“มีแฟนแล้วค่ะ”
และนี่เป็นเพียงประโยคเดียว ที่ใช้ปฏิเสธผู้ชายทุกคน
แต่อย่าคิดว่าเธอเอาผู้ชายคนนั้น มาเป็นไม้กันหมา เพราะเธอใช้วิธีนี้ ปฏิเสธผู้ชายที่เข้ามาจีบ ตามผับ ตามบาร์ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะมันเป็นวิธีที่ตัดจบง่ายไม่ยืดเยื้อ
นอกเสียจากจะไปเจอพวกตามตื๊อหนักๆ นั่นก็อีกเรื่อง
“แก ฉันดีลได้นะ”
เพื่อนสาวหันมากระซิบกระซาบ พลางยิ้มกรุ้มกริ่ม ซึ่งเวลานี้ เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดีเป๊ะ และอีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาปิดร้าน ยัยเพื่อนตัวแสบเลยจะรอบาร์เทนเดอร์กลับห้อง
“แกเอารถฉันไปนะ เดี๋ยวฉันให้ผู้ชายไปส่ง”
มินตราพยักหน้ารับ แล้วหันไปเท้าคางมองฝ่ายชาย
“ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ บ้านอยู่แถวไหน มีแฟนหรือยัง?” เธอรัวคำถามเป็นชุดๆ ทำเอาเพื่อนสาวอ้าปากพะงาบๆ
“พะ เพื่อนรัก แกไม่จำเป็นต้องถามเขาขนาดนั้นก็ได้”
“หือ ได้ไงอะ ทีแกยังถามถึงเรื่องคนของฉันทั้งวันเลย”
กว่าจะได้โอกาสเอาคืนมันไม่ง่าย งั้นขอหน่อยแล้วกัน
“ไง จะตอบคำถามได้หรือยัง?”
ใบหน้าสวยหันไปเค้นคำถาม พลางเลิกคิ้วรอคำตอบ
“ครับ ผมชื่อคิณ อายุยี่สิบห้า บ้านอยู่ฝั่งธน ไม่มีแฟน”
“แล้วเมียละ มีไหม?”
“เมียก็ไม่มีครับ”
เธอหรี่ตาจับผิด ขณะที่มัสสะกิดแขนยิกๆ ให้เลิกถาม
“เจ้าชู้เงียบหรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิครับ แต่ผมคิดว่าผมเป็นคนรักเดียวใจเดียว”
บาร์เทนเดอร์หน้าหล่อ สไตล์หนุ่มเหนือตอบกลับ ทำเอายัยมัสบิดเขินไปมา เพราะชอบผู้ชายพูดจาหยอกเอินเก่ง แต่ในสายตาเธอคิดว่าผู้ชายทรงนี้เจ้าชู้เงียบ ไว้ใจไม่ได้หรอก
“อันตรายมาก อย่าจริงจังนะแก”
เธอหันไปกระซิบข้างหูเพื่อนสาว
“ฉันอันตรายยิ่งกว่า แกเชื่อฉันสิ”
มัสตอบยิ้มๆ พอเธอรู้ว่าเพื่อนคิดยังไง เลยปล่อยวาง
“แกขับรถถึงบ้านแล้วโทรมาหาฉันด้วยนะ เป็นห่วง”
“อื้ม~ นี่! ดูแลเพื่อนฉันให้ดีด้วย ถ้ามีปัญหา เจอดี”
“โอ๊ย~ อย่าขู่คนของฉันสิ แม่เสือสาว”
“ไม่ได้ขู่ แต่ถ้าเพื่อนฉันเป็นอะไรขึ้นมา นายตายแน่!”
นัยน์ตาสวยดุหรี่ลง พร้อมกับใช้สองนิ้วชี้ตาตัวเอง สลับชี้ตาของอีกฝ่ายเป็นการคาดโทษ หากเพื่อนเกิดอันตราย
“ถึงบ้านแล้วอย่าลืมโทรมาหา”
“แกก็เหมือนกัน”
เพื่อนสาวพยักหน้าหงึกๆ ตอบรับ เป็นอันรู้กัน
จากนั้น รถปอร์เช่สีเหลือง ก็ขับออกไปจากที่นี่
บรืนนน!
ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมง กว่าจะกลับมาถึงคฤหาสน์ของตระกูล ‘ไพศาลสมบัติ’ ซึ่งภายใต้เคหสถานหรูหรา มีพื้นที่กว้างขวางเกือบยี่สิบไร่ แต่กลับไม่มีคนในครอบครัวอาศัยอยู่ มีเพียงแม่บ้านกับคนขับรถ ที่เอาไว้ใช้ในยามจำเป็น
อาจจะมีบางช่วงที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหงา เวลากลับบ้านแล้วไม่เจอคนในครอบครัว แต่พอคิดได้ว่าทุกคนมีหน้าที่ และมีธุรกิจที่ต้องจัดการ เธอก็เข้าใจแล้วลบความรู้สึกนี้ไปซะ
“คะ คุณหนูคะ!”
ทันทีที่ขาเรียวยาวก้าวเข้ามาในบ้าน หญิงวัยกลางคนก็รีบเดินดิ่งมาหา ด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ ระคนตื่นกลัว เพราะตัวสั่นเสียงสั่นเหงื่อแตกพลั่ก ราวกับมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
“มีคนแปลกหน้าบุกรุกเข้ามาในบ้านค่ะ”
“ว่าไงนะคะ!?”
“เขาบอกว่าเขาเป็นสามีของคุณหนูค่ะ”
“คะ!?” (!-0-)
“เขาไม่ยอมให้ป้ากดปุ่มฉุกเฉินหาตำรวจ ขู่ว่าถ้ากดจะฆ่าป้า แต่พอคุณหนูกลับมา เขาก็สั่งให้ป้ามาบอกคุณหนู”
เดี๋ยวนะ คนที่สามารถขู่ฆ่าคนอื่นได้ง่ายๆ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เขาจะมาที่นี่เพื่ออะไร ใครจุดธูปเชิญเขามา!?
“คุณป้าไม่ต้องกลัวนะคะ หนูรู้จักเขา”
“แต่เขาน่ากลัวมากเลยนะคะ คุณหนู”
คุณป้าแม่บ้านยังคงยืนตัวสั่นเทิ้ม ซึ่งเธอพอเข้าใจได้ เพราะบุคลิกของผู้ชายคนนั้น ค่อนข้างหยาบโลน เนื้อตัวมีแต่รอยสักแถมยังสูงเกือบสองเมตร ไม่แปลกที่คุณป้าจะกลัวเขา
“ตอนนี้เขาอยู่ไหนคะ?”
“ยะ อยู่สนามหลังบ้านค่ะ”
“โอเคค่ะ”
มินตราตอบรับ ทว่าคุณป้ายังคงจับมือเล็กเอาไว้แน่น เพราะกลัวว่าเธอจะเกิดอันตราย แต่พอได้รับรอยยิ้มตอบกลับ คุณป้าถึงจะยอมปล่อยมือ ให้เธอเดินไปหาผู้ชายคนนั้น
“What!”
เมื่อเดินมาหลังบ้าน หญิงสาวถึงกับอุทานด้วยความตกใจ เพราะมีเครื่องบินเจ็ท จอดโดดเด่นอยู่กลางสนามหญ้า
“เป็นสาวเป็นนาง แต่กลับบ้านเอาป่านนี้”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันขวับไปมอง ก็เห็นชายหุ่นล่ำในชุดสูทสีแดงโลหิต กำลังยืนกอดอกคาดโทษ ราวกับว่าเธอไปทำอะไรผิดมา แต่เท่าที่รู้ตัว เธอไม่ได้ทำอะไรผิด!
“ทานโทษนะคะ พอดีว่าฉันกลับบ้านเวลานี้ทุกวัน ถ้าจะมีคนผิดก็คงเป็นคุณนั่นแหละ ที่บุกรุกบ้านของคนอื่น แถมยังเอาเครื่องบินเจ็ทมาจอด โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านอีก” สาวสวยหน้าคมสวนกลับ พลางใช้สายตาค้อนควัก จ้องมองฝ่ายชาย เพราะยังโกรธเคือง เรื่องที่เขาปล่อยให้เธอตกเตียง หากไม่ยอมขอโทษเรื่องนี้ อย่าหวังว่าเธอจะศิโรราบ!
“ไหนจะเรื่องที่คุณป่าวประกาศ ว่าเป็นสามีของฉัน มันหยาบคายมากเลยนะ” หุ่นเพรียวบางในชุดแม่เสือสาวสุดเซ็กซี่ ยกมือขึ้นเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง ทว่าคู่สนทนากลับใช้สายตาไม่สบอารมณ์ ไล่มองการแต่งตัว ที่จงใจอวดทรวดทรงนาฬิกาทราย และหน้าอกหน้าใจ ร่วมไปถึงท่อนล่าง ที่สวมใส่จีสตริงถุงน่องยั่วเพศ ถึงจะมีกระโปรงตาข่ายแต่ยังโป๊อยู่ดี
พรึบ!
“ใส่ซะ”
เขาถอดชุดสูทโยนใส่หน้า บังคับให้เธอสวมใส่อีกครั้ง
พรึบ!
“บอกแล้วไง ว่าฉันไม่ใส่”
มินตราโยนเสื้อสูทกลับไปอย่างถือดี นั่นยิ่งเป็นการเพิ่มโทสะ ทำให้คนตัวใหญ่เดินดิ่งมาหา แล้วใช้เสื้อสูทห่อร่างเพรียวบางเอาไว้ จากนั้นก็อุ้มพาดไหล่พาไปขึ้นเครื่องบินเจ็ท
“นี่! คุณจะพาฉันกลับไปแบบนี้ไม่ได้นะ”
หญิงสาวเริ่มวีนเหวี่ยง พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการโอบอุ้ม ทว่าเรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิด ไม่สามารถเอาชนะแรงชายมหาศาลได้ ทำให้เธอถูกพาขึ้นเครื่อง อย่างไม่เต็มใจ
“คุณได้ยินที่ฉันพูดไหมเนี่ย!?”
“หยุดโวยวาย แล้วนั่งเงียบๆ!”
ฝ่ายชายตะคอกกลับเสียงดุ ทำเอามินตราอึ้งไปสามวิ
กรึบ!
ระหว่างที่เธอกำลังอึ้งปนตกใจ คนตรงหน้าก็ช่วยคาดสายนิรภัยให้ โดยที่ไม่มีพนักงานคนอื่นๆ อยู่บนเครื่อง ยกเว้นนักบินที่ประจำการอยู่ด้านหน้า ทำให้พื้นที่ตรงนี้ ส่วนตัวมาก
ซึ่งแน่นอน ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้นั่ง Private jet
แต่ถ้าเทียบขนาดลำที่เคยนั่งมาในชีวิต ลำนี้ถือว่าใหญ่ที่สุด เพราะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึงยี่สิบที่นั่ง และมีความหรูหราหมาเห่า ชนิดที่ว่าไฮโซสาวอย่างเธอ ก็ยังตะลึง
“อย่างน้อยก็น่าจะให้โทรบอกเพื่อนก่อน”
มินตราพูดงึมงำคนเดียว เพราะยังไม่ได้โทรบอกเพื่อนสาว ว่าเธอจะกลับไปอยู่บ้านสวนแล้ว มิหนำซ้ำ ยังไม่ได้เก็บกระเป๋าเสื้อผ้า ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ จะกลับไปอยู่ที่นั่น
“เลิกบ่น ถึงบ้านเมื่อไหร่เดี๋ยวให้โทรบอก”
หึ! ไม่ต้องมาพูดจาแบบนี้เลย ไอ้แก่บ้าอำนาจ (-*-!)
“อย่าชักสีหน้า ฉันไม่ชอบ”
ไม่ชอบก็โดดลงจากเครื่องบินไปสิ ไป๊! (ตอบโต้ในใจ)
“กำลังด่าอยู่ในใจใช่ไหม?”
อุ๊ย! ยังแสนรู้เหมือนเดิมเลยนะคะ (ยิ้มเหยาะในใจ)
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
เหอะ! จะพูดได้ยังไง ในเมื่อคุณท่านสั่งให้นั่งเงียบๆ
“มินตรา”
เรียกชื่อด้วยน้ำเสียงดุดันอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอทำสีหน้าแปลกๆ แต่แทนที่เธอจะตอบ กลับนั่งไขว่ห้าง แล้วเชิดใส่
“หึ! งั้นก็ตามใจ อยากทำอะไรก็เชิญ”
เขาประชดกลับ ก่อนจะหยิบขวดแอลกอฮอล์ในตู้เย็นข้างกาย ออกมาเปิดด้วยฝ่ามือ (แข็งแรงเกิ๊น!) แล้วกระดกรวดเดียวหมดขวด ราวกับว่าของเหลวในขวดนั้น คือ น้ำเปล่า
“เฮ้! ดื่มช้าๆ หน่อย เดี๋ยวคุณก็ช็อกตายหรอก”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
แหนะ! มีงอนกลับด้วย สถานการณ์นี้คืออะไรอะ
จากที่เธอโกรธเขา กลายเป็นเขาโกรธเธอ งี้เหรอ?
“ก็ไม่ได้อยากจะยุ่ง แต่ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมา ฉันไม่หามส่งโรงพยาบาลนะ รุ่นนี้แล้ว ต้องหามส่งวัด ให้สัปเหร่อจัดการอย่างเดียว” เธอพูดติดตลก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ตลกด้วย พอเครื่องบินเริ่มนิ่ง กายกำยำก็ลุกขึ้นจากที่นั่งทันที
“นั่นคุณจะลุกไปไหนอะ?”
สาวสวยเอ่ยถามอย่างไม่ไว้วางใจ ทว่าหนุ่มหน้าตาคมเข้ม กลับเดินดิ่งมาหา แล้วใช้ฝ่ามือหยาบใหญ่ เท้าขอบเก้าอี้สีครีม ที่เธอกำลังนั่งอยู่ จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมาใกล้ๆ
“จะ จะทำอะไร?”
หญิงสาวยังคงตั้งคำถามเสียงสั่น ขณะที่นัยน์ตาสวยดุฉายแววเลิ่กลั่ก เมื่อฝ่ายชายเริ่มรุกรานในระยะประชิด จนผิวแก้มนวลเนียน สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว ที่มีกลิ่นของแอลกอฮอล์เจือปน ยิ่งไปกว่านั้นคือสายตาที่มองมาดูแปลกๆ
“ถอดเสื้อผ้า”
“ (-0-!) ”
“ฉันจะทำลูก”
บ้าไปแล้ว เขาจะมีเซ็กซ์บนเครื่องบินเนี่ยนะ!?
“ถ้าคุณเมาก็ควรกลับไปนั่งที่”
“อย่ามาสั่งฉัน ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายออกคำสั่ง”
พูดพลางยกมืออีกข้าง ขึ้นมาบีบพวงแก้มนุ่มนิ่ม
“อือ! อันเอ็บอะ” [อือ! ฉันเจ็บนะ]
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ก็ทำตามที่ฉันสั่ง”
สิ้นสุดประโยคนั้น ชายบ้าอำนาจก็คลายแรงบีบ ออกจากพวงแก้มแดงซ่าน แล้วใช้สายตากดดัน ให้เธอถอดเสื้อผ้า
“ฉันไม่ทำ ถ้าคุณอยากทำก็ถอดเองสิ”
สาวสวยเล่นแง่ พลางกดนัยน์ตามีเสน่ห์ มองเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของตนเอง เพื่อยั่วยวนให้ฝ่ายชายเป็นคนเริ่มก่อน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เธอไม่ต้องตกอยู่ภายใต้โอวาท หากเธอยอมถอดตามคำสั่ง เขาจะได้ใจแล้วใช้การบังคับเพื่อข่มขู่เธอ
“ได้”
หนุ่มหล่อ มาดเจ้าพ่อมาเฟียหลงกล ตอบตกลงแล้วปลดสายคาดนิรภัย ก่อนจะโอบอุ้มร่างเพรียวบาง ย้ายไปนั่งบนโซฟาตัวยาวครีม แต่ก่อนที่ฝ่ายชายจะลงมือปลดเปลื้องอาภรณ์ มือเล็กก็รีบยกขึ้นจับข้อแขนแกร่ง แล้วสบตาคมกริบ
“ถ้าอยากทำลูก คุณต้องเล้าโลมด้วยนะ”
มินตราเริ่มสร้างข้อต่อรอง เพราะคิดว่าผู้ชายประเภทนี้ ไม่ยอมอยู่ภายใต้ค่ำสั่งง่ายๆ จนกว่าจะต้องการสิ่งนั้นจริงๆ
“บอกแล้วไง ว่าฉันไม่ได้พิศวาสเธอ”
เสียงทุ้มเข้มกดต่ำ ขณะที่แววตาของเสือร้าย ยังคงจ้องลึกเข้ามาในดวงแก้วสีดำนิล อย่างไม่ละสายตา ทว่าสาวสวยกลับไม่ยอมให้มือใหญ่ สัมผัสเนื้อผ้าบนเรือนร่าง จนกว่าเขาจะยอมตอบตกลง แล้วเล้าโลมตามความต้องการของเธอ
“แต่หนูอยากให้คุณเลียตรงนั้นของหนู”
หญิงสาวเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเอง แล้วใช้คำพูดส่อไปในแนวทางติดเรท เพื่อกดให้อีกฝ่าย ยอมทำตามคำขอ หากเธอไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องควบคุม ผู้ชายที่ชอบใช้อำนาจบีบบังคับ เธอจะไม่มีวันพูดแบบนี้ เพราะรู้สึกอายปาก