“ท่านพี่ ในวังหลวงมีหมอหลวงกี่ท่านที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้”
ถึงจะไม่ชินปากเพียงไร แต่นางก็เรียกขานสามีตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า จะได้ไม่ถูกเขากล่าววาจาค่อนขอดในภายหลัง
“หมอหลวงมีเพียง20คนเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง เพราะที่เหลือมีตำแหน่งเพียงผู้ช่วยหมอหลวง แคว้นหลงถือได้ว่าเป็นแคว้นที่ขาดแคลนหมอมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่มีผู้สอนก็ย่อมไม่มีหมอรุ่นใหม่เกิดขึ้น”
เว่ยหวังจิ้งเอ่ยถึงปัญหาใหญ่ของแคว้นหลงให้เฟยเจินรับรู้ น่าแปลกที่เขารู้สึกสบายใจยิ่งนักที่ได้บอกกล่าวข้อมูลสำคัญกับนาง โดยเฉพาะในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
“หาก20คนนี้หมดสติ แล้วเกิดเรื่องร้ายแรงกับฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ ท่านพี่จุดมุ่งหมายของคนร้ายอย่างไรก็ไม่พ้นฮ่องเต้ คนร้ายไม่ได้กระทำการบุ่มบ่ามลงมือสังหารในฉับพลัน แต่คงจะลงมือหลังจากที่หมอหลวงหมดสติกันทุกคน ถึงยามนั้นต่อให้แม่ทัพมู่เฉินเทียนมีปีก ก็คงไม่สามารถเฟ้นหาหมอเทวดามารักษาพระองค์ได้ทันเวลา”
เหลียนเฟยเจินสรุปไปตามที่นางคาดการณ์ ซึ่งเว่ยหวังจิ้งก็ไม่สามารถปล่อยผ่านประเด็นนี้ไปได้เฉกเช่นเดียวกัน แต่เขาก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งการของสหายอย่างเคร่งครัด ไม่แตกตื่นและเฝ้ารออยู่ตรงนี้จนกว่ามู่ฉินซีจะกลับมาแจ้งข่าวให้ทราบ
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้า แต่พวกเราต้องรออยู่ตรงนี้จนกว่ารองแม่ทัพมู่จะกลับมา หาไม่แล้วการเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิดคงทำให้ผู้ร้ายไหวตัวได้ทันเวลาก่อนที่ผลการตรวจสอบจะกระจ่างแจ้ง”
ใบหน้าคมคายโน้มเข้ามาใกล้โฉมงาม เพราะอยากเห็นสีหน้าของนางว่าอยู่ในอาการหวาดกลัวหรือไม่เมื่อเจอเรื่องร้ายเช่นนี้ จนกระทั่งมองเห็นรายละเอียดบนใบหน้าเรียวงามอย่างชัดเจน จิตใจของบุรุษเฉยชายามนี้สั่นไหวแปลกๆ แต่ก็ยังควบคุมอาการของตนให้อยู่ในอาการสงบได้เฉกเช่นเคย
“ข้ารู้หรอกว่าต้องปฏิบัติตัวเช่นไร ว่าแต่ท่านได้อาวุธมาแล้วหรือยัง”
เฟยเจินกระซิบถามเสียงเบา เพราะนางเห็นเว่ยหวังจิ้งแอบรับของบางอย่างจากรองแม่ทัพมู่ฉินซี จึงคาดหวังว่าคงเป็นอาวุธชิ้นเล็กๆที่พกพาได้สะดวก
“อืม ได้มีดสั้นมาสองเล่ม หากไม่จำเป็นห้ามใช้ในงานเลี้ยงเป็นอันขาด”
“แล้วถ้าหากจำเป็นต้องใช้งาน จะถูกลงโทษในภายหลังหรือไม่”
