ตอนที่ 4 เมื่อดอกอวี้หลันโปรยปราย 1

1964 คำ
ถนนหนานโหลวกู่เซียง  หนานโหลวกู่เชียง เป็นถนนคนเดินซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงปักกิ่ง ตั้งอยู่ในเขตตงเฉินทางทิศเหนือของพระราชวังต้องห้าม ทั้งสองข้างทางกว่า 800 เมตรเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย มีทั้งร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง ร้านกาแฟ ผับ บาร์ และร้านอาหาร อาคารบ้านเรือนของที่นี่มีอายุหลายร้อยปี นับเป็นตรอกซอกซอยที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงปักกิ่ง ซึ่งได้รับการอนุรักษ์จากรัฐบาลไว้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งส่วนใหญ่จะทำการดัดแปลงเป็นร้านค้าแต่ก็ยังคงความเก่าแก่ของแบบบ้านโบราณเอาไว้ทุกอย่างดั่งเช่นบ้านเรือนของผู้คนในยุคอดีต แก๊งนางร้ายที่สามสาวใช้เรียกเวลารวมตัวกัน แต่ละคนมีลักษณะโดดเด่นแตกต่างกันออกไป แต่ที่แน่นอนก็คือความสวยที่โดดเด่นและสรีระของร่างกายที่กินกันไม่ลง ร่างสูงงามระหงเกือบจะเท่ากันทุกคนตามยุคสมัยของผู้คนในยุคสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 21 มีเพียงเฉินเสวี่ยม่านเท่านั้นที่สูง 168 เซนติเมตร ส่วนลี่มี่มี่และหวังจิวเซียนสูง 170 เซนติเมตรเท่ากัน หวังจิวเซียนถูกเพื่อนร่วมแก๊งตั้งฉายาให้แก่เธอว่านางร้ายแห่งเฉาหยางเพราะคุณพ่อของเธอเป็นบุคคลมีอิทธิพลในเขตพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด ในขณะที่เฉินเสวี่ยม่านมีฉายาว่านางร้ายคลุกฝุ่น เพราะวันๆ คุณเธอคลุกตัวอยู่กับการออกพื้นที่ฝึกภาคสนามไปกับกองงานโบราณคดีที่ร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยซึ่งกำลังศึกษาอยู่ และลี่มี่มี่ที่เพื่อนๆ ต่างตั้งฉายาให้เธอว่านางร้ายหน้าเงินเพราะทุกเวลามีค่าเป็นตัวเงินเสมอสำหรับความคิดของหญิงสาว นางจะกดเครื่องคิดเลขอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ล่วงรู้ว่าตัวเองจะได้เงินหรือเสียเงินเป็นจำนวนเท่าไรในแต่ละวัน แต่ถึงลี่มี่มี่จะหน้าเงินเพียงใดบทแม่คุณจะใจใหญ่ก็ไม่ยั้งเช่นกันเพราะเธอบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลทุกครั้งที่ได้เงินมาจากน้ำพักน้ำแรงไม่ได้ขาดอยู่เสมอ แม้ว่าในเวลานี้จะไม่เดือดร้อนในเรื่องเงินทองก็ตามแต่ก็ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะหารายได้ให้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะคิดว่าทุกอย่างย่อมมีวันหมดไปเสมอ แก๊งนางร้ายพากันมาเดินเที่ยวถนนหลานโหลวกู่เซียง นับตั้งแต่พากันออกมาจากห้างสรรพสินค้าซึ่งแต่ละคนเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรังมากมายเต็มสองมือไปหมดทั้งสามสาว หวังจิวเซียนและเฉินเสวี่ยม่านส่วนใหญ่จะหมดไปกับเครื่องแต่งกายแบรนด์แนม ในขณะที่ลี่มี่มี่จะหมดไปกับเครื่องสำอางจากแบรนด์ดัง ที่เธอต้องใช้ในการประกอบทำคลิปสอนการแต่งหน้าและการแสดงงิ้ว นอกเหนือจากจะมีฝีมือทางการแต่งหน้าได้หลากหลายแล้ว ลี่มี่มี่ยังมีพรสวรรค์ในการวาดรูปได้อย่างน่าอัศจรรย์เธอสามารถวาดภาพทุกอย่างออกมาได้เหมือนจริงราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะภาพเหมือนของคน เธอสามารถวาดออกมาราวกับว่าคนที่ตายไปแล้วมีชีวิตและตัวตนขึ้นมาอีกครั้งผ่านภาพวาดดังกล่าวจึงทำให้ลี่มี่มี่มีรายได้จากการวาดภาพที่เสมือนจริงเพิ่มขึ้นอีกด้วย เป็นสาววัยรุ่นที่หาเงินเก่งอย่างหาตัวจบยากและมีพรสวรรค์หลายอย่างในตัวเอง “เดินกันมาตั้งนานแล้วพักกินน้ำก่อนเถอะ ร้อนอบอ้าวเป็นบ้าเลยเสี่ยวเซียน เสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่บอกเพื่อนสนิทพลางหยุดเดินพร้อมกวาดสายตามองหาร้านขายน้ำตามสองข้างทาง “ก็ดีเหมือนกันไปหาที่นั่งดื่มน้ำหรือกาแฟ และนั่งรับลมเย็นๆ กินบรรยากาศแบบฟินๆ หรือดื่มชาแก้กระหายตามแบบฉบับของคนโบราณก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ว่าแต่จะไปนั่งร้านไหนดีละที่มีบรรยากาศแบบนั้น”หวังจิวเซียนพูดพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบพร้อมใช้ศอกสะกิดเพื่อนสาวทั้งสองของเธอ “เสี่ยวม่านเป็นกูรูยอดนักรู้ไม่ใช่เหรอ แถวนี้ถิ่นเธอน่าจะรู้ดีกว่าเพื่อนรู้จักทุกพื้นที่ไปหมด ไม่มีหรอกที่แม่นางคลุกฝุ่นผู้นี้จะไม่ล่วงรู้สิ่งใด”หวังจิวเซียนหยอกเย้าเพื่อนสาว “ว่าเข้าไปนั่นฉันก็ไม่ได้รู้จักหรือล่วงรู้ไปทุกเรื่องหรอกนะ”เฉินเสวี่ยม่านบ่นพึมพำพลางกลอกตาไปมามองหาอะไรบางอย่าง “มองหาอะไรอยู่เหรอเสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่ถามเพื่อนกลับไปด้วยความสงสัยพลางมองตามไปยังสองข้างทาง “กำลังมองหาที่นั่งกินกาแฟไงเล่า จำได้ว่าอาจารย์เคยบอกแถวนี้มีบ้านเก่าแก่ในยุคต้นของราชวงศ์หมิงมาขออนุญาตทำเป็นห้องสมุดสำหรับให้ประชาชนเข้ามานั่งพักผ่อนและอ่านหนังสือได้ด้วยนะ แล้วก็มีเครื่องดื่มหลากหลายให้บริการ แต่ฉันไม่เคยมาสักที เห็นอาจารย์บอกว่าแถบนี้เคยเป็นชุมชนที่รุ่งเรืองมากเลยนะในยุคโบราณ มีเส้นทางเชื่อมต่อกับจวนโบราณของพวกขุนนางคนสำคัญ ที่อยู่นอกเขตพระราชวังต้องห้ามยังมีหลงเหลือให้เห็นบางส่วนแต่จะให้คงสภาพเอาไว้เหมือนในอดีตค่อนข้างมีน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลยทีเดียว” ลี่มี่มี่และหวังจิวเซียนต่างพากันพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกันพลางช่วยกันมองหา ก่อนจะได้ยินเสียงของเฉินเสวี่ยม่านกรอกเสียงไปตามสายเมื่อเธอยกโทรศัพท์มือถือรับสายปลายทาง “ค่ะอาจารย์...ไม่มีปัญหาได้แน่นอนค่ะเดี๋ยวหนูจะพาเพื่อนไปพบอาจารย์จะให้ไปวันไหนดีคะ”พูดพลางหันกลับมามองหน้าเพื่อนรักทั้งสอง หูก็ฟังปากก็พูดไปพร้อมกันก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปเมื่อเห็นสายตาของหวังจิวเซียนบ่งบอกว่าไม่ค่อยจะพอใจ “หนูขอถามราคาก่อนนะคะอาจารย์ว่าคิดเท่าไร!”เสียงของเฉินเสวี่ยม่านตอบอีกฝ่ายกลับไปเช่นนั้น ท่ามกลางสายตาของเพื่อนสาวทั้งสอง “ท่าทางจะมีเคสด่วนแน่เลย อะไรกันนานทีจะว่างได้มาเที่ยวด้วยกันแบบนี้ยังจะมีงานเข้ามาอีก”หวังจิวเซียนบ่นออกมาทันทีเมื่อได้ยินการสนทนาของเพื่อนรัก “คงแค่สั่งงานไม่มีอะไรหรอกกระมังเสี่ยวเซียน หน้าหงิกไปได้”ลี่มี่มี่เอ่ยปลอบเพื่อน “มี่มี่!”เสียงของเฉินเสวี่ยม่านร้องเรียกเพื่อนรักเมื่อวางสายจากอาจารย์ ฮือ! หญิงสาวส่งเสียงอยู่ในลำคอแทนการขานรับพลางหันกลับมามอง “อาจารย์ของฉันมีงานพิเศษอยากให้มี่มี่ไปแต่งหน้าเจ้าสาวให้หน่อย พอดีลูกสาวของอาจารย์เป็นแฟนคลับของเธอชื่นชอบการแต่งหน้าแปลงโฉมจากคนไม่สวยกลายเป็นคนสวยได้ คนที่สวยอยู่แล้วยิ่งแต่งยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก งานแต่งจะมีขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้าเธอคิดราคาเท่าไรมี่มี่”เฉินเสวี่ยม่านถามเพื่อนรักกลับไป “ชั่วโมงละ 1000 หยวน”ลี่มี่มี่ตอบสวนกลับไปทันทีโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย หา! เฉินเสวี่ยม่านอุทานออกมาทันทีก่อนจะใช้มือยกขึ้นลูบใบหน้าสวยเฉี่ยวของเพื่อนสาวไปมา “หน้าเลือดเป็นบ้าเลยมี่มี่คิดเป็นชั่วโมงเลยเหรอ ลดอีกหน่อยได้ไหม”เฉินเสวี่ยม่านพยายามเจรจาต่อรอง “ปกติฉันคิดชั่วโมง 1500 หยวนนะเสี่ยวม่าน คิดแค่หนึ่งพันหยวนนี่ก็ถูกมากแล้วเพราะเห็นว่าเป็นอาจารย์ของเธอ แต่จะให้ลดลงกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ทำอะไรก็ตามจะต้องได้ค่าเหนื่อย กำไรและค่าเสียเวลาทุกนาทีมีค่าเป็นเงินเป็นทอง อีกอย่างเครื่องสำอางที่นำมาใช้สำหรับแต่งหน้าล้วนอย่างดีนะยะ ฉันไม่ให้เสียชื่อบิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังของฉันหรอก ละ...”ลี่มี่มี่กล่าวยังไม่ทันจบสองมือของเพื่อนรักรีบยกขึ้นห้ามพร้อมรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “โอเคมี่มี่ยาวเลยแม่คุณ เดี๋ยวฉันจะช่วยอาจารย์สำรองจ่ายให้เองเกิดอาจารย์สู้ไม่ไหวกับราคาของเธอ เพราะถึงอย่างไรคาดว่าทางฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็อยากให้เจ้าสาวของเขาสวยที่สุดในวันแต่งงานคงไม่เกี่ยงเรื่องราคาหรอกกระมัง”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนของเธอ “ตามนั้นเสี่ยวม่าน...ว่าแต่หิวน้ำจริงๆ นะไปหาน้ำกินกันก่อนเถอะ คอแห้งไปหมดแล้วเนี่ย”ลี่มี่มี่บ่น “เออไปๆ พอดีเลยเมื่อครู่อาจารย์โทรมาฉันก็เลยถามมาแล้วว่า บ้านที่นำมาทำเป็นห้องสมุดตั้งอยู่ตรงไหน อาจารย์บอกชื่อมาด้วยก็เลยง่ายขึ้นมาเยอะเลย”หญิงสาวพูดพลางยกมือถือขึ้นกดหาจีพีเอสทันที “นี่ไงเจอแล้วห้องสมุดอวี้หลันที่นี่แหละ”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางยกมือถือให้เพื่อนสนิททั้งสองของเธอได้เห็น “อวี้หลัน!”ลี่มี่มี่พูดออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ห้องสมุดอวี้หลันเหรอทำไมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย”หวังจิวเซียนถามกลับไปหลังจากยืนฟังอยู่นานก่อนจะหันกลับไปมองลี่มี่มี่ที่อุทานออกมาเมื่อได้ยินชื่อของหอสมุดดังกล่าว “มี่มี่เป็นอะไรหรือเปล่าเมื่อกี้ได้ยินเสียงเธอคล้ายตกใจเลยพอได้ยินชื่อของหอสมุดนี้”หวังจิวเซียนหันกลับไปถามเพื่อนรัก “จริงสิมีอะไรหรือเปล่ามี่มี่”เฉินเสวี่ยม่านถามขึ้นมาอีกเสียง ใบหน้างามสุดเฉี่ยวส่ายไปมาติดต่อกันพร้อมเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกแปลกใจที่ห้องสมุดนั้นตั้งเป็นชื่อดอกไม้ก็เท่านั้นเอง จะไปที่นั่นไม่ใช่เหรอจะรั้งรอกันอยู่ทำไมไปสิ ฉันหิวน้ำจะตายอยู่แล้ว”ลี่มี่มี่บอกเพื่อนๆ ของเธอ หากแต่ลี่มี่มี่กลับไม่บอกจนหมด ด้วยเพราะเมื่อช่วงย่ำรุ่งหญิงสาวฝันเห็นป้ายชื่อขนาดใหญ่ติดไว้เหนือประตูพร้อมเขียนคำว่า ห้องสมุดอวี้หลัน ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือฝันนั้นแท้จริงแล้วคือลางบอกเหตุอะไรบางอย่างกันแน่ก็ไม่อาจรู้ได้ “โอเค...ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พวกเราไปนั่งพักหลบลมร้อนกันก่อน สักประมาณหกโมงเย็นค่อยออกไปเดินซื้อของกินที่จะออกมาตั้งขายแล้วค่อยกลับบ้านกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตระเวนหาซื้อที่อื่นอีก”เฉินเสวี่ยม่านกล่าวพลางก้าวเดินนำหน้า “ว่าอย่างไงก็ว่าตามกัน”หวังจิวเซียนพูดพร้อมเดินตามหลังเพื่อนของเธอไปติดๆ ในขณะที่ลี่มี่มี่ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวได้แต่เดินตามเพื่อนสาวของเธอทั้งสองคนไปอย่างเงียบๆ หากแต่ภายในใจกลับเฝ้าครุ่นคิดไปตลอดทางที่ก้าวเดิน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม