“คืนนี้มีงานเลี้ยง ไปได้นะ”
นพรัตน์พูดขึ้นหลังส่งแฟ้มรายงานการประชุมคืนให้ คล้ายสั่งนั่นแหละ ก่อนหน้าเธอเคยตามเขาไปคุยงานกับคู่ค้ารายอื่นมาบ้างแล้ว จบงานเขาจะแวะส่งเธอทุกครั้ง เลยยิ้มน้อยๆ พยักหน้าตอบรับสั้นๆ
“ค่ะ”
เห็นเขามองมาแล้วบอกต่อ “อาจมีคุยรายละเอียดเรื่องที่คุณนิวัตส่งเมลล์ตอบกลับเมื่อวาน ช่วยสรุปมาให้ด้วยนะ อ้อ...แล้วก็รายงานของฝ่ายจัดซื้อ ขอบ่ายนี้เลย”
ตอบรับแล้วรีบออกไปสรุปรายงานมาส่งให้เขาจากนั้น จวบจนหกโมงเย็น นพรัตน์ออกมายืนที่หน้าโต๊ะของเธอ ณัชชาเห็นเขาคอยก็เร่งเก็บของ เก็บรายงานลงแฟ้มจนเรียบร้อย หอบถุงที่ใส่สัมภาระติดมือตามหลังลงไปจนถึงด้านล่าง สอดส่ายสายตาครู่เดียวก็หันบอกเขาว่าขอตัวสักเดี๋ยวแล้วรีบวิ่งไปยังพนักงานรักษาความปลอดภัยคนที่พาเธอเข้าตึกเมื่อวันก่อน นำกล่องใส่อาหารออกจากกระเป๋าส่งให้
“ทำมาฝากค่ะ”
พนักงานคนนั้นมองเธอด้วยสีหน้าชอบกล สายตาแฉลบเลยไปด้านหลัง เห็นนพรัตน์มองมาชักใจคอไม่ดี ถามกลับ
“อะไรหรือครับ”
“ขนมเอาไว้เคี้ยวตอนง่วงน่ะค่ะ เมื่อเช้านี้มาสายเลยลืมแวะเอามาให้ก่อน ขอบคุณมากนะคะเรื่องเมื่อวันนู้น” พนักงานคนดังกล่าวรับของแล้ว เธอรีบเดินไวๆกลับไปหานพรัตน์ เห็นเขาไม่ได้รอจ้ำอ้าวตรงไปยังรถที่จอดอยู่ตรงลานโล่งด้านหน้าอาคารแล้ว เลยเร่งเท้าเพื่อจะไปให้ทันเขา
ขึ้นรถได้ นพรัตน์ปรายตามองทางพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้น ถามขณะพารถออกสู่ถนนเบื้องหน้า
“อะไร”
ณัชชาที่ยังหอบหายใจเพราะวิ่งตามเขา งันเล็กน้อย “คะ?”