เฟยเจินเอ่ยถามให้แน่ชัด เพราะนางไม่อยากถูกลงโทษทั้งๆที่เป็นผู้หวังดี หากกระทำการสิ่งใดแล้วไม่คุ้มค่านางคงหนีเอาตัวรอดเพียงลำพังกับสามี จะเรียกว่าเห็นแก่ตัวก็ย่อมได้ ผู้ใดจะอยากถูกลงโทษทั้งๆที่พยายามช่วยเหลือผู้อื่นกันเล่า
“ไม่ถูกลงโทษอย่างแน่นอน ข้าสามารถกล่าวแย้งได้ว่าพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในงานเลี้ยง จึงเบิกอาวุธมาจากรองแม่ทัพมู่”
เว่ยหวังจิ้งกล่าวหนักแน่นเพื่อยืนยันถึงผลที่จะตามมา กฏทุกอย่างย่อมมีช่องโหว่ในการละเว้นโทษหากมิได้มีเจตนาร้ายต่อผู้ใด
ผ่านไปไม่นาน รองแม่ทัพมู่ฉินซีก็เดินกลับมาที่โต๊ะอาหารของเสนาบดีเว่ยหวังจิ้งกับฮูหยิน ใบหน้าคมคร้ามเรียบเฉยไม่แสดงสีหน้าใดๆให้ผู้อื่นสงสัย หรือจับสังเกตถึงความผิดปกติใดๆจากสีหน้าของเขาได้เลย
“มีหมอหลวงอยู่ในอาการอ่อนเพลียถึง15 คน และมี4คนที่ใกล้หมดสติเต็มทีเพราะดื่มสุราเข้าไปด้วย ข้าไปถึงหมอหลวงเหล่านั้นก็กินดื่มกันอยู่ก่อนหน้าแล้ว จึงไม่ได้หาผู้ใดมาทดสอบพิษเพราะอาการชัดเจน มีเพียงหัวหน้าหมอหลวงคนเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในอาการปกติเพราะเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงล่าช้าจึงยังไม่ได้ดื่มน้ำชาในงานเลี้ยง” มู่ฉินซีเอ่ยเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสามคนเท่านั้น
“แสดงว่าในกาน้ำชามียาสลบ ไม่เว้นแม้กระทั่งกาน้ำชาของหมอหลวง”
เว่ยหวังจิ้งเอ่ยขึ้นตามที่เขาเข้าใจ ใบหน้าคมเคร่งขรึมขึ้นเมื่อพาฮูหยินออกงานเป็นวันแรก ก็ต้องมาเจอเรื่องเสี่ยงภัยอันตราย
“อืม ข้าแจ้งเรื่องนี้แก่ท่านพ่อแล้ว ทหารกำลังทยอยเก็บกาน้ำชาออกไปจากงานเลี้ยง รวมไปถึงสำรับเสวยกระยาหารของฝ่าบาทและเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ ยามนี้คนของท่านพ่อกำลังเร่งสืบว่าผู้ใดเป็นผู้บงการวางยาสลบในกาน้ำชา”
“จะทันการณ์หรือเจ้าคะ พวกท่านดูนู่นมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว นางรำที่มาร้องรำในงานเลี้ยงเหตุใดจึงผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสียรัดกุม ผิดวิสัยนางรำทั่วๆไปที่ต้องนุ่งน้อยห่มน้อยตลอดงานเลี้ยงมิใช่หรอกหรือ”
อดีตหมอทหารหญิงที่มักไปฝึกฝนอยู่ในหน่วยลาดตระเวนพร้อมๆกับสหาย เพียงแค่พบเห็นความผิดปกติเพียงน้อยนิดนางก็คาดการณ์บางอย่างในแง่ร้ายไว้ก่อนเสมอ หากไม่ใช่ก็ถือว่าเป็นการระแวดระวังภัยไปในตัว
“หวังจิ้ง เจ้าพาฮูหยินน้อยรีบหลบออกไปจากงานเลี้ยงประเดี๋ยวนี้ ขืนชักช้าจะไม่ทันการณ์ ข้าจะรีบไปแจ้งแก่กองกำลังเฉพาะกิจของแม่ทัพมู่เฉินเทียนให้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ ที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าต้องเป็นกังวล”
