ด้วยเพราะความโคลงเคลงของพื้นถนน เหลียนเฟยเจินจึงพยายามลืมตาที่ถูกหนังตากดทับไว้จนหนักอึ้ง เพื่อดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทำไมเธอจึงรู้สึกเหมือนถูกเขย่าไปทั้งตัวแบบนี้ ทั้งๆที่จำได้ว่าตนเองนอนอยู่ในคอนโดที่พักส่วนตัวบนเตียงนอนราคาหลายแสนหยวน เหตุใดจึงปวดเนื้อปวดตัวอย่างกับนอนพื้นแข็งๆ เหมือนเวลาออกไปปฏิบัติภารกิจยังพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้
ดวงตากลมโตมองเห็นห้องขนาดเล็กที่ทำจากไม้ ทั้งยังประดับประดาไปด้วยผ้าสีแดงจนทั่วห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ และห้องที่เธอนอนอยู่ในเวลานี้เคลื่อนที่ได้ ทันใดนั้นเหลียนเฟยเจินก็ลืมตาตื่นขึ้นเต็มตา สติที่เริ่มเต็มร้อยทำให้สายตาที่พึ่งลืมตาตื่นกวาดสายตามองไปรอบๆด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ต้องมาสะดุดตาที่ผ้าโปร่งบางสีแดงที่ปกคลุมใบหน้าของตนเองอยู่
“รถม้า!! นอนอยู่ในคอนโดหลายล้านแต่ตื่นขึ้นมาบนรถม้าโบราณ ฉันดูซีรีส์เยอะจนเก็บมาฝันหรือตายไปแล้ววิญญาณล่องลอยมาถึงยุคโบราณกันแน่” เสียงพึมพำเอ่ยออกมาแผ่วเบา เพราะลำคอที่แห้งผากขาดน้ำเลยออกเสียงมากไม่ได้
“หืม ชุดสีแดงทั้งตัวเหมือนชุดแต่งงานยุคโบราณ แล้วอะไรเต็มหัวไปหมดหนักชะมัด โอ๊ย!!”
เหลียนเฟยเจินลองหยิกเนื้อที่แขนของตัวเองอย่างแรง เพราะอยากมั่นใจว่าตอนนี้เธอกำลังหลับฝัน หรือเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริงกันแน่
“เห้ย!!เรื่องจริงหรือ” เหลียนเฟยเจินเอ่ยเสียงแผ่วเบาพอให้ตนเองได้ยินก็เท่านั้น เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองเผลอทำเสียงดังไปก่อนหน้านี้
“คุณหนูเป็นกระไรเจ้าคะ ข้าได้ยินเสียงท่านร้อง เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”
เสียงเรียกขานดังมาจากข้างนอกรถม้า เมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด หยวนถิงสาวใช้คนสนิทของเหลียนเฟยเจินออกไปนั่งข้างคนขับรถม้าตามธรรมเนียมปฏิบัติ ทำให้นางไม่รู้ว่าคุณหนูของนางนอนหมดสติมาสักพักใหญ่แล้ว และยามนี้ก็หาใช่คุณหนูแสนเรียบร้อยคนเดิมอีกต่อไป
“ไม่มีอะไร ข้าแค่ตกใจที่รถม้าตกหลุมเพียงเท่านั้น” เหลียนเฟยเจินรีบนำบทพูดที่จดจำจนขึ้นใจจากการดูซีรีส์จีนโบราณตามกระแสนิยม เพื่อตอบกลับไปไม่ให้เกิดพิรุธใดๆ
เวลานี้เธอกำลังรอคอยให้ความทรงจำเจ้าของร่างกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ เหมือนที่เคยอ่านในนิยายออนไลน์และจากการดูซีรีส์แนวทะลุมิติมาหลายเรื่อง แต่ทว่ารอแล้วรอเล่าจนผ่านไปราวๆ10นาที ก็ไม่มีความทรงจำของร่างนี้เกิดขึ้นในสมองอย่างที่จินตนาการเอาไว้
“เมื่อไหร่ความทรงจำจะมาเล่าแม่เจ้า ไม่ใช่ไม่มาหรอกนะ หรือจะมาคืนนี้ตอนนอนหลับ แล้วถ้าฉันนอนหลับตอนนี้ล่ะจะมาไหม โอ้ย!!ช่างมารดามันแล้วไม่มาก็อย่ามาเถอะ มาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องไปตายเอาดาบหน้า”
เสียงบ่นพึมพำอยู่คนเดียวตามนิสัยเลือดร้อนของทหารหญิง ที่คลุกคลีอยู่กับเพื่อนผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงจะไม่ได้ไปออกภาคสนามบ่อยครั้ง เพราะเป็นหมอทหารที่รับราชการประจำอยู่ในโรงพยาบาลทหารในกรุงปักกิ่ง แต่การฝึกร่วมกับสหายชายก็มีอยู่ไม่ขาด เธอจึงมีอุปนิสัยห้าวหาญคล้ายผู้ชาย ไม่ใช่คุณหมอที่นิสัยเรียบร้อยอย่างที่ผู้คนพบเห็นจากการวางตัวที่ถูกต้องตามกาละเทศะ