นพรัตน์เงียบ ขับรถต่อ คราวนี้หันหน้ามาถามใหม่
“เอาอะไรไปให้สนิท”
ดีที่รู้จักชื่อของพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นว่าชื่อสนิท เลยยิ้มบางๆ เล่าให้ฟังถึงเรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เธอมาทำงานแต่เช้าแล้วฝนตกลงมา อาคารยังไม่เปิดให้เข้าไป สนิทเลยให้เธอเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อขึ้นไปชั้นบน เล่าจบรู้สึกถึงบรรยากาศในรถที่ดูอึดอัดกว่าเดิม บอกด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเอาใจไม่รู้ตัว
“มีอีกกล่องด้วยนะคะ แต่ไม่รู้ว่าบอสจะกิน...” ถามยังไม่ทันจบดี นพรัตน์ว่าขัดขึ้น
“เปิดกล่องแล้วช่วยส่งให้ที”
“ค่ะ”
ตอบรับสั้นๆ พร้อมหัวใจที่สั่นไหวเล็กน้อย ค่อยยิ้มออกเมื่อเขาไม่รังเกียจขนมของเธอ เปิดฝากล่อง บิขนมข้างในส่งให้ นพรัตน์ไม่ได้ยื่นมือออกมารับ เขาประคองพวงมาลัยรถอยู่อย่างนั้น ขับไปเรื่อยๆจังหวะหนึ่งถึงหันมาสบตาเธอแล้วมองไปที่ถนนดังเดิม พร้อมกับอ้าปากรอ
ณัชชามองท่าทีของเขาแล้วเม้มปากแน่น พยายามระงับอาการตื่นๆของตัวเอง ค่อยยื่นส่งไปตรงหน้า บอกเสียงแผ่ว
“ขอโทษนะ”
สิ้นคำขอโทษของเธอ นพรัตน์รับเอาขนมคำนั้นเข้าปาก เผลอออกแรงบีบมือลงบนพวงมาลัยรถยนต์จนข้อนิ้วขาวซีดแทบไร้สีเลือด ถามทั้งๆที่เคี้ยวขนมอยู่เต็มปาก
“ขอโทษเรื่องอะไร”
ยังไม่ทันได้เอ่ยปากบอก ก็พอดีมีสายเรียกเข้ามาเสียก่อน เขากดรับสาย โดยสนทนาผ่านบลูทูธ จึงค่อยขยับนั่งเบี่ยงมองไปยังด้านนอกของรถแทน
สายสนทนาที่เรียกเข้ามาเป็นเพื่อนของเขา ได้ยินนพรัตน์คุยอยู่ร่วมยี่สิบนาที จึงวางสายลง ไม่นานก็ถึงยังจุดหมายโดยที่ไม่มีการพูดจาอะไรระหว่างกันอีก
คฤหาสน์หรูถูกประดับด้วยไฟหลากสี ดูสดใสสวยงามดีในระดับหนึ่ง งานเลี้ยงจัดที่บริเวณสวนตรงหน้าคฤหาสน์งามหลังนั้น เขาเอื้อมหยิบกล่องที่เบาะด้านหลัง รอให้เธอลงรถแล้วเดินเข้าไปในงานด้วยกัน ชายเจ้าของงานเลี้ยงหน้าตาคลับคล้ายคลับคาจะเป็นเพื่อนสมัยเรียน ทางนั้นปรี่มารับหน้านพรัตน์ ทักทายอย่างดีใจ
“ขอบคุณมากครับเสี่ย ไม่คิดว่าจะมาร่วมงานเล็กๆแบบนี้ด้วย”
“ไม่มาได้ยังไง วันเกิดเพื่อนซันทั้งที” แล้วส่งของขวัญกล่องขนาดฝ่ามือให้เจ้าของงานวันเกิด