มู่ฉินซีเอ่ยเสียงเครียดเมื่อมองไปยังทิศทางที่เหลียนเฟยเจินบอกกล่าว สายตาเฉียบคบมองเห็นนางรำจากหออวิ๋นเม่ยที่มาร่วมแสดงในงานเลี้ยงทั้ง50นาง ผลัดเปลี่ยนไปสวมใส่อาภรณ์ที่รัดกุมอย่างผิดปกติจริงๆ
“อืม มู่ฉินซีข้าฝากเรื่องทางนี้ด้วย ฮูหยินยามนี้พวกเราต้องกลับจวนกันแล้ว”
เสนาบดีเว่ยรับคำสหายอย่างว่าง่าย เพราะอยู่ไปมีแต่จะเป็นภาระและเกะกะการทำงานของกองกำลังเฉพาะกิจในสังกัดแม่ทัพมู่เฉินเทียน ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจ และสามารถควบคุมสถานการณ์ร้ายได้อย่างรวดเร็วทุกครั้งที่เกิดเรื่องร้าย
“เจ้าค่ะ ท่านพี่ท่านปลีกตัวเดินนำหน้าข้าไปก่อนสักครู่ หากเดินไปพร้อมกันจะผิดสังเกตจนเกินไป”
เฟยเจินก็ตอบรับโดยง่ายเช่นกัน นางไม่ใช่วีรสตรีที่ต้องอยู่ต่อสู้คอยปกป้องชาวเมือง เรื่องควบคุมสถานการณ์ร้ายปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านแม่ทัพมู่เฉินเทียนจะดีเสียกว่า
“อืม เจ้ารีบตามมา ข้าจะรออยู่ด้านนอกก่อนถึงประตูทางเข้าพระราชวัง ห้ามซุกซนไม่รู้ความแล้วแวะสถานที่อื่นอย่างเด็ดขาด”
เว่ยหวังจิ้งเห็นสมควรตามนั้นเช่นกัน แต่ก็อดที่จะพูดจาค่อนขอดโฉมสะคราญที่มีแววตาดื้อรั้นตรงหน้ามิได้ หากเขาเดินออกจากงานเลี้ยงไปพร้อมกันกับฮูหยิน อย่างน้อยๆต้องมีขุนนางสักคนเข้ามาไต่ถามเป็นแน่
เสนาบดีหนุ่มกวาดสายตาจ้องมองภาพงานเลี้ยงที่ผู้มาร่วมงานยังคงกินดื่มอย่างปกติ แตกต่างตรงที่ทหารของแม่ทัพมู่เฉินเทียน กำลังทะยอยเข้ามาสับเปลี่ยนกาน้ำชาบนโต๊ะอาหารทุกโต๊ะ ท่ามกลางความแปลกใจของขุนนางน้อยใหญ่และคนในครอบครัวที่ได้รับอนุญาตให้มาร่วมงานเลี้ยง แต่ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจซักถามสิ่งใด และยังคงรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย เพราะนานมากแล้วที่ไม่มีการจัดเลี้ยงในพระราชวัง
“ข้ารู้ความกว่าที่ท่านคิด หาใช่มีเพียงรูปโฉมที่งดงามโดดเด่น แต่สติปัญญาของข้าก็ไม่เป็นรองผู้ใด”
น้ำเสียงหวานพูดจาโอ้อวดตอบกลับไป ใบหน้างามเชิดขึ้นจนเส้นเอ็นที่คอตึงเปรี๊ยะ ปากเล็กๆก็ขยับโต้เถียงเขาไม่หยุดหย่อน ดวงตาของนางแทนที่จะอ่อนหวานให้สมกับความงดงามที่สวรรค์สร้าง แต่ทว่านางกลับจ้องเขาเขม็งประหนึ่งต้องการปะทะไปเสียทุกเรื่อง ช่างเป็นสตรีที่ห่างไกลคำว่าหัวอ่อนอย่างแท้จริง
“หึหึ หลงตัวเองก็เป็นที่หนึ่ง”
กล่าวจบเว่ยหวังจิ้งก็เดินจากไปทันที มุมปากหยักแอบอมยิ้มเล็กน้อย น่าแปลกเมื่อได้พูดจาเย้าแหย่ฮูหยินวันละเล็กละน้อย กลับทำให้อารมณ์ของเขาผ่อนคลายจากความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี