บทที่ 2

2289 คำ
“อ่อม~ ต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนดีละเนี่ย?” ‘มัส' สาวหมวยอินเตอร์ เริ่มทำสีหน้าครุ่นคิด “ดูเครียดจัง ข้อมูลมันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?” ดวงหน้าสวยเฉี่ยว ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางแบรนด์หรู หันไปมองเพื่อนสาวข้างกาย ที่กำลังเกลี่ยนิ้วเรียวยาวไปบนหน้าจอสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด ด้วยสีหน้าครุ่นคิด “No way~ ข้อมูลไม่ได้เยอะ เพราะมันแทบไม่มีเลย” “ว่าไงนะ?” “แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะระดับคุณชายมอส (พี่ชายของมัส) ไม่เคยทำให้น้องสาวคนนี้ผิดหวัง อย่างน้อย ฉันก็ได้ข้อมูลคนของแก ว่าเขากำลังจะย้ายไปอยู่กับน้าชาย ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อ แต่ยังคอนเฟิร์มไม่ได้ ว่าเป็นสายเลือดเดียวกันหรือเปล่า เพราะไม่มีข้อมูลของน้าชาย แต่ดันมีที่อยู่ เพราะคุณชายมอสจ้างนักสืบมือดีให้ไปสืบเรื่องนี้โดยเฉพาะ” เพื่อนสาวพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตัวพี่ชาย ก่อนจะส่งโลเคชั่นให้เธอ แล้วหยิบแป้งพัฟขึ้นมาเติมความสะสวย “แกส่งโลเคชั่นผิดหรือเปล่า?” “ไม่นะ ฉันส่งถูกแล้ว” “ทำไมมันไกลจัง” “สงสัยคนของแกคงอยากปลีกวิเวกมั้ง เลยเข้าไปอยู่ในป่า ถ้าฉันจำไม่ผิด ตำแหน่งตามโลเคชั่น มันอยู่ในป่าติดกับชายแดนฝั่งลาว แต่เห็นว่าเป็นเขตหวงห้าม เลยไม่มีใครกล้าเข้าไป ขนาดนักสืบยังบอกได้แค่ตำแหน่ง แสดงว่าน้าชายคนนั้นต้องไม่ธรรมดา หรืออาจจะเป็นพวกมาเฟียรุ่นเก่า” “มาเฟียรุ่นเก่าคืออะไร?” “ก็พวกมาเฟียที่มีเชื้อเจ้าเชื้อพระวงศ์อะไรทำนองนั้น” “หือ!?” “ยิ่งข้อมูลถูกปกปิด ฉันยิ่งมั่นใจ ว่าต้องใช่แน่นอน” “นี่แกกำลังบอกว่า พี่นนท์จะเลือกทางสายนั้นเหรอ?” “I don’t know~ ฉันเดาทางคนของแกไม่ได้ และไม่คิดจะเดาด้วย ว่าแต่แกเหอะ ยังยืนยันจะไปที่นั่นหรือเปล่า?” “ไปสิ ต้องไปอยู่แล้ว” ตอบแบบไม่ต้องคิด “โอเค ถ้าอย่างนั้น แกรีบย้ายก้นลงจากรถปอร์เช่ แล้วไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าซะ เพราะฉันจะเป็นคนไปส่งแกเอง แต่ก่อนจะไป ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ว่าแกเป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟกต์ มีหน้าตาฟ้าประทานเหมือนอิงฟ้า มิสแกรนด์ แถมยังมีสังคมที่ดีเลิศ หากไปถึงแล้วเกิดเรื่อง ทำให้แกเปลี่ยนใจ แกสามารถบอกฉันได้ทันที ฉันจะได้พาแกกลับบ้าน โอเคไหม?” “โอเค” เจ้าตัวตอบตกลง ก่อนจะก้าวขาเรียวสวยลงจากรถของเพื่อนสนิท แล้วย่างกรายไปบนรองเท้าส้นเข็มสูงสี่นิ้ว พร้อมกับพาเรือนร่างอรชร ที่อยู่ในชุดเดรสสีดำสุดเซ็กซี่ ขึ้นไปเก็บกระเป๋าบนห้องนอน ที่อยู่ชั้นบนสุดของคฤหาสน์แห่งนี้ ครึ่งชั่วโมงต่อมา กรึบ~ ประตูรถปอร์เช่สีเหลืองถูกเปิดออกจากคนด้านนอก “ปะ” “Who are you?” เพื่อนสาวรีบหันขวับมามอง แล้วยิงคำถามใส่ในทันที “I’m your friend.” “No! My friend isn’t like this.” “นี่ฉันเอง แกเป็นอะไรของแกเนี่ย?” เธอสวนกลับ พลางหันไปเก็บกระเป๋าเป้สีขาวเอาไว้ที่เบาะหลัง ก่อนจะหันกลับมาส่องกระจก เพื่อเช็กการแต่งกาย “ยะ อย่าบอกนะ ว่าแกแต่งตัวสไตล์นี้ไปหาผู้?” “อ่าหะ” ตอบรับ พร้อมกับขยับแว่นทรงคลับมาสเตอร์ “Um…” เพื่อนสาวไฮโซเริ่มไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เพราะการแต่งตัวของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเดือน จากเป็นสาวติดแกรม กลายเป็นสาวเฉิ่ม สวมใส่ชุดเซตไหมพรม ทั้งที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน แถมยังสวมรองเท้าผ้าใบ ที่ทำให้ตัวเตี้ย และทำให้หุ่นเพรียวเหมือนนางแบบ เสียไปด้วย ติดแกรม (Glamorous) เขียน ติดแกลม หรือ ติดแกรม ก็ได้ (ร.เรือเพิ่มจริต) หมายถึง ติดสวย ติดหรู ติดแพง เพื่อทำให้ตัวเองดูดี “อย่าเพิ่งช็อก เพราะฉันมีเหตุผลที่ต้องแต่งตัวแบบนี้” “แกจะบอกว่าผู้ชายชอบแบบนี้งั้นสิ?” มัสพูดดักคอ พลางทำสายตาเอือมระอา ให้กับสไตล์การแต่งตัวที่ตกยุค แถมยังดูเป็นคุณป้า แต่เธอกลับมองว่านี่เป็นสไตล์การแต่งตัวที่เรียบง่าย ดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อย พูดน้อย ขี้อาย พอไปรวมกับทำอาหารชาววัง ทำให้ดูเป็นกุลสตรี “ไม่ต้องตอบก็รู้ว่าใช่ แกนะแก ฉันนึกว่าแกจะแต่งตัวสวยเริ่ดไปส่งข้าวให้ผู้ ที่ไหนได้ ดันแต่งตัวเป็นคุณป้าขี้หนาวไปหาเขา นี่ฉันยังอึ้งอยู่เลยนะ ว่าเขาพลาดไปจูบแกได้ยังไง” “โห้ เรียกว่าพลาดเลยเหรอ?” รีบถอดแว่น พลางยกมือขึ้นเสยผมยาวสลวยสีดำเงา “ใช่! เพราะแกในเวอร์ชั่นที่ฉันรู้จัก เป็นไฮโซสุดแซ่บ ไม่ใช่ยัยป้าขี้หนาว ถ้าฉันรู้ว่าแกเริ่มต้นด้วยการไม่เป็นตัวเองแบบนี้ ฉันคงไม่สนับสนุน ให้แกไปตามติดผู้ชายคนนั้นหรอก” “นี่! ฉันไม่ได้ไม่เป็นตัวเอง แต่นี่คือสิ่งที่ฉันเคยเป็นมาก่อนต่างหาก แกจำไม่ได้หรือไง ว่าตอนมัธยมฉันก็แต่งตัวแบบนี้ จนกระทั่งมารู้จักกับแก ถึงได้เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว” “อุ๊บส์~” “ไง จำได้แล้วสินะ” “That rings bell~” มัสตอบกลับว่าจำได้ พลางยิ้มกลบเกลื่อนความเขิน “อีกอย่าง ตอนที่ฉันไปให้กำลังใจพี่นนท์ครั้งแรก ฉันก็อยู่แค่มัธยม ไม่แปลกที่ฉันจะแต่งตัวสไตล์นี้ไป และแกรู้ไหม ว่าการสัมภาษณ์เกี่ยวกับสเปกของเขา เกิดขึ้นหลังจากที่เขาเจอฉัน แล้วมันดันตรงกันทุกอย่าง แบบนี้จะให้ฉันเปลี่ยนสไตล์เป็นสาวติดแกรมไปหาเขาได้ยังไง ในเมื่อนี่เป็นสไตล์ที่เขาชอบ” เธออธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ ว่าทำไมถึงได้แต่งตัวเป็นยัยเฉิ่ม แทนที่จะอวดโฉมความสวยในเวอร์ชั่นใหม่ หากนั่นเป็นสิ่งที่เขาชอบเธอจะไม่ติดเลย แต่เขาดันชอบแบบนี้นี่สิ ที่สำคัญไปกว่านั้น เธอยังไม่มั่นใจในบุคลิกของตัวเอง ว่าตกลงแล้ว เธอจะเป็นสาวสวยสุดแซ่บในแวดวงไฮโซ หรือจะเป็นนักธุรกิจไฟแรง ที่มีภาพลักษณ์เป็นการเป็นงาน ดูจริงจัง และสุดท้ายคือ บุคลิกสุดเฉิ่ม ที่เป็นสาวขี้อายพูดน้อย ซึ่งบุคลิกที่หลากหลาย ทำให้เธอเลือกไม่ได้ว่าจะเป็นคนแบบไหน จึงตัดปัญหาโดยการเอานิสัย และเอนเนอร์จี้มาใช้ตามบุคลิกภายนอก จะได้ง่ายต่อการใช้ชีวิต และไม่สับสน “I see ว่าแต่แกพร้อมหรือยัง?” “พร้อมแล้ว” “OMG ขับรถสิบสองชั่วโมง ฉันว่าเราควรบิน” “อ่า ยังไงก็ได้” “Ok let’s go~” หลังจากจบประโยคนั้น รถปอร์เช่ก็เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์ตระกูลไพศาลสมบัติ พาสองสาวไปยังสนามบิน ซึ่งทั้งคู่มีอภิสิทธิ์ในการใช้เครื่องบินส่วนตัว ทำให้การเดินทางไม่ยุ่งยาก และใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็มาถึงจุดหมายปลายทาง “ต้องนั่งรถขึ้นเขา รวมเดินเข้าป่า อีกสองชั่วโมง” มัสพูดพร้อมกับปาดเหงื่อ เพราะมันค่อนข้างไกล “คุณลุงคะ คุณลุงขับรถเข้าไปในป่าไม่ได้เหรอคะ?” มัสหันไปถามคนขับรถด้วยความไม่เข้าใจ เพราะนางไม่ชอบความลำบาก และการเดินป่า เป็นกิจกรรมที่นางเกลียดที่สุด อีกทั้งชุดเดรสกำมะหยี่ที่สวมใส่ ยังไม่เอื้ออำนวย “ไม่ได้หรอกครับคุณหนู พื้นที่ตรงนั้นเป็นเขตหวงห้าม ถ้าอยากเข้าไปจริงๆ ต้องแอบเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น” คนขับอธิบายด้วยความสุภาพ ทำเอาเพื่อนสาวของเธอถึงกับยืนทำหน้างอ ส่วนตัวเธอเอง คิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่ามันต้องมีอุปสรรค “งั้นเอางี้ แกส่งฉันแค่นี้ก็พอแล้ว” “Are you crazy?” “ฉันไม่ได้บ้า แต่ฉันไปคนเดียวได้” “ผมจะไปส่งคุณหนูเท่าที่ผมไปส่งได้นะครับ” คุณลุงคนขับแสดงความคิดเห็น เพื่อช่วยเธออีกแรง “ขอบคุณค่ะ” “แล้วคือยังไง ถ้าแกไปถึงที่นั่นแล้ว แกจะเข้าไปอยู่ในฐานะอะไร ฉันว่าเรื่องนี้เราควรวางแผนกันก่อนนะ เกิดแกสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป แล้วเจอคนไม่ดีขึ้นมา ใครจะช่วยเหลือแกละ?” เพื่อนสาวทักท้วงเรื่องนี้ เพราะยังไม่มีการวางแผนที่ชัดเจน มีเพียงเป้าหมาย ที่อยากจะเข้าไปในเขตนั้น ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปได้ไหม แต่เท่าที่รู้คือเธอเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง “เออ คุณหนูครับ ผมว่าผมมีวิธีที่จะพาเข้าไปโดยที่ไม่ต้องเดินป่านะครับ” ขณะที่สองสาวกำลังยืนครุ่นคิด คุณลุงคนขับก็พูดขึ้น ทำให้เราสองคน หันไปมองในทิศทางเดียวกัน “แต่ผมต้องออกตัวก่อน ว่าวิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยง” “ถ้ารู้ว่ามันเสี่ยง ก็ไม่ควรเสนอตั้งแต่แรกนะคะ” มัสสวนกลับทันที เพราะไม่อยากให้เพื่อนไปเสี่ยง “ใจเย็น ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว” เธอรีบห้ามปราม เพราะรู้ว่าเพื่อนค่อนข้างร้อนง่าย “ขอโทษที่ทำให้ไม่พอใจนะครับ แต่วิธีที่ผมจะเสนอ เป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการเดินเข้าไปอย่างไร้ตัวตน และที่ผมบอกว่าวิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยง คือเสี่ยงถูกจับได้ ว่าเป็นตัวปลอม” “ตัวปลอม? // ตัวปลอม?” สองสาวพูดพร้อมกันด้วยความสงสัย ก่อนที่คุณลุงคนขับจะเริ่มอธิบายเกี่ยวกับวิธีที่จะทำให้เธอเข้าไปในเขตนั้น ห้านาทีต่อมา “What! อะไรคือแม่อุ้มบุญ?” มัสตั้งตำถาม เพราะไม่เข้าใจกับคำว่า 'แม่อุ้มบุญ' “มันเป็นการอุ้มท้องแทนคนที่อยากมีลูกครับคุณหนู” คุณลุงคนขับรถอธิบาย ด้วยสีหน้าเจื่อนๆ เพราะกลัวว่าจะถูกลูกสาวของเจ้านายวีนใส่ ซึ่งคุณลุงไม่ใช่คนขับรถของเธอ ทว่าเป็นคนขับของเพื่อน ที่มาแสตนบายรอรับเราที่นี่ “ที่จริง ผมไม่ควรปริปากบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะมันมีการลงนามในสัญญา แต่ว่าลูกสาวของผมดันมีปัญหาก่อนจะส่งตัวไปที่นั่น ทั้งที่เมื่อตอนต้นปี ได้ไปตรวจสุขภาพ จนผ่านการรับเลือกให้เป็นแม่อุ้มบุญ แต่พอใกล้จะถึงวัน ลูกสาวของผม ดันไปมีเด็กกับผู้ชายอีกคน จนทำให้เกิดปัญหาใหญ่” คุณลุงคนขับพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พลางถูฝ่ามือตัวเองไปมา เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไง กับปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น “หึ! เลยจะให้เพื่อนของฉันปลอมตัวไปแทนนั้นเหรอ?” มัสเริ่มขึ้นเสียงใส่คนขับรถของตัวเอง เพราะไม่พอใจ “ผะ ผมเห็นว่าเพื่อนคุณหนูต้องการที่จะเข้าไปที่นั่น และนี่ก็เป็นวิธีเดียว ที่จะมีตัวตนในการเข้าไป ผมเลยเสนอวิธีนี้ ตะ แต่ถ้าคุณหนูไม่ชอบใจ ผะ ผมต้องขออภัยด้วยนะครับ” คุณลุงกล่าวคำขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้ม พร้อมกับยกมือไหว้สองสาว ซึ่งเธอก็รีบยกมือไหว้ตอบ เพราะเข้าใจในเจตนาของคุณลุง และรู้สึกว่าวิธีที่เสนอมาไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก “หนูหน้าตาเหมือนลูกสาวของคุณลุงไหมคะ?” “Seriously นี่แกสนใจวิธีนี้ด้วยเหรอ!?” เพื่อนสาวหันมาถาม เพราะไม่เห็นด้วย “มะ มีความละม้ายคล้ายคลึงกันครับ” คุณลุงตอบแบบกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะหยิบรูปถ่ายของลูกสาวออกมาจากกระเป๋าสตางค์ แล้วส่งให้เธอดู ซึ่งโครงหน้าของเราสองคน มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างที่คุณลุงบอก เพราะเป็นสาวไทยแท้ที่มีรูปหน้าเป็นทรงเพชรเด่นชัด และเครื่องหน้าค่อนข้างไปในทางเดียวกัน ดวงตากลมโตสองชั้น จมูกเรียวเป็นสันรับกับรูปหน้า ริมฝีปากอวบอิ่มไม่บางจนเกินไป และยิ่งกันไปกว่านั้น ก็คือเรามีผิวสีน้ำผึ้งเหมือนกัน แต่ส่วนที่ไม่เหมือนก็มีเยอะอยู่ เช่นสีดวงตา อีกฝ่ายมีสีน้ำตาลอ่อน ถ้าเธอจะปลอมตัวเข้าไป คงต้องใส่คอนแทคเลนส์ เพราะดวงตาของเธอเป็นสีดำอำพัน ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา และอีกส่วนที่เห็นได้ชัดเจนว่าไม่เหมือนกัน คือ รูปร่าง ด้วยความที่เราสองคนอายุต่างกัน ตัวจริงอายุเพียงสิบแปด แต่เธออายุยี่สิบสาม ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอค่อนข้างเด่น โดยเฉพาะหน้าอกหน้าใจ หากไม่ได้ใส่ชุดไหมพรมปกปิด จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะหน้าอกของเธอคัพดี ส่วนตัวจริงแค่คัพเอ เพราะยังเป็นเด็กวัยรุ่นใสๆ ซึ่งเธอยังไม่รู้เกณฑ์การวัด ว่าทำไมฝ่ายนั้นถึงได้เลือกเด็กสาวไปเป็นแม่อุ้มบุญ อาจจะเป็นเพราะสุขภาพแข็งแรง หรืออยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ แต่ถ้าเธออยากจะเข้าไป ก็ต้องใช้ลุคยัยป้าขี้หนาว เพราะเสื้อผ้าแล้วแว่นตาที่สวมใส่ จะช่วยบดบังความแตกต่าง ส่วนเรื่องสีผม เราสองคนมีผมตรงสีดำเหมือนกัน เพียงแค่เธอผมยาวถึงบั้นท้าย ส่วนอีกฝ่ายยาวแค่แผ่นหลัง แต่นั้นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะผมก็ต้องยาวขึ้นเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ จะต่างกันตรงนี้ คงไม่มีใครจับได้หรอก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม