Chapter​ 9 เมียบำเรอ​

2739 คำ
Chapter​ 9 เมียบำเรอ​ ยามเช้าของวันใหม่​ ความมืดยังคงห่มคลุมเรือนหลังคาบ้านพาณิชกุลย์​ ในห้องนอนของภีมพล​ จันทร์เจ้าเอยต้องสะดุ้งตื่น​ เมื่อมีบางอย่างโยนลงมาบนเนื้อตัว​ มันคลุมหน้าคลุมตาจนหล่อนต้องใช้มือปัดออก "ออกไปได้แล้ว​ หมดหน้าที่ของเธอแล้วเอิง!" เสียงไล่อย่างไร้เยื่อใยดังขึ้นที่ปลายเตียง​ มองไปก็เห็นภีมพลในสภาพผ้าขนหนูพันท่อนล่างเอาไว้​ ส่วนท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าเผยแผงอกกำยำที่เมื่อคืนได้นอนซุกซบและกกกอด​ แต่...เช้าวันนี้เขากลับกลายร่างเป็นอีกคนที่ต่างจากเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง และจันทร์เจ้าเอยก็ได้​รู้​ว่าที่โยนมาใส่ร่างนั้นก็คือเสื้อผ้าของหล่อนที่ถูกถอดทิ้งไปเมื่อคืนนั่นเอง ที่ทำให้ต้องเม้มปากแน่นแววตาร้อนผ่าวปวดหนึบ​ ก็เพราะเงินจำนวนหนึ่งมันถูกโยนมาพร้อมกับเสื้อผ้า...ปวดหัวใจเหลือเกิน​ เมื่อเขาตีค่าหล่อนไม่ต่างจากนางบำเรอที่ทำหน้าที่บนเตียงเพื่อแลกเงิน "พี่เหนือ...เอิงไม่ได้ต้องการเงิน" หล่อนเสียงสั่น​ หากแต่ก็ได้รับเพียงแววตาเย็นชากลับมา "เก็บไปเถอะ​ ถือเสียว่า...เป็นค่าเหนื่อยของเธอเมื่อคืนนี้​ นี่มัน​ก็แค่...เศษเงินของพี่ที่เอาไว้ซื้อความสุขใส่ตัว​ เอาจริง​ ๆ​ นะเอิง​ ที่เธอแกล้งทำเป็นคนอื่นแล้วก็ทำไม่ประสีประสาเหมือนไม่เคย​ แต่เมื่อคืนนี้...มันไม่ใช่เลย เธอเผยออกมาแล้วว่าเธอคือเอิงตัวจริงนั่นแหละ" จันทร์เจ้าเอยหน้าชาดิก​ มองคนใจร้ายตรงหน้าพลางขบกรามแน่น​ ในหัวได้แต่ท่องคำว่าอดทน​ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ลงทุนทำลงไปจะสูญเปล่าทันที "รีบใส่เสื้อผ้าแล้วก็ออกไปซะ​ อย่ามาทำบีบน้ำตาทำหน้าเศร้า​ มันน่าสมเพชมากกว่าน่าสงสารรู้ไว้ด้วย!" เขาปราดขึ้นเตียงเมื่อ​เห็นหล่อนยังคงนั่งนิ่ง​ สองมือจับชุดนอนมาสวมหัวให้หล่อน​ ทั้งหมดทั้งมวลเขาทำแรง​ ๆ​ ราวกับหล่อนไม่ใช่คน​ ท่าทีที่ทำให้หล่อนน้ำตาซึมเพราะรู้สึกไร้ศักดิ์ศรีเหลือเกิน "เอิงเจ็บนะคะพี่เหนือ!" "ไป! ก่อนใครจะมาเห็นว่าเธอน่ะทำตัวไร้ยางอายสิ้นดี​ ดูสภาพเธอสิ​เอิง​ ใส่มาแต่ชุดนอนแบบนี้ มันก็ไม่ต่างไปจากการแก้ผ้าเดินว่อนให้คนเขาดูไปทั่ว!" คุ้มกันหรือที่ต้องเอาตัวเข้าแลกให้เขาดูถูกเหยียดหยามกันแบบนี้​ แต่...เพื่อเป้าหมายอันสูงสุด​ หล่อนจะถอยไม่ได้อีกแล้ว​ คิดยามที่เขาฉุดกระชากลากถูหล่อนออกจากห้อง​ ผลักจนเซถลาแล้วล้มลงไปนั่งกองบนพื้นราวเป็นสุนัขที่ถูกไล่ตะเพิด​ และเงินปึกนั้นก็ถูกโยนมาใส่หน้า​ เป็นการกระทำที่หยามน้ำใจกันอย่างรุนแรง ปัง! เขาปิดประตูใส่หน้าจนหล่อนสะดุ้งเฮือก​ และต้องปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น​ กับโชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้หล่อนโคจรมาเจอกับซาตานร้ายเช่นเขา​ ต้องมารับกรรมในสิ่งที่ไม่ได้ก่อ​ แล้วหล่อนจะโทษใครได้​ เมื่อเต็มใจกระโดดเข้ามาร่วมในวังวนความโกรธแค้นของเขาเอง และก่อนที่ใครจะผ่านมาเห็น​ หล่อนรีบวิ่งลงบันไดไปที่ชั้นสองเพื่อกลับห้อง​ ขังตัวเองอยู่ในนั้น ​ ใจยามนี้บอบช้ำ เกินเกินจะทานทน แม้อยากล้มเลิกงานแต่งก็ทำไม่ได้เสียแล้ว​ เมื่อภาณุวัฒน์ให้เงินค่าผ่าตัดบิดามาแล้ว​ และตอนนี้หล่อนก็ติดต่อกับทางทีมแพทย์ไว้เรียบร้อย​ รอแค่ให้ถึงวันผ่าตัดเท่านั้น "โอ๊ย เจ็บนะ!" เสียงร้องมาพร้อมกับร่างที่ถูกผลักจนล้มลงไปบนเตียงนอน...ปานตะวันกระถดกายถอยหลังหนีจนไปชิดขอบเตียง หล่อนนั่งตัวสั่นใจสั่น ยกมือไหว้อ้อนวอนด้วยน้ำตานองหน้า "เอิงไม่ได้คิดหนีจริง ๆ นะคะ เฮียต้องเชื่อเอิงนะ เอิงแค่จะไปซื้อของที่ตลาดเท่านั้น" พาทิศกระตุกยิ้มมุมปาก ร่างสูงย่างสามขุมเข้าไปชิดขอบเตียง ก่อนจะถลาเข้าหาร่างบางที่สั่นงกเพราะความกลัว มือแข็งราวคีมเหล็กยื่นไปบีบลงบนแนวสันกรามตามแรงอารมณ์ "ฉันรู้นะว่าเธอจะหนีกลับไปหาผัวเก่า อย่ามาตอแหล!" "ไม่ใช่จริง ๆ เอิงไม่กล้าทำแบบนั้นกับเฮียหรอกค่ะ" แววตาเข้มหรี่ลง มองอีกฝ่ายคล้ายไม่เชื่อ เสียงเข่นรอดไรฟัน "อย่า...แม้แต่จะคิด ถ้ามีอีกครั้ง คราวนี้เธอตายแน่!" มือแกร่งสะบัดออกจากดวงหน้าเล็กอย่างแรง แววตากรุ่นโกรธมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้...ปานตะวัน เมียขัดดอกที่ได้มาเพราะอำนาจเงิน หนี้ที่มารดาหล่อนสร้างไว้ เขาขอล้างหนี้ด้วยการจับหล่อนมาทำเมีย และในอีกความรู้สึก ใจเขาเริ่มอ่อนกับหยาดน้ำตาของหล่อนอีกครั้ง "หยุดร้องได้แล้วเอิง เอาเป็นว่า ฉันจะเชื่อเธออีกครั้งก็แล้วกัน" อ้อมแขนแกร่งรั้งร่างที่สะอื้นไม่หยุดเข้ามากอด ในขณะที่ปานตะวันนั่งตัวแข็งอยู่ในอ้อมกอดนั้น...