ณัชชาให้แปลกใจอยู่บ้างที่เขามางานเลี้ยงพร้อมกับจะคุยงานด้วย บรรยากาศไม่น่าให้คุยกันได้เลย พลันคิดเข้าข้างนพรัตน์ไปว่าเขาคงมีเรื่องงานต้องคุยจริงๆ ไม่ว่าบรรยากาศแบบไหนก็คุยได้ละมัง ไม่อย่างนั้นจะให้เธอตามมาด้วยทำไม แล้วเลยขยับก้าวถอยหลังเพื่อให้ชายทั้งสองได้คุยกันเป็นการส่วนตัว
เจ้าของงานเลี้ยงเอียงตัวเข้าไปกระซิบกระซาบถามนพรัตน์
“ใช่ณัชชาไหม”
คนถูกถามยิ้มมุมปากบอก “ถามเอง”
เจ้าของงานเลี้ยงเอียงตัวมามองทางเธอ ยิ้มกรุ่มกริ่มให้แล้วเข้าไปกระซิบคุยกับนพรัตน์อีกที
“ณัชชาจริงๆด้วย แม่เจ้าโว๊ย ตอนเรียนเห็นเนิร์ดๆก็ว่าน่ารักแล้วนะ ตอนนี้แม่ง...โครตของโครตน่ารักเลยเว้ย” ออกปากชมณัชชาไม่ทันจบดีก็ชะงักคำพูด เมื่อเห็นสายตาของนพรัตน์ เลยต้องหยุดสนใจหญิงสาวเอาไว้แค่นั้นก่อน กระแอมไอแล้วผายมือ เชื้อเชิญให้เข้างานไปด้วยกัน
“มาครับ เดี๋ยวไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนที่ด้านในกันดีกว่า”
นพรัตน์หายไปกับซัน ทิ้งเธอนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นๆแล้วก็ให้อึดอัดใจอยู่ไม่น้อย บางคนเธอยังพอจำได้เพราะเหลือโครงหน้าเดิมไว้บ้าง แต่ก็มีอีกหลายคนเลยที่จำไม่ได้นอกจากชื่อจะเปลี่ยนไปแล้ว เบ้าหน้าก็ยังเปลี่ยนไปจนหมด ไม่หลงเหลือโครงหน้าเก่าเอาไว้ให้ได้เดาชื่อกันได้เลย
ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการ มีบางคนที่เรียนแพทย์ บางคนเป็นวิศวกร และอีกหลายคนที่สังกัดหน่วยงานหรือองค์กรขนาดใหญ่
พอมีคนหันมาถามว่าเธอหายหน้าหายตาไปไหน ทำไมติดต่อไม่ได้เลย แล้วเรียนจบอะไรมา ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ ก็ทำได้แค่ยิ้ม บอกไปตามความจริงว่าเธอทำงานเป็นเลขาให้นพรัตน์ เท่านั้นเองคนพวกนั้นก็ค่อยๆหันหน้าไปคุยกันเอง ทิ้งให้เธอแกร่วอยู่คนเดียวบนโต๊ะ
นานราวครึ่งชั่วโมงได้ จึงปลีกตัวย้ายออกไปนั่งแถวสระน้ำ บริเวณนั้นจัดเป็นที่ให้นั่งพัก มีต้นไม้ประดับสวยงามหลากหลายชนิด พอจะกันให้เธอออกจากวงสังคมที่ดูฉาบฉวยพวกนั้นได้บ้าง
“ว่าไงนะ ยัยณัชชาเป็นเลขาของคุณนพหรือ”
“อือ ได้ยินมาแบบนั้นนะ”
“แล้วคุณนพไม่ตะขิดตะขวงใจหรือที่เอาผู้หญิงแบบนั้นมาทำงานด้วยน่ะ”
“ผู้หญิงแบบนั้น คือแบบไหนหรือซายน์”
“ผู้หญิงที่ขายตัวเขาเรียกว่าผู้หญิงแบบไหนกันล่ะ น้องเป็นกะ...” คนพูดเว้นช่องให้เพื่อนเติมเอาเอง แล้วเยาะต่อ “พี่สาวจะเหลือหรือไง แถมตอนนี้สวยกว่าตอนเรียนตั้งเยอะ”
“งั้นข่าวลือที่ว่าขายตัวให้คุณปู่ของคุณนพก็...”
“จริงน่ะสิจ๊ะ”
“อุ๊ แม่เจ้า ฉันล่ะไม่เข้าใจคุณนพเลยนะ”
“ผู้ชายก็แบบนี้แหละ คงไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นฉันนะเงาบ้านก็จะไม่ให้มาเหยียบหรอกย่ะ ทุเรศ น่ารังเกียจ เสนียดได้ติดบ้านเอาสิ”
เสียงสนทนาแผ่วลงแล้ว ณัชชาที่กำลังนั่งมองท้องฟ้าดำมืดด้านบนอยู่ ถอนใจเบาๆ ที่อัญจารีย์เคยถามว่าจะปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดไปทำไมก็เพราะเธอขี้เกียจไปตามแก้ไขความคิดคนอื่นน่ะสิ แล้วก็ไม่นึกด้วยว่าจะต้องอยู่ในวงโคจรเดียวกัน ใครจะคิดอย่างไรก็ปล่อยให้คิดกันไปเถอะ
แล้วดูตอนนี้สิ ฟังคำพูดที่เอ่ยออกมานั่นประไร
เธอจะทนคำหมิ่นแคลน ดูถูกตัวเองไปได้อีกนานแค่ไหนกันหวังใจว่านพรัตน์คงไม่คิดแบบคนกลุ่มนั้นหรอกนะ ยิ้มปลอบตัวเองว่าเขาคงลืมเรื่องราวพวกนั้นไปหมดแล้วล่ะ เรื่องมันก็ผ่านมานานขนาดนี้ ถ้าเขาคิดอคติต่อเธอ เขาจะจ้างมาทำงานกับเขาด้วยทำไม
“ทำไมมานั่งอยู่นี่”
เป็นเสียงของนพรัตน์เอง หันไปมอง เห็นว่าไม่ได้มีแค่เขา ยังมีเจ้าของงานเลี้ยงกับหญิงสาวข้างกายเขาอีกคน ขยับตัวลุกขึ้นยืนเพื่อสนทนาด้วย
“ออกมาดูบรรยากาศข้างนอกบ้างน่ะค่ะ”
“อ้าวเหรอ นึกว่าออกมารอตกแขก”
เป็นคำพูดจากหญิงสาวข้างกายนพรัตน์ ณัชชามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาทันที พลันบรรยากาศตรงนั้นเลยชะงักงันไป ชายเจ้าของงานรีบเบรกน้องสาวปากดีของตัวเอง
“ยัยซายน์!”
“เรียกทำไมคะพี่ซัน กลัวลืมชื่อน้องสาวอย่างซายน์หรือไง ซายน์ก็แค่ได้ยินมาว่าพี่น้องบ้านนี้เขาเป็นเพื่อนดื่มเพื่อนเที่ยว แล้วก็ค้าขายเนื้อสดกันมาก่อน เลยอยากมั่นใจว่ามันจริงอย่างที่เขาลือไหม แล้วนี่นะหน้าตาก็ไม่ได้สวยมากมายอะไรเลย ไม่น่าเชื่อนะว่าจะทำอาชีพแอบแฝง หรือมีดีที่ลีลาคะ พี่ซันกับพี่นพได้เคยลองบ้างหรือยังเนี่ย”
หญิงสาวคนนั้นพูดลอยหน้าตาใส่เธอ นพรัตน์ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นการห้ามปราม เขามองเธอด้วยแววตาที่ณัชชาอ่านไม่ออก ค่อยเอ่ยขึ้น
“กลับก่อนนะซัน”
แล้วก็ให้ตกใจเมื่อข้อมือถูกเขาคว้าไปจับไว้ พาตรงไปยังทางออกของงานเลี้ยง ‘ซัน’ เจ้าของงานที่เป็นเพื่อนกับทั้งนพรัตน์และณัชชาเอ่ยปากเรียกรั้งเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนเสี่ย โธ่เว๊ย!”
เห็นว่านพรัตน์เดินจากไปแล้ว เลยกลับมาเล่นงานน้องสาวของตนเองแทน “แกนะแก ยัยซายน์ ปากมากจริงๆเลย ทำไมไปพูดแบบนั้น ห๊ะ”
“ซายน์พูดความจริงนี่คะพี่ซัน รู้หรอกว่าคนอื่นในงานก็คิดแบบซายน์ แต่ไม่มีใครกล้าพูดน่ะ”
“คนอื่นเขาก็รู้กันหมดนั่นแหละ แต่เขาก็รู้อีกเหมือนกันว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด แต่แกเนี่ย แกพูดขึ้นมาทำไม พูดให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ”
ซันบ่นพร้อมจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากของน้องสาวไปพลาง สีหน้าแสดงอาการเบื่อหน่ายสุดขีด เขาหรืออยากลองใช้บริการณัชชาดูบ้าง กะจะสานต่อสัมพันธ์ผ่านนพรัตน์เสียหน่อย จบกัน ไอ้น้องเฮงซวย
นพรัตน์ปล่อยข้อมือของเธอเมื่อเดินพ้นออกมาจากงานเลี้ยงแล้ว จนถึงรถ ณัชชายืนนิ่ง ไม่ยอมเปิดประตูเข้าไปนั่ง กระชับสายกระเป๋าเข้ากับบ่าตัวเอง พร้อมนึกทบทวนคำพูดของผู้หญิงคนนั้น
เพื่อนดื่ม เพื่อนเที่ยวอย่างนั้นหรือ
แล้วก้มหน้าบอกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ สั่นด้วยความโกรธ
“แยกกันตรงนี้เลยได้ไหม”
“ขึ้นรถเถอะณัช”
น้ำเสียงไม่ได้ฟังดูดุดันแต่กระนั้นก็อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ที่เธอเองก็คร้านจะต่อต้านด้วย จึงเดินไปดึงประตูเปิดออก แทรกตัวขึ้นนั่งที่เบาะหนังราคาแพงในรถของเขาจากนั้น
นพรัตน์ชะลอความเร็วลง เมื่อเธอบอกเขาอีกครั้งว่าให้ส่งตรงนี้ก็ได้ เนื่องจากการจราจรค่อนข้างหนาแน่นที่เบื้องหน้า รถติดยาวและขยับได้น้อยเต็มที เหตุน่าจะมาจากอุบัติเหตุหรืออะไรสักอย่างก็สุดจะรู้ ทิศทางของห้องเธอกับที่พักของเขาอยู่คนละซีกเมือง ไม่อยากให้ต้องลำบากวนรถไปมา
ชายหนุ่มยินยอมจอดให้ลงแต่โดยดี ไม่มีการพูดจาอะไรกัน หลังส่งเธอแล้ว นพรัตน์พารถเข้าสู่เลนขวาสุดออกห่างไปไกลทุกทีๆ เห็นกลับรถก็แล่นฉิวจากไป
แววตาของนพรัตน์ในวันนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอ เธอเองก็รู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ รู้ว่าตัวเองแย่มากขนาดไหนที่ใช้เขาเป็นหนทางเข้าให้ถึงตัวของอิทธิ อัศวหาญญ์วรกุล
เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานแล้วคงมีแต่เธอที่คิดมากอยู่คนเดียว เผลอๆนพรัตน์อาจลืมเรื่องนี้ไปแล้วก็เป็นได้ ปัดความคิดหม่นหมองออกไปจากหัวแล้วเดินกลับห้องพักของตัวเองที่ห่างจากจุดลงรถไปไม่กี่ซอยเพียงเท่านั้น
นพรัตน์ขับห่างจากจุดที่จอดส่งณัชชาไม่เท่าไร ก็มีสายเรียกเข้ามา เห็นชื่อที่บันทึกโชว์ตรงหน้าจอรถ ยิ้มมุมปากหน่อยเดียว แล้วจึงกดรับสาย
“ว่าไงซายน์”
“อย่าลืมค่าแรงซายน์นะคะ นี่พี่ซันด่าซายน์ยับเลยว่าปากมาก ปากไม่ดีที่ไปพูดกระทบยัยณัชชาแบบนั้นน่ะค่ะ”
“เดี๋ยวพี่จัดการให้”
“ขอบคุณนะคะพี่นพ มีอะไรเรียกใช้ซายน์ได้เสมอนะ งานแบบนี้ซายน์ถนัดมากเลยค่ะ”
ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ยิ้มหยันแล้ววางสายลง
นึกถึงใบหน้าของณัชชาตอนอยู่ในงานเลี้ยงที่เดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง แววตาก็วาววับคล้ายอยากจะเอาเรื่อง ก็ให้สะใจอยู่ไม่น้อย คนที่คิดล้อเล่นกับความรู้สึกของเขา ทำให้เขาต้องเคยเจ็บแค้น เจ็บใจ เสียความรู้สึก และคิดใช้เขาเป็นสะพานเพื่อข้ามไปหาผลประโยชน์อะไรก็ตามแต่ ต้องเจอการเอาคืนที่มากกว่านี้อีกหลายเท่า
นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น!