันเรียนระดับชั้นมอหกและจะขึ้นปีหนึ่งในไม่ช้า ส่วนฉันอายุปาไปยี่สิบแล้ว เรียนจบมอหกมาได้สองปีก็หยุดเรียนไปแค่นั้นเพราะไม่มีเงินเรียนต่อ ยัยแก้วตาเลยต้องออกมาทำงานสู้ชีวิตส่งน้องเรียนและเลี้ยงแม่เลี้ยงอีกหนึ่งคนแทน ถึงจะอยากเรียนกับเขามากแค่ไหนแต่คนอย่างฉันคงไม่มีบุญมากพอ
ฉันกลายเป็นแม่ค้าขายผลไม้ตั้งแต่อายุสิบแปด ตกเย็นเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านเหล้าเพราะลำพังอาชีพแม่ค้าคงหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวไม่พอ
และที่วันนี้เปิดแผงขายช้ายอมรับตรง ๆ ก็เพราะตื่นสาย เมื่อคืนกว่าผับจะปิดก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน จัดของหลังร้านต่อจนถึงตีหนึ่ง แต่เมื่อได้ยินทางร้านบอกขาดเด็กล้างจานคนอย่างแก้วตาก็ไม่เคยปล่อยให้พลาดโอกาส กว่างานทุกอย่างจะเสร็จกลับไปถึงบ้านเวลาก็ลากยาวไปถึงตีสาม นอนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องลากสังขารตัวเองมาเปิดแผงขายผลไม้ต่อ แต่กว่าจะได้ลุกจากที่นอนเวลาก็ล่วงเลยมาถึงหกโมงเช้า ซึ่งมันช้ามากถึงหนึ่งชั่วโมงถ้าเทียบกับวันปกติที่ฉันเปิดขายประจำ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมยัยป้าบัวถึงได้แซะฉันจนได้ แต่แล้วไงยัยแก้วตาหน้าด้านกว่านั้น ฉันโดนมาเป็นประจำอยู่แล้ว ถึงจะไม่ใช่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องอื่นอยู่ดี ตอบกลับด้วยความปากแซ่บใส่คนอื่นมาก็เยอะ แต่ไม่มีใครที่กล้าว่าฉันยกเว้นป้าบัวนี่แหละ ผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปีก็ยังคงความหวังดีประสงค์ร้ายต่อฉันเหมือนเดิม!
"เฮ้อ…ฉันล่ะสงสารแกจริงๆ แก้วตาเอ้ย…"
"หึ สงสารก็ขอขนมจีนฟรีสักจานนะป้า" ฉันหัวเราะในลำคอแล้วตะโกนตอบกลับป้าณี เอาจริง ๆ ก็ฟังคำว่าสงสารมาเยอะแล้ว ทุกคนรู้ชะตากรรมชีวิตของฉันหมดแหละ คนในตลาดนี้บางคนก็ใจดีกับฉันมาก โดยเฉพาะป้าณีที่ให้ฉันกินขนมจีนที่ร้านฟรีทุกวัน
"แกนะแก ไม่เคยเครียดกับอะไรเลย" ป้าณีส่ายหัวด้วยความเอือมก่อนที่จะตักขนมจีนที่แกขายอยู่ใส่จาน แล้วเดินเอามาให้ฉันแน่นอนว่าข้าวมื้อนี้ฉันไม่ต้องจ่ายแล้ว
"ขอบคุณสำหรับขนมจีนอร่อย ๆ ค่า~" ชีวิตแม่ค้าก็ดีแบบนี้แหละ คนที่ใจดีมีอะไรก็แบ่งปันกัน คอยช่วยเหลือกันจนฉันเหมือนเป็นญาติพี่น้องกันเสียแล้ว
ระหว่างที่ไม่มีลูกค้ายัยแก้วตาก็จัดการกับขนมจีนและเฝ้าร้านไปด้วย ร้านผลไม้ของฉันขายดีมากถ้าวันนั้นไม่มีใครเข้ามากวนโอ๊ยฉันก่อน ตอนขายแบบนิ่ง ๆ สวย ๆ ผู้ชายก็ชอบแวะเวียนมาซื้อบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่องค์ลงแม้แต่ลูกค้าผู้หญิงยังหนีไปเลย
"แค่ก ๆ เอาอะไรดีคะ?" ฉันรีบยัดขนมจีนใส่ปากอย่างรีบเร่งเมื่อเห็นว่าลูกค้าหนุ่มกำลังเดินมา แล้วน้ำยามันก็ทำงานดีเหลือเกินสูดเร็วไปหน่อยจนเกือบจะสำลักต่อหน้าลูกค้า
มือบางรีบเช็ดปากอย่างไว ก่อนที่จะส่งยิ้มเป็นมิตรให้ลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อของ
"ส้มนี่…"
"โลละห้าสิบค่ะ" ยังไม่ทันลูกค้าจะถามจบฉันก็ยิ้มหวานตอบทันที ขณะที่ลูกค้ากำลังเลือก ฉันก็เป็นแม่ค้าที่น่ารักคอยแนะนำไม่ห่าง
จนกระทั่ง…
"เจ๊!…"
"เจ๊แก้ว!…" เสียงเด็กชายวิ่งหอบมาหาจนฉันชะงักผละสายตาไปมอง
"มีอะไรไอปั๊ก"
"พี่ต้นกล้า…"
"ไอต้นกล้าทำไม!?"
"พี่ต้นกล้ายกพวกตีกันที่ท้ายตลาดครับ"
"แม่งเอ้ย" ฉันรีบถอดผ้ากันเปื้อนออกอย่างไว หลังจากที่ได้ยินไอปั๊กพูดจบ หมายจะรีบวิ่งออกไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าลูกค้ายังยืนงงอยู่หน้าร้าน
"ชั่งกิโลแล้ววางเงินตามราคาเลยนะคะ ป้าฝากดูร้านด้วย!" ประโยคแรกฉันเอ่ยบอกกับลูกค้า ก่อนที่ประโยคที่สองจะตะโกนบอกป้าณีแผงตรงข้ามแล้วรีบวิ่งสี่คูณร้อยไปท้ายตลาดทันที