คืนนั้นเมื่อเจ็ดปีก่อนฝนตกคล้ายกับตอนนี้
นพรัตน์ขับรถยนต์ราคารุนแรงกว่าที่เด็กวัยรุ่นจะใช้กันได้ ฝ่าฝนมายังบ้านเดี่ยวในซอยลึก จอดลงที่หน้ารั้วบ้านหลังที่เป็นจุดหมายมองผ่านสายฝนเข้าไปด้านใน เห็นเปิดไฟสว่างโร่ จึงลงไปยืนที่หน้าประตูรั้ว หยีตาหลบเม็ดฝนไปพลางขณะยื่นมือกดออด ไม่นานหญิงวัยสี่สิบปลายๆ ออกมาเมียงมองที่ประตูหน้าบ้าน เด็กหนุ่มส่งยิ้มสุภาพให้ก่อน แล้วถึงได้ถามหาใครที่ตนต้องการมาพบ
“ณัชชาอยู่ไหมครับ”
หญิงคนนั้นไม่ได้ตอบอะไรเขา เห็นหันหน้าตะโกนเข้าไปในบ้าน
“ณัช เพื่อนมาหา”
ไม่นานร่างเล็ก เจ้าของชื่อเดินพ้นออกมาจากด้านใน
คงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใบหน้าหมดจด ผมที่เคยฟูฟ่องลีบลู่ไปตามรูปทรงของศีรษะ ท่อนบนสวมเสื้อยืดสีซีดตัวโคร่งขาดตรงหัวไหล่เกือบๆนิ้วเห็นจะได้ กางเกงที่ใส่ยาวคลุมเข่า ตัวใหญ่จนเหมือนไปหยิบยืมมาจากใครอื่นไม่ใช่ของตัว ผิดจากเพื่อนผู้หญิงที่เขาเห็นบ่อยๆว่ามักสวมเสื้อผ้าพอดีสัดส่วนอวดเนื้อหนังกันบ้างแล้ว พลันรู้สึกว่าณัชชาในชุดแบบนี้น่ามองกว่าที่เคยเห็นเพื่อนวัยเดียวกันเป็นไหนๆ และแน่นอนว่าแว่นสายตาอันโตของเธอก็ยังคงสวมเอาไว้อยู่อย่างนั้น
ณัชชาสบตาเขาถามออกมาเรียบๆตามแบบของเธอ
“มีอะไรหรือ”
“เอาของที่จะทำโครงงานฟิสิกส์มาให้ไง”
เด็กสาวเลื่อนสายตาลงไปยังมือของอีกฝ่ายที่หอบหิ้วของมาด้วยไม่พูดไม่จาอะไร พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับรู้
หญิงมากวัยคนที่เปิดประตูรับเขา เอ่ยขัด “พาเพื่อนเข้าบ้านก่อนณัช ยืนตากฝนคุยกันทำไม เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก”
นพรัตน์เข้าบ้านมาแล้ว ก็ถึงแว่วเสียงเพลงลูกกรุงแผ่วๆสานกับเสียงฝนด้านนอก เลยยิ้มบางๆ ถามอย่างต้องการชวนคุย
“ชอบฟังเพลงพวกนี้ด้วยหรือครับ เหมือนคุณปู่ผมเลย”
ทั้งบ้านเงียบกันไปอึดใจ แล้วถึงได้ยินคำตอบของหญิงผู้อาวุโสที่สุดในบ้าน
“บอกไปแล้วจะเชื่อไหม ว่าคนที่ชอบฟังน่ะไม่ใช่น้าหรอก นู่นต่างหาก” บุ้ยปากไปทางณัชชาหลังกล่าวจบ นพรัตน์มองตามสายตาไปก็ให้รู้สึกแช่มชื่นในใจราวกับมีลมอัดเข้าไปในก้อนเนื้อขนาดกำปั้นจนเต็มปรี่ เมื่อได้รับรู้ข้อมูลของเธอเพิ่มอีกข้อ
ชอบฟังเพลงแบบนี้ด้วย
คนเดียวเท่านั้น ในชีวิต
คนเดียวสนิท แนบอุรา
คนเดียวที่ฉัน บูชา
ยอดปรารถนา คนเดียวในโลก
“เพลงนี้ชื่ออะไรหรือครับ”
“เพลงนี้หรือ ชื่อเพลงคนเดียวในดวงใจ” หญิงมากวัยตอบพร้อมรอยยิ้มเศร้าๆ นพรัตน์เลยว่า
“เพราะนะครับ”
มองหาณัชชา เห็นเดินหายเข้าไปที่หลังบ้านแล้ว ออกมาอีกครั้งพร้อมแก้วใส่น้ำเปล่า นำมาวางลงบนโต๊ะ ถามสั้นๆ
“ครบไหม”
นพรัตน์อึ้งไปอึดใจ ตอบไม่เต็มเสียงนัก “ก็...อยากคบอยู่”
ณัชชาขมวดคิ้วนิดเดียว ถามกลับ “อะไร หมายถึงของที่บอกว่าจะเอามาให้เราน่ะ ครบไหม”
“อ้อ ครบ ครบสิ” แล้วยื่นถุงของส่งให้ทันที โหนกแก้มเด็กหนุ่มออกสีระเรื่อเล็กน้อย กระแอมไอกลบความรู้สึกแปลกประหลาดที่พุ่งพล่านไปมาควบคุมแทบไม่อยู่
หญิงมากวัยที่เขาได้ยินเธอเรียกว่า ‘แม่’ ชวนยิ้มๆ “กินข้าวมาหรือยัง”
“ยังครับคุณน้า”
“อยู่กินด้วยกันก่อนนะลูก วันนี้แม่ครัวหัวป่าก์เขาทำแกงส้มกับปลาทอด ไม่เผ็ดมากหรอก” หญิงคนนั้นกล่าวชวนด้วยน้ำเสียงอย่างคนใจดี พร้อมมองสำรวจเด็กหนุ่มจากบ้านอัศวหาญญ์วรกุลไปพลาง บอกคล้ายประเมิน “น่าจะพอกินได้อยู่หรอกนะน้าว่า”
“ผมกินได้ครับ ปกติที่บ้านก็กินแบบนี้อยู่แล้ว จริงๆแกงส้มนี่ของโปรดผมเลยครับ” รีบพูดคล้ายเอาใจ เมื่อนึกได้ก็ยิ้มจืดเจื่อน เนื่องจากปกติไม่ใช่คนพูดจาปะเหลาะใครแบบนี้
“อย่างนั้นก็ดีเลย ณัชตั้งโต๊ะเถอะลูก ตักข้าวมาให้เพื่อนเราด้วยนะ”
นพรัตน์ออกอาการเกร็งเล็กน้อย เมื่อถูกเชิญที่โต๊ะอาหาร ไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ที่เป็นมารดาของเธอเพียงเท่านั้น แต่เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ร่วมกินข้าวไปพร้อมกับเธอต่างหาก ในท้องเหมือนมีอะไรอัดอยู่เต็ม ทั้งที่ยังไม่ได้กินอะไรมาเลยด้วยซ้ำ
แต่ก็ต้องฝืนตักอาหารใส่ปากเคี้ยวจนหมดจาน แล้วก็ให้รู้สึกว่าณัชชาทำอาหารได้เก่งไม่แพ้แม่ครัวที่บ้านของเขา ความรู้สึกดีดีแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจในวินาทีนั้น
“เติมข้าวไหมลูก”
“ไม่ครับ ผมอิ่มมากเลย”
“ณัชเอาหมี่กรอบมาให้เพื่อนชิมหน่อยประไร”
“หนูแพ็คลงกล่องหมดแล้วค่ะ”
“แบ่งมาสักกล่องสิไป”
นั่นเองถึงได้เห็นว่าณัชชาไม่ได้มีแค่สีหน้าเฉยเมยเท่านั้น เธอมองค้อนมารดาของตัวเอง แล้วผละออกไปทางหลังบ้าน บังเกิดความรู้สึกอิจฉาหญิงมากวัยขึ้นในตอนนั้น เขาอยากเห็นแววตาที่เธอส่งให้มารดา ค้อนมาที่เขาบ้างจัง
ณัชชาเดินหายเข้าไปในครัวไม่กี่นาที ออกมาอีกครั้งพร้อมกล่องใส่หมี่กรอบในมือ
“อร่อยนะ เคยกินไหม”
เด็กหนุ่มจากบ้านอัศวหาญญ์วรกุลส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มก่อนตอบ “ไม่เคยครับ แต่เห็นคุณย่าท่านชอบ”
“แม่ครัวคนเก่งเขาทำเองหมดทุกขั้นตอนเลยนะ ทำเสร็จเอาไปฝากวางที่ร้านขนมหน้าปากซอยแน่ะ ลองชิมดูลูก อร่อยไม่อร่อยอย่างไร จะได้ติงกันได้”
นพรัตน์ฟังมารดาเธอว่าจบ มองไปยังกล่องใส่ขนมแล้วยิ้มแบบสุภาพ ตอนนี้เขาอิ่มจนกินอะไรไม่ลงแล้ว และปกติก็ไม่ใช่คนกินจุกจิก ยิ่งอาหารการกินแบบโบราณๆ จะยิ่งไม่กิน แต่แล้วก็ยอมเปิดฝากล่องออก บิคำเล็กๆ ใส่ปาก เคี้ยวไปได้คำหนึ่งก็ว่า
“อื้อม์...อร่อยมากครับ”
คราวนี้เคี้ยวเร็วๆกลืนลงไปแล้วยื่นมือออกไปบิออกมาอีก คำใหญ่กว่าเดิม ถือรอ ออกปากถามก่อนใส่เข้าปาก
“ทำเองหมดเลยหรือ”
“อือ”
“คุณย่าท่านชอบมากเลยครับหมี่กรอบ เดี๋ยวเราขอซื้อหมดนี่เลยได้ไหม จะเอาไปให้ท่านลองชิม คุณย่าต้องชอบแน่ๆ ปกติท่านก็จะกินรสชาติแบบนี้อยู่แล้ว”
ณัชชาละสายตาแวบหนึ่งมองมารดาของตัวเอง แล้วเลื่อนไปมองนิ่งๆที่ทายาทของอัศวหาญญ์วรกุล ถามย้ำ
“หมดนี่เลยหรือ”
“ใช่ เอาหมดนี่เลย”
ได้ยินคำตอบของนพรัตน์แล้ว ออกอาการกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย เพราะมีลูกค้าขาประจำที่อุดหนุนอยู่ แม้จะทำทุกอย่างเหมือนคนร้อนเงิน แต่ก็นึกห่วงลูกค้าขาประจำเช่นกัน ยังไม่ทันตอบรับอะไร อีกฝ่ายถามต่ออีก
“อร่อยแบบนี้น่าเอาไปจัดในงานเลี้ยงนะณัช”
ณัชชามองหน้าเขา เงียบไปอึดใจเดียว ทวนถามด้วยแววตาสงบนิ่ง
“งานเลี้ยงหรือ”
“อือ” นพรัตน์ตอบรับเสร็จสรรพ บิหมี่กรอบคำใหญ่กว่าเก่าเคี้ยวราวกับหิวโหย ณัชชามองแล้วยิ้มบางๆถามต่อ ด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเท่าไรนัก
“ได้ยินมาว่า...เดือนหน้า อัศวหาญญ์วรกุลจะมีงานเลี้ยงใหญ่ เราเอาไปที่งานเลี้ยงนั้นได้ไหมนพรัตน์”
นพรัตน์เลิกคิ้ว เคี้ยวจนหมดปาก ส่งยิ้มให้ แล้วว่า “คงเป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของคุณปู่ล่ะสิ ใช่ เห็นว่าจัดเดือนหน้านี้ เดี๋ยวเราขอคุณย่าให้ ท่านเป็นแม่งานน่ะ รับรองว่าถ้าเอาไปต้องมีคนสนใจขนมของเธอแน่ๆ คราวนี้ล่ะทำส่งไหวไหม ถ้าสั่งทีเยอะๆเลยน่ะ”
ณัชชาในวัยสิบเจ็ดปีหลบตาเขามองที่กล่องหมี่กรอบบนโต๊ะ เงียบๆ เงยหน้าถามกลับ คนละเรื่องกับที่คุยกันก่อนหน้านี้
“คุณปู่ของเธอชื่อคุณอิทธิ อัศวหาญญ์วรกุลใช่ไหม”
นพรัตน์ยิ้มเมื่อเธอรู้จักคนในครอบครัวของเขา ไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของเธอชั่วขณะนั้น ยิ้มกว้าง ตอบรับแทบทันที
“ใช่ รู้จักคุณปู่ของเราด้วยหรือ”
ยิ้มบางๆบอก “ ‘อัศวหาญญ์วรกุล’ ออกจะดังขนาดนั้น ไม่รู้จักได้ยังไง”
“เดี๋ยวเราบอกคุณย่าว่าได้ขนมอร่อยจากเธอไปเลี้ยงในงานด้วย”
พยักหน้า แล้วส่งยิ้มให้กันไม่ว่าอะไรต่อ นพรัตน์เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของณัชชา ก็เผลอมองนานไปหน่อย ได้ยินเสียงกระแอมไอจากมารดาของเธอ เลยหันไปสบตาท่าน ยิ้มแล้วถามแก้เก้อ
“เอ่อ...แล้ว อยู่กันแค่สองคนนี่เองหรือครับ”
“มีน้องสาวเขาอีกคน แต่ไม่ค่อยจะอยู่บ้านหรอกคนนั้นน่ะ เตร่ไปทั่ว” น้ำเสียงที่เอ่ยอ่อนอกอ่อนใจจนนพรัตน์รู้สึก เด็กหนุ่มพยักหน้ารับฟัง คุยกันอีกไม่นาน ซึ่งล้วนเป็นเรื่องราวในครอบครัวของเขาแทบทั้งนั้น แล้วเอ่ยขอตัวกลับเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเข้าสามทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว
“รบกวน...จอดตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้านี้ได้ไหม”
เสียงบอกเบาๆ ดึงความคิดที่วนอยู่ในห้วงอดีตให้หลุดออกมาสู่สถานการณ์ตรงหน้า เขาเงียบไปครู่เดียว ถามทั้งที่ยังมองตรงไปที่ถนน
“พักแถวนี้หรือ”
“อือม์”
นพรัตน์สูดลมหายใจเข้ายาวๆ ตบไฟเลี้ยวพารถเข้าไปจอดเลยป้ายรถประจำทางหน่อยเดียว หญิงสาวที่นั่งตัวลีบมาตลอดทางบอกโดยไม่มองหน้าเขา
“ขอบคุณมาก”
ไม่ได้ยินคำตอบรับอะไรจากเจ้าของรถ ณัชชาเลยเปิดประตูลงไปในทันที
พูดน้อยเหมือนเคย หรือแท้ที่จริงเป็นภาพที่สร้างขึ้นให้ดูน่าค้นหากันแน่ นพรัตน์คิดอย่างขุ่นเคือง ริ้วโทสะ ความเจ็บแค้น ความเจ็บใจแล่นพล่านไปมาอยู่ภายในหัวของเขา
ไม่เคยมีใครก่ออารมณ์ชนิดนี้ให้เขามาก่อน
ยกเว้นเธอคนนั้น คนที่เพิ่งรถจากรถของเขาไป
‘ก็แหมคุณเอทำเล่นหูเล่นตาใส่แบบนี้ เมียที่ไหนจะทน’
‘ทนไม่ได้ก็เล่นผัวตัวเองสิ มาเล่นยัยณัชได้ยังไง อีกอย่างนะ ณัชมันไม่เคยเล่นด้วยเลยเอาจริงๆน่ะ’
‘ลองณัชชาเล่นด้วยกับคุณเอสิคะ ได้โดนพี่สาวหมอแหกอกแน่ แต่นี่...มีคนเคยเห็นคุณเอแกล้งโอบ แกล้งจับมือยัยณัชด้วยนะ ถ้าฉันเป็นณัชนะตีเข่าใส่เลย ไอ้ตี๋หน้าหม้อ มีลูกมีเมียแล้วยังมาทำเจ้าชู้ ไม่รู้ยัยณัชจะทนทำไม’
‘ไม่ทนได้หรือยะ เซลที่นี่เงินดีสุดแล้ว จะว่าไปก็สงสารณัชเหมือนกันนะ ตั้งใจทำแต่งาน ชวนไปไหนเคยไปไหมล่ะ แล้วยังมาโดนให้ออกแบบไม่มีความผิดอีก แล้วเรื่องที่ว่ายอดตกอะไรนั่น ฉันว่ายัยผู้จัดการแม่มดนั่นต้องรับคำสั่งมาจากหมอแน่ๆเลย...ว่าไหม’
‘สงสารไปก็เท่านั้นแหละเธอจ๋า พอแล้วขี้เกียจเม้าเรื่องคนอื่น เออนี่ อาทิตย์หน้าสลับวันหยุดกันได้ไหม ฉันจะกลับบ้าน...’
‘อีกแล้วนะ คราวก่อนก็กลับบ้าน นี่มีกี่บ้านถามจริง’
‘โอ๊ย...คราวนั้นบ้านแฟน คราวนี้บ้านฉันเอง’
‘ไม่เอา ไม่ให้แลกแล้ว’
เสียงสนทนาเงียบไปพักใหญ่ได้แล้ว และคนที่เข้าห้องน้ำก่อนหน้าก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจิ้มๆกดๆต่อครู่เดียวค่อยเปิดประตูออกมา แล้วเดินเข้าคลินิกเสริมความงามเพื่อไปสืบเสาะหาข่าวหลังจากนั้น
“ณัชชาไม่มาหรือคะวันนี้”
พนักงานที่ถูกถามมองสบตา ยิ้มแค่ริมฝีปาก ตอบถนอมคำ “ณัชชาลาออกแล้วค่ะ”
“อ้อ” ครางรับเบาๆแล้วลงนอนบนเตียงทำทรีตเมนท์พร้อมความคิดบางอย่างในหัว จวบจนจบการทำสวยแล้วก็ค่อยโบกมือลาพนักงานในคลินิก เตร่มายืนต่อสายหาใครบางคน ไม่นานทางนั้นกดเชื่อมต่อสัญญาณ ก็เรียกเสียงอ่อนเสียงหวานใส่
“ณัชจ๋า...”
‘มีอะไรหรือเปล่าปูนิ่ม’
“แหม ออกจากงานแล้วไม่บอกกันเลยนะ แล้วนี่ณัชพักที่ไหน เราไปหาณัชได้ไหม”
ปลายสายเงียบไปนานทีเดียว กว่าจะตอบกลับมาได้
‘ปูนิ่มมีธุระอะไรหรือเปล่า’
“ธุระหรือ ไม่มีหรอก ก็วันนั้นเราบอกจะเลี้ยงข้าวณัชไง ณัชให้เราเลี้ยงข้าวสักมื้อได้ไหม นะ นะณัช”
บอกออกไปแล้วก็ได้แต่ยืนลุ้นอยู่หลายอึดใจ ได้ยินปลายสายตอบรับมาว่า ‘ได้’ ค่อยยิ้มออกแล้วตัดสัญญาณในที่สุด เมื่อนัดสถานที่และเวลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ศูนย์การค้าใกล้ห้องพักของณัชชาคือที่นัดพบ เพราะตั้งใจจะออกมาซื้อของใช้อยู่แล้วจึงตอบรับอัญจารีย์ไป กินข้าวด้วยกันให้สมความต้องการก็จะได้ไม่มีรายการตามตื๊อกันอีก ร้านอาหารไทยบนชั้นสามของที่นั่น คือที่ที่อีกฝ่ายบอกให้รอ ถึงแล้วพบว่าคนโทรศัพท์ชวนนั่งอยู่ที่โต๊ะในสุดก่อนหน้าเธอแล้ว
อัญจารีย์วางโทรศัพท์ลง ลุกออกมารับ ปากก็ชวนคุยไปเรื่อย
“ปูนิ่มแวะไปที่คลินิกที่ณัชทำงานแหละ แต่ไม่เจอ เลยถามคนในนั้น เขาบอกว่าณัชออกจากงานแล้ว...จริงหรือ” มองอย่างรอคอยคำตอบ ณัชชายิ้มบางๆ พยักหน้าตอบรับสั้นๆ
“อือ”
“ได้งานใหม่หรือ ขอโทษนะที่ปูนิ่มถามซอกแซก”
“ยังหรอกปูนิ่ม”
“อย่างนั้น ปูนิ่มช่วยหางานให้เอาไหม นี่ อย่าว่าปูนิ่มสอดเลยนะ เห็นเพื่อนลำบาก เลยอยากช่วยเท่านั้นเอง”
ณัชชามองตอบอีกฝ่าย ก่อนถอนหายใจยาว บอกเสียงนุ่มนวล “ขอบใจมาก แต่ไม่เป็นไรหรอกปูนิ่ม เรายื่นใบสมัครไว้หลายที่เลย นี่ก็มีโทรมาตาม เรียกให้ไปสัมภาษณ์บ้างแล้วล่ะ”
คนชอบรบเร้าทำท่าคิดครู่หนึ่งก็ว่า
“โอเค ถ้าณัชหางานไม่ได้ยังไงบอกปูนิ่มเลยนะ ปูนิ่มอยากช่วย”
ณัชชายิ้มน้อยๆ บอก “ขอบใจนะ”
คุยกันอีกครู่ แล้วจึงแยกจากอัญจารีย์ มองยวดยานพาหนะหลากหลายรุ่นที่จอดติดกันแน่นตรงเบื้องหน้า แล้วเลือกเดินข้ามสะพานลอยไปยังอีกฝั่งเพื่อรอรถประจำทางกลับห้องพัก อัญจารีย์มีจุดประสงค์อันใดแน่ ทำไมจึงเข้ามาพัวพันมากมายแบบนี้ หรือจะเป็นเพราะเรื่องเก่าๆนั่น อยากชดเชยความผิดของตัวเองหรืออย่างไรกัน
ส่วนอัญจารีย์ เมื่อแยกจากณัชชา ก็ขึ้นรถพาตัวเองไปยังตึกสูงไม่ไกลจากที่นัดพบกับณัชชาเมื่อครู่นี้
“พี่ติ้งท้องหรือคะ”
“ค่ะคุณปูนิ่ม”
“แล้วยังไงคะแบบนี้ คุณนพจะไม่รับคนมาใหม่มาทำงานแทนหรือ”
“คุณปูนิ่มน่าจะเดาออกนะคะ ว่าบอสจะทำแบบไหน พี่ล่ะน้อยใจจริงๆเลย ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่เคยลาแม้แต่วันเดียว แต่ไม่เคยเห็นความสำคัญของเรา” เลขาวัยเฉียดสี่สิบปีที่กำลังท้องอ่อนๆบอกด้วยน้ำตาคลอเต็มเบ้า อัญจารีย์ถอนใจแล้วรีบปลอบประโลม
“คุณนพฮีก็อย่างนี้เอง พี่ติ้งไม่ชินอีกหรือคะทำงานด้วยตั้งนานแล้วนี่”
“พี่ติ้งไม่ชินหรอกค่ะ” ปัดด้วยความน้อยอกน้อยใจ น้ำตาไหลเป็นทาง บอกตัดพ้อ “ทำงานช่วยบอสจนพี่แท้งไปรอบก่อน ไม่เคยเห็นความดีของเราเลย พี่ติ้งทำดีไม่เคยได้ดี พอพี่ติ้งพลาดหน่อยเดียวบ่นจนเราทนไม่ไหวอยากจะไปเสียให้พ้นๆ นี่พี่ติ้งยังไม่ได้บอกบอสหรอกนะคะเรื่องที่พี่ท้อง ถ้ารู้คงจะให้พี่ติ้งออกวันนี้พรุ่งนี้เลยล่ะพี่ติ้งว่า คงไม่ให้พี่ลาคลอดแล้วกลับมาทำงานใหม่หรอก เชื่อพี่ได้เลยค่ะคุณปูนิ่ม”
นพรัตน์ทำงานนึกถึงแต่เป้าหมายความสำเร็จ ไม่เคยมีลูกน้องที่อยู่ข้างกายด้วยนานๆเลยสักคนเดียว ยกเว้นหริลูกน้องคนสนิทที่เรียกใช้งานอยู่ข้างกายเขา นพรัตน์พูดเสมอว่าหากทำงานให้เขาไม่ได้ เขาไม่ลำบากหากจะว่าจ้างคนมาทำงานใหม่ไปเรื่อยๆ
เพราะนพรัตน์ไม่นึกถึงจิตใจของใคร ถึงได้ทำตัวเช่นนั้น
“งั้น...” อัญจารีย์นิ่งคิดนิดเดียวบอกรวบรัด “ปูนิ่มไปคุยให้เอาไหมคะ”
ว่าจบผละจากโต๊ะติ้ง ตรงไปยังห้องทำงานด้านในทันที ยกมือเคาะสามสี่รอบถึงได้ยินเสียงตอบรับ จึงผลักประตูเข้าไปในนาทีต่อมา
“คุณนพขา พี่ติ้งท้องแน่ะ คุณนพรู้ยัง”
นพรัตน์ที่ก้มหน้าเซ็นเอกสารอยู่ ปรายตาขึ้นมามองอัญจารีย์แวบเดียว แล้วก้มลงอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ บอกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ไม่ใส่ใจ
“รู้แล้ว มีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า”
อัญจารีย์กรอกตามองฝ้าด้านบนแวบหนึ่ง ค่อยเข้าไปที่โต๊ะ ถามเสียงอ่อน “แล้วได้เลขาใหม่หรือยังคะ”
“ยัง แต่เดี๋ยวคงหาคนมาแทนได้ไม่ยากหรอก” บอกจบปิดแฟ้มลง หยิบอีกแฟ้มมาเปิดอ่านต่อ
“น่าสงสารพี่ติ้งนะคุณนพ น่าจะให้แกลาคลอดสักสามเดือนหกเดือน จนพี่ติ้งพร้อมก็ค่อยให้แกกลับมาทำงานต่อน่ะค่ะ”
“แล้วทำไมผมต้องรอ”
“แหมๆ คุณนพ พี่ติ้งทำงานดีจะตาย” แล้วก็ทนกับอารมณ์ของนพรัตน์ได้ด้วย อัญจารีย์ได้แต่คิด ไม่กล้าพูดอะไรต่อจากนั้น
“อย่าไปใส่ใจนักเลย แมวขาวหรือดำ จับหนูได้ก็แมวดีเหมือนกันนั่นแหละน่า”
“คุณนพทำไมใจดำนักนะ พี่ติ้งทำงานดีแค่ไหนคุณนพก็รู้ ถ้าไม่เป็นงาน ไม่ทันคุณนพจริงป่านนี้ระเห็จไปหางานใหม่แล้วล่ะ” อัญจารีย์รู้ก็เพราะสนิทกับทางติ้ง เลขาของนพรัตน์เป็นอย่างดี ออกจะเห็นใจด้วยซ้ำถึงได้มาพูดจารบเร้าเขาแบบนี้ “เอาอย่างนี้ดีไหมคุณนพ ปูนิ่มว่าให้พี่ติ้งแกลาตอนใกล้คลอดสักเดือนหนึ่ง แล้วให้แกเลี้ยงลูกสักสี่เดือนห้าเดือน รวมเป็นหกเดือนไง เป็นสวัสดิการให้แกบ้าง ปูนิ่มรู้นะว่าพี่ติ้งน่ะไม่เคยลางานสักวันเดียวเลยน่ะ ทำงานก็ดี พลาดน้อยมาก คุณนพจะปล่อยลูกน้องแบบนี้ไป แล้วประกาศหาคนใหม่ที่ไม่รู้จะทำงานได้แบบพี่ติ้งหรือเปล่า จะเอาอย่างนั้นหรือคะ”
นพรัตน์แค่นยิ้ม ถามกลับ
“แล้วถ้าเจอคนใหม่ดีกว่าคุณติ้งล่ะ”
“ดีกว่า แต่ไม่มีทางซื่อสัตย์ รักองค์กรเท่าพี่ติ้งหรอกค่ะ ปูนิ่มเอาหัวเป็นประกัน”
นพรัตน์ส่ายหน้าเบาๆ ก้มหน้าลงอ่านเอกสารต่อ ถามเอื่อยเฉื่อย “จ้างงานระยะสั้นๆแบบนั้นใครจะอยากทำ”
“ให้ปูนิ่มหาให้ไหมคะ”
คราวนี้นพรัตน์ละสายตาจากเอกสารเหลือบมองทางอัญจารีย์ที่ยืนยิ้มเผล่มองเขาอยู่ ถามกลับสั้นๆ
“ใคร”
“ณัชชาค่ะคุณนพ” เอ่ยชื่อขึ้นมาแล้ว แอบเห็นว่านพรัตน์เผลอยักไหล่น้อยๆ มุมปากเขากดลงนิดเดียว จนไม่สังเกตดีดีก็แทบจะมองไม่เห็น ตาที่ฉายแววหยันข้างในนั้นก้มลงไปมองเอกสารอย่างเดิม ถามโดยไม่ยอมเลื่อนตาขึ้นมาสบตอบด้วย
“ก็แล้วทำไมเขาถึงจะต้องมาทำงานแทนคุณติ้งด้วยล่ะ”
“ตอนนี้เธอตกงานนี่คะ ไม่อยากเม้าเพื่อนเลย...”
ถ้าออกตัวว่าไม่อยากเม้าเพื่อนทีไร เป็นได้ยินเรื่องเล่ายาวๆจากเจ้าหล่อนเป็นแน่ แล้วก็จริงอย่างที่นพรัตน์คาดคะเนเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิดเดียว
อัญจารีย์สบโอกาสเหมาะ นั่งลงเล่าเรื่องณัชชาให้เขาฟังต่อจากนั้นอีกเป็นนาน เรื่องที่แอบได้ยินพนักงานในคลินิกพูดกันที่ในห้องน้ำ ฟังดูแล้วคล้ายมีการใส่สีตีไข่เพิ่มเติมอีกจากเรื่องจริง ราวกับอยากให้เขาเห็นใจ หวังผลให้ยินยอมตกลงว่าจ้างณัชชามาทำงานด้วยอย่างไรอย่างนั้นนั่นแหละ
ฟังจบ มีเพียงความเงียบจากชายหนุ่มกลับมา อัญจารีย์เร่งเร้าถามจี้ “คุณนพว่ายังไงคะ ให้ปูนิ่มโทรบอกณัชชาเลยไหมว่ามาทำงานแทนพี่ติ้งได้เลย”
นพรัตน์เฉย ไม่ยอมตอบว่าอะไร อัญจารีย์เลยชักจะร้อนใจ “นี่...ปูนิ่มจะโทรบอกณัชชาตอนนี้เลยนะ ว่าคุณนพเซย์เยสแล้วน่ะ”
คราวนี้เห็นนพรัตน์ปิดแฟ้มตรงหน้าของเขา สบตาก่อนว่า
“อย่าเลย ทำงานไม่กี่เดือนแบบนี้ให้เขาไปสมัครที่อื่นดีกว่า”
“ก็แหม...คุณนพคะ ถ้าณัชชาทำงานดี คุณนพจะไม่จ้างต่อหรือไงคะ เอาน่า ไหนๆก็เคยเรียนด้วยกันมา ช่วยเพื่อนหน่อยจะเป็นไรไป นะคะ” อ้อนในตอนท้าย หวังให้เขาเห็นใจ
นพรัตน์เงียบไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไรออกไป และอัญจารีย์ก็ทำเป็นรู้มาก ว่าท่าทีแบบนี้ของเขา จะหมายถึงได้อะไรได้ ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นพ้องไปตามที่ตนเองเสนอไปแล้วนั่นเอง