หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
บรืนนนนน!
เสียงรถออฟโรดหลายสิบคัน ขับเข้ามาจอดกลางลานดินกว้างขวาง ก่อนที่หนุ่มหน้าตาคมเข้ม มาดเจ้าพ่อมาเฟีย จะเดินนำลูกน้องเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ ชายหนุ่มที่มินตราแอบชอบ ไม่ได้กลับมาด้วย เธอเลยรู้สึกเศร้า แต่เศร้าได้ไม่นานนัก เพราะวันนี้เป็นวันที่เธอต้องสารภาพผิด
ใจหนึ่งก็เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่าจะถูกท่านพญาเสือจับหักคอ แต่อีกใจหนึ่งก็เกรงว่าอยู่ต่อ อาจจะโดนลากขึ้นเตียงอีก ซึ่งมันไม่ดี หากจะต้องเสียตัว เพื่อเข้าหาผู้ชายอีกคน
“คุณท่านอนุญาตให้เข้าพบช่วงเย็น คุณญาณีรอก่อนนะคะ” คุณป้ากลิ่นหยดแวะมาบอกเรื่องเวลา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ระหว่างรอ มินตราเลยย้ายไปนั่งอยู่ริมบึง เพื่อคิดหาคำพูด ไปอธิบายให้ท่านพญาเสือเข้าใจ ว่าเธอไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ในการแอบอ้างเป็นแม่อุ้มบุญ เพียงแค่อยากเข้ามาหาคนที่แอบชอบเพื่อรับรู้เส้นทางชีวิตของเขา
“ถึงจะเป็นความจริง แต่ถ้าพูดไปแบบนั้น เขาต้องไม่เข้าใจแน่เลย” เหตุผลที่มีมันอ่อนมาก เสียจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ ซึ่งมันก็เป็นความคิดที่แย่มากจริงๆ ที่เธอปลอมตัวเข้ามาด้วยเหตุผลนี้ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ทำ
“ย้อนเวลาบ้าอะไร มันย้อนกลับไปไม่ได้เสียหน่อย”
หญิงสาวเริ่มทะเลาะกับตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไง ให้มีเหตุผลมากพอ ขนาดนั่งคิด นอนคิด มาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ก็ยังไม่มีคำพูดดีๆ มีแต่ความจริง ที่เธอทำตัวโง่ๆ
“คุณญาณีคะ ถึงเวลาแล้วนะคะ”
“คะ!?”
ทะ ทำไมเวลาถึงผ่านไปเร็วจัง (-0-!?)
“คุณท่านรออยู่บนห้อง คุณญาณีจะไปเลยไหมคะ?”
“ปะ ไปเลยค่ะ”
เจ้าของใบหน้าสะสวยรีบตอบรับ ก่อนจะชันตัวลุกขึ้นยืน แล้วเดินตามหญิงวัยกลางคนเข้าไปในตัวบ้านหลังใหญ่ ซึ่งระหว่างทาง เธอหันไปยิ้มแห้งๆ ให้คุณป้าแม่ครัว ที่รู้จักกัน
ซึ่งทุกคนเป็นมิตรและเอ็นดูเธอมาก แต่มีหนึ่งคนที่ไม่เป็นมิตร แล้วคิดว่าไม่น่าจะเอ็นดูเธอด้วย ก็คือ ท่านพญาเสือ
“เข้าไปในห้องนี้ได้เลยค่ะ”
คุณป้าพูดเสียงกระซิบ เพราะเกรงใจคนในห้อง
“หะ ให้หนูเข้าไปคนเดียวเหรอคะ?”
“แล้วจะให้ดิฉันเข้าไปทำไมเหรอคะ?”
อ่า นั่นสิเนอะ ทำไมเธอถึงทำตัวโง่อีกแล้ว (T~T)
“เดี๋ยวค่ะ”
คุณป้าเอื้อมมือจับแขน ทำเอาเธอสะดุ้งโหยงทันที
“ขออภัยค่ะ ดิฉันแค่อยากจะเตือนว่าวันนี้คุณท่านอารมณ์ไม่ค่อยดี ถ้าหากเรื่องที่คุณญาณีต้องการจะแจ้ง เป็นเรื่องไม่ดีเหมือนกัน คุณญาณีอาจจะโดนท่านต่อว่ากลับมาได้นะคะ” อะ อ้าว แล้วทำไมคุณป้าเพิ่งจะมาบอกตอนนี้เล่า!
กรึบ!
ขณะที่หญิงสาวกำลังยืนสบถอยู่ในใจ ประตูไม้สักก็ถูกเปิด ก่อนที่เจ้าของร่างใหญ่สูงกำยำ จะปรากฏตัวตรงหน้า
“มัวแต่ยืนกระซิบกระซาบ แล้วเมื่อไหร่จะเข้ามา”
เสียงทุ้มต่ำพูดพลางใช้สายตาดุดัน จ้องเขม็งมาที่เราสองคน พอคุณป้าเห็นสายตานั้น จึงรีบปลีกตัวลงไปข้างล่างทันที เหลือแค่เธอ ที่ยืนตัวสั่นเกร็ง เหมือนตอนที่เจอเสือโคร่ง
“ถ้ายังไม่เข้า…”
“ขะ เข้าค่ะ!”
มินตรารีบพูดแทรก เพราะไม่อยากเสียโอกาสในการสารภาพผิด แม้จะเกรงกลัวฝ่ายชายเป็นอย่างมาก แต่การยืดเวลา ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แต่จะทำให้ทุกอย่างแย่กว่าเดิม
กรึบ~
เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง ประตูไม้สักก็ถูกปิดลง ก่อนที่ชายร่างใหญ่ภายใต้ชุดคลุมลายมังกร จะย่างกรายไปนั่งอยู่หน้าเครื่องพิมพ์ดีด พลางหยิบแว่นตากรอบสีใสขึ้นมาสวมใส่
“เออ ฉันมารบกวนการทำงานของคุณหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ มีอะไรก็พูดมา”
เสียงกดต่ำน่ากลัว คล้ายเสียงขู่ขวัญ ทำให้เธอใจสั่น
ฮึบ! ยัยมินตรา แกต้องตั้งสติ อย่าเพิ่งขวัญกระเจิงนะ
“คือว่า…ฉันมีเรื่องจะสารภาพค่ะ”
ใช่! มันต้องแบบนี้ กล้าทำ ก็ต้องกล้าสารภาพออกไป
“สารภาพ?”
นัยน์ตาคมกริบช้อนละจากแป้นพิมพ์ดีด แล้วมองมาที่เธอด้วยสายตาไม่ค่อยสบอารมณ์ อันที่จริง เขาชอบชักสีหน้า เหมือนคนอารมณ์ไม่ดีตลอดเวลา และแววตาที่จ้องมองมา เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม ทำให้คู่สนทนารู้สึกกดดัน
“คะ คือว่าฉันไม่ใช่”
พูดไปสิ ยัยมินตรา ว่าแกไม่ใช่แม่อุ้มบุญตัวจริง!
“ไม่ใช่ญาณีตัวจริง”
“ค่ะ! หือ” (!-0-)
มินตราถึงกับเหวอ เพราะไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องนี้
“คิดว่าฉันโง่งั้นเหรอ?”
เขาพูดเสียงเรียบ ทว่าแววตากลับดุดันยิ่งกว่าเดิม
“ฉะ ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยค่ะ ฉันแค่...”
เอ๊ะ! ว่าแต่เขารู้ความจริงตั้งแต่เมื่อไหร่อะ?
“คะ คุณทำ ทั้งที่รู้ว่าฉันไม่ใช่ตัวจริงเหรอคะ?”
เธอเอะใจเรื่องนี้ เลยตั้งคำถามกลับไป แต่ว่าฝ่ายชายกลับปิดปากเงียบ แล้วเอือมมือที่เต็มไปด้วยรอยสัก หยิบบางสิ่งออกมาจากลิ้นชัก ซึ่งของที่หยิบออกมา คือ ‘กระบอกปืน’
“คุณจะฆ่าฉันเหรอคะ!?”
“มันเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่หรือไง?”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณไม่ควรทำสิ่งนั้นเลย”
“แล้วทำไมฉันถึงไม่ควรทำสิ่งนั้น ในเมื่อเธอจงใจเข้ามาที่นี่ เพื่อแอบอ้างว่าตัวเองเป็นแม่อุ้มบุญ” ทุกประโยคที่เขาพูดมา มีแต่คำว่าฉิบหายอยู่ในหัวสมองของเธอ แสดงว่าเขารับรู้ทุกอย่าง แต่ก็ไหลตามน้ำ แถมยังเอาเธอแรงขนาดนั้นอีก
“ฉะ ฉันเป็นเมียคุณนะ”
กรี๊ดดด! ยัยบ้า ไปพูดอย่างนั้นกับเขาได้ยังไง (!-0-)
“หึ!”
ฉิบหายของแท้! ฮือออ ยัยมัส ขอโทษที่ไม่เชื่อฟังแก
“ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย”
หญิงสาวรีบยกมือไหว้ พร้อมกับกล่าวคำขอโทษรัวๆ
“ฉันมันโง่เองที่ตัดสินใจทำอะไรแบบนี้”
“ไม่ คนอย่างเธอ เรียกว่าไม่มีมันสมองเลยต่างหาก”
ฉึก! เหมือนถูกมีดปักกลางอก (ทำไมเขาด่าเจ็บจัง?)
“ค่ะ ฉันเป็นอย่างที่คุณพูดมา ขอโทษอีกครั้งนะคะ”
ถึงจะอยากเถียงเพื่อรักษาหน้า แต่ขอไม่เถียงดีกว่า
ตอนนี้สิ่งที่เธอควรทำ คือ ขอโทษ แล้วไปจากที่นี่ซะ
“ฉันยินดีที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง”
“ไม่จำเป็น”
“โอ้~ งั้นแสดงว่าฉันสามารถไปได้เลยใช่ไหมคะ?”
แอบดีใจ หากเขาจะใจดีมีเมตตา ปล่อยเด็กคนนี้ไป
“เธอจะไปไหน?”
“กลับกรุงเทพไงคะ”
“ใครอนุญาตให้กลับ?”
“อ้าว แล้วต้องการให้ฉันทำอะไรต่อจากนี้เหรอคะ?”
“อุ้มท้อง”
“What!?” ถึงกับหลุดคำอุทานเป็นภาษาอังกฤษ
“ขะ ขอโทษค่ะ แต่ฉันไม่ใช่แม่อุ้มบุญตัวจริงนะคะ”
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้โง่”
“ถ้าคุณไม่ได้โง่ แล้วทำไมถึงยังให้ฉัน…ขอโทษค่ะ”
พอเห็นสายตาเชิงตำหนิ เธอจึงรีบยกมือไหว้ขอโทษ
“ฉันแค่ไม่พร้อมที่จะอุ้มท้องให้ใคร แต่ถ้าคุณปล่อยฉันไปฉันสัญญาว่าจะหาแม่อุ้มบุญคนใหม่มาให้คุณแน่นอน”
“คิดว่าฉันชอบเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อยหรือไง?”
“อ่า คุณซีเรียสเรื่องนี้เหรอคะ?”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะชันตัวลุกขึ้นยืน
“ในเมื่อเข้ามาที่นี่แล้ว เธอก็ต้องรับหน้าที่นี้ไป”
“ไม่ได้ค่ะ!”
“ทำไมจะไม่ได้?”
“ก็เพราะว่าฉันไม่ได้ชอบคุณ”
“สำคัญด้วยหรือไง?”
“ไม่สำคัญสำหรับคุณ แต่มันสำคัญสำหรับฉัน”
“แล้วยังไง ถ้าไม่ทำก็ตายที่นี่”
“เอาจริงเหรอ คุณจะฆ่าฉันด้วยเหตุผลนี้เหรอ?”
“แล้วมันมีเหตุผลอะไร ที่ฉันต้องละเว้นชีวิตเธอ?”
สวนกลับแล้ววางปืน ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“ฉันไม่ได้มีเวลามากพอที่จะทำเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าเธอยกเลิกข้อตกลงในสัญญา ฉันจะฆ่าเธอให้คุ้มกับค่าเสียเวลา”
“…..”
มินตราเงียบ ไม่กล้าสบสายตาคู่นั้น
เพราะในแววตาของเขา กำลังบอกว่าไม่สนุกกับสิ่งที่เธอทำลงไป หากปฏิเสธ เขาจะฆ่าเธอ อย่างที่คาดโทษเอาไว้
“แล้วก็จำใส่สมองเอาไว้ ว่าฉันไม่ได้พิศวาสในตัวเธอ ฉันแค่ต้องการทายาทที่มาจากสายเลือด เพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล ศิลาภัค เพราะฉะนั้น อย่าทำให้เรื่องมันยากไปกว่านี้”
หญิงสาวขบเม้มริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด เพราะรู้สึกเจ็บใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงพยักหน้าตอบรับอีกฝ่าย
“ตกลง ฉันจะทำตามสัญญา”
“อืม งั้นก็รีบไสหัวไปขึ้นเตียง”
“…..”
“แล้วทำหน้าที่อีตัวของเธอซะ”
“ฉันไม่ใช่อีตัว”
“อีกเดี๋ยวก็ใช่”
สิ้นสุดประโยคนั้น ฝ่ามือหยาบกร้านก็ยกขึ้นบีบรัดลำคอระหง ทว่าคนตัวเล็กกลับดิ้นขัดขืนไม่ยอมไปง่ายๆ เลยโดนฝ่ามืออีกข้าง จิกทึ้งผมยาวสลวย บังคับให้เจ้าของร่างเพรียวบาง เดินไปที่เตียงนอนขนาดใหญ่ แล้วฟุบหน้าลงไปบนฟูกสีขาว ก่อนที่คนด้านหลัง จะถกผ้าถุงขึ้นมาบนกองเอวคอดกิ่ว แล้วปลดปมกางเกงผ้าสีดำ เพื่องัดของตัวเองออกมา
“ยะ อย่านะ กรี๊ดดด!”
มินตรากรีดร้องลั่น เมื่อแกนกายใหญ่ยาว แหวกผ่านกางเกงในตัวจิ๋ว เข้าไปในร่องสวาทคับแน่น ความรู้สึกแสบสันที่เพิ่งหายดี ตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกถึงมันอีกครั้ง เม็ดมุกที่อยู่ใต้ผิวหนัง เริ่มบดขยี้ผนังเนื้อด้านใน จนน้ำเมือกไหลเยิ้ม
“โอ๊ย! ฉันเจ็บ อะ อือ!”
แรงกระแทกป่าเถื่อน ทำให้คนตัวเล็กถูกกดจมเตียง ก่อนที่คนด้านหลัง จะบีบขยำบั้นท้ายงอนงาม แล้วกดสะโพกสอบ กระหน่ำแทงไม่ยั้ง จนเธอเริ่มทนไม่ไหว กับความรุนแรง