หล่อนไม่ ได้รักเขา ไม่ต้องการอ้อมกอดเขา หล่อนรักภีมพล เจ็บปวดเหลือเกินเมื่อนึกไปถึงเส้นทางรักที่ไม่มีวันเป็นจริง หากมารดาหล่อนไม่ก่อเรื่อง ชีวิตหล่อนก็คงไม่จมปลักอยู่กับมาเฟียอย่างพาทิศ ยิ่งคิดยิ่งสะอื้นหนักขึ้น ในอ้อมกอดที่อบอุ่น แต่ใจกลับเหน็บหนาวเหลือทน "คุณพ่อมาแล้ว" จันทร์เจ้าเอยฝังจมูกลงบนแก้มจ้ำม่ำ แววตาคู่สวยทอดมองไปยังบีเอ็มที่แล่นมาตามทางที่พาไปสู๋โรงจอดรถ หลังจากที่ภีมพลออกไปพบลูกค้าและกลับเข้าบ้านมาในเวลาเย็นย่ำ เนื่องจากเป็นวันหยุดหล่อนจึงรับอาสาเลี้ยงลูกให้เขา โดยให้ยุพินได้พักผ่อนบ้าง หล่อนอุ้มนลินมายืนยิ้มรออยู่ตรงหน้าประตูบ้าน...ยิ้มสู้เจ้าของร่างสูงที่เดินมาตามทางเดินหินเรียงใต้ซุ้มมัลเบอร์รี่​ ไม่มีแม้รอยยิ้มบนใบหน้าคมคร้าม​ เมื่อเห็นว่าใครอุ้มแก้วตาดวงใจยืนรอรับหน้าอยู่ไม่ไกล "ป้าพินไปไหน​ บอกแล้วใช่มั้ยอย่ายุ่งกับลูกของพี่!" "แต่น้องก็เป็นลูกของเอิงเช่นกัน​ ทำไมจะอุ้มเขาไม่ได้คะ" "นี่! เอิง...เธอ..." จันทร์เจ้าเอยฝืนยิ้มข่มแววตาเข้มเกรี้ยวกราด​ จะต้องอดทน...หัวใจของเขาที่หล่อนต้องการ​ หล่อนบอกตัวเองแบบนั้น "เอิงพูดผิดตรงไหนคะ เพราะน้องเป็นสายเลือดของเอิงครึ่งหนึ่ง" คำพูดยิ่งเติมเชื้อไฟในใจภีมพล ชายหนุ่มปราดเข้ามาใกล้ มือแกร่งคว้าหมับลงบนแนวสันกรามของเจ้าหล่อน ออกแรงบีบตามแรงอารมณ์ "โอ๊ย! เจ็บนะ เอิงอุ้มน้องอยู่นะคะ! " "ช่างกล้าพูดนะเอิง เธอหมดสิทธิ์ในตัวเขาตั้งแต่วันที่เธอทิ้งเราสองคนไปแล้ว ยังกล้าจะกล้ามาทวงสิทธิ์ความเป็นแม่อีกเหรอ!" "ก็เอิงบอกแล้วไงคะ ว่าเอิงสำนึก...โอ๊ย!" เขายิ่งออกแรงบีบหนักขึ้น "หน้าด้านสิ้นดี จำเอาไว้ เธอไม่มีสิทธิ์เป็นแม่ของใคร เอิง!" ชายหน่มสะบัดมือออกจากใบหน้าเรียว ก่อนจะยื้อแย่งลูกสาวในอ้อมกอดของจันทร์เจ้าเอยมาอุ้มเอาไว้ราวหวงแหน แววตาเข้มยังไม่อ่อนแสงจากแรงความเคียดแค้น...แววตาที่เพิ่มแรงขับให้จันทร์เจ้าเอยอยากเอาชนะ เขาเบือนหน้าหนีไม่มอง แสดงให้เห็นว่ารังเกียจหล่อนมากเพียงใด อุ้มทารกน้อยเดินหนีเข้าบ้านโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บเพียงไหนกับการกระทำของตน ในความรู้สึกของภีมพล เขาบอกตัวเองเสมอ จะต้องไม่ใจอ่อนให้กับมารยาของอีกฝ่าย เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย และเขาจะไม่โง่ให้หล่อนปั่นหัวเล่นได้อีกต่อไป จันทร์เจ้าเอยมองตามแผ่นหลังกว้างแสนหยิ่งผยองด้วยแววตาแดงก่ำ หล่อนบดกรามจนเป็นสันนูน นับหนึ่งถึงร้อยในใจเพื่อสงบสติอารมณ์ เพื่อเป้าหมายอันสูงสุด นั่นคือหัวใจของเขาที่หล่อนต้องการ ดึกแล้ว หากแต่เสียงร้องไห้ยังคงดังมาจากชั้นสาม มันดังอยู่นานมากแล้วจนจันทร์เจ้าเอยทนไม่ได้ หล่อนลุกจากเตียงแล้วเดินไปคว้าเสื้อคลุมมาสวม ก่อนจะเปิดประตูออกไปจากห้อง เดินไปตามเสียงร้อง นั่นก็คือห้องนอนของภีมพล ภีมพลเดินไปเปิดประตูเมื่อเสียงเคาะดังอย่างต่อเนื่อง เขาคิดว่าเป็นบิดาเลยไม่ทันได้ส่องตาแมวดูว่าใคร และเมื่อเห็นว่าเป็นจันทร์เจ้าเอยเขาแทบกระดันบานประตูกระแทกใส่หน้า หากแต่ว่าช้าไป เมื่ออีกฝ่านแทรกกายเข้ามาในห้องโดยไม่ขออนุญาต "น้องเป็นอะไรคะ เอิงได้ยินร้องตั้งนานแล้ว" ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบ เมื่ออีกฝ่ายทำท่ายื่นแขนมาข้างหน้า เขาไม่ตอบคำถามของหล่อน ทำเหมือนสายลมพัดผ่านหู "ทำไมวันนี้ถึงโกงจังเลยล่ะครับนลิน หนูไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ" เขายังคงเดินไปเดินมารอบ ๆ ห้อง เพื่อปลอบโยนลูกสาว ในวงแขนกว้าง ร่างน้อย ๆ นั้นยังคงตะเบ็งเสียงร้องไม่หยุด "มาค่ะ ให้เอิงช่วยนะคะ" "ไม่! กลับไปนอนเถอะ อย่าลำบากเลยเอิง" "นะคะพี่เหนือ ให้เอิงได้ทำหน้าที่บ้าง" "บอกว่าไม่ไง!" การที่ชายหนุ่มตะคอกเสียงดัง ยิ่งทำให้หนูน้อยตกใจ จึงตะเบ็งเสียงร้องหนักขึ้น "เขาร้องไม่หยุดแล้ว ลองให้เอิงช่วยปลอบแกดูนะคะ เดี๋ยวก็แตกตื่นกันทั้งบ้านหรอกค่ะ วันนี้พี่หมอกมานอนค้างไม่ใช่เหรอคะ อย่าให้เสียงร้องรบกวนการพักผ่อนของใครเลยค่ะ" จันทร์เจ้าเอยยังคงดื้อดึง หล่อนเดินเข้าไปแย่งทารกน้อยมาจากอกผู้เป็นพ่อ...ภีมพลมองตามการกระทำนั้น เขาเห็นแล้ว แววตาของหล่อนยามมองลูก มันคือแววตาที่เต็มไปด้วยความรักอย่างเห็นได้ชัด หล่อนแสดงละครได้เนียนจนเขาสับสน เกือบจะเชื่อไปแล้วว่าหล่อนสำนึกผิดจริง ๆ "เขาอาจปวดท้องนะคะ" "พี่ทายาให้แล้ว เขาไม่ปกติเอิง เขางอแงแบบไม่มีเหตุผล เหมือนร้องหาใครสักคน" "นลิน...หนูเป็นอะไรคะ ดูสิ ร้องไห้จนหายใจหอบไปหมดเลย" มือนุ่มลูบไปตามแผ่นหลังน้อย ๆ ด้วยสัมผัสอ่อนละมุน หล่อนถือวิสาสะขึ้นไปบนเตียงทางฝั่งที่ติดกับเตียงเล็ก วางร่างทารกน้อยให้นอนลงไป หล่อนเอนกายนอน ตะแคงเพื่อนอนกกให้ความอบอุ่น มือนุ่มตบลงบนก้นเล็กเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม ไม่นานนักเสียงร้องที่แผดลั่นบ้านก็ค่อย ๆ เบาลง จนเกือบจะเงียบในที่สุด ท่ามกลางแววตาเข้มที่มองอย่างไม่เข้าใจ เขานึกน้อยใจ การที่ปานตะวันมาที่นี่ได้ไม่นาน แต่ก็ทำให้ลูกของเขาติดหนึบเสียแล้ว 'นลิน...หนูร้องหาแม่หรอกเหรอ...' "ช่วยหยิบนมให้เอิงทีค่ะ เอิงจะกล่อมให้เขาหลับ พี่เหนือจะได้พักผ่อนเสียที" "นี่เธอ !เอิง เธอก็ลุกมาหยิบเองสิ มีสิทธิ์อะไรมาใช้พี่ฮึ!" คนขี้อิจฉาทำท่าทีฉุนเฉียว เขาไม่พอใจ ที่หล่อนทำให้ลูกสาวของเขายอมคลายความพยศลงได้ "ไม่ใช่เวลาทะเลาะกันนะคะพี่เหนือ เร็วค่ะ เดี๋ยวน้องก็ร้องขึ้นมาอีกหรอก" จันทร์เจ้าเอยขยับกายเข้าไปแนบชิดร่างน้อย ๆ นั้นมากขึ้นเพื่อให้ไออุ่น หล่อนไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมจึงรักและเอ็นดูประหนึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ทั้งที่พ่อของเด็กนั้นสุดจะร้ายใส่หล่อนเสียขนาดนี้ "เธอมาอยู่ที่นี่ไม่นาน ลูกก็ติดอ้อมกอดเธอเสียแล้ว บอกมาเอิง เธอเอาอะไรให้ลูกกินฮึ!" เขายอมเดินไปหยิบขวดนมมายื่นให้ ก่อนจะคลานขึ้นเตียงไปนั่งอยู่ด้านหลังคนที่นอนตะแคงกล่อมลูกอยู่ ใบหน้าคมคร้ามชะเง้อผ่านร่างอิ่มที่เคยได้ลิ้มลอง...มันน่านักเชียวลูกสาวเขา พอได้นอนในอ้อมกอดของแม่ก็นอนดูดนมนิ่งอย่างสบายใจ ท่อนแขนแกร่งยื่นผ่านร่างอิ่มเพื่อที่จะสัมผัสกับร่างจ้ำม่ำจอมโกง เขาจับมือน้อย ๆ นั้นเอาไว้ด้วยความรัก ส่ายหัวให้กับความพยศที่แกล้งให้เขาปลอบจนเหนื่อย คลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่จันทร์เจ้าเอยนอนเกร็งอยู่ในอ้อมกอดนั้น ความเงียบมาห่มคลุมเสียจนได้ยินลมหายใจของกันและกัน ซึ่งหลังจากดูดนมได้ไม่นานทารกน้อยก็ผล็อยหลับคาจุกนม หล่อนดึงออกจากปากเล็ก ๆ นั่นแล้ววางไว้ที่หัวเตียง ท่ามกลางแววตาเข้มที่มองตามทุกการเคลื่อนไหว และไม่ทันคาดคิด เมื่อลูกหลับเขาก็กักหล่อนเอาไว้ด้วยสองแขน มองมาด้วยสายตาสื่อความหมายบางอย่างไม่ทันจะพูดอะไร ใบหน้าคมคร้ามก็โน้มลงต่ำ ความอุ่นซ่าน ทาบลงบนเรียวปากนุ่มแล้วบดเคล้าด้วยสัมผัสอ่อนละมุน...จูบ...ที่ทำให้หล่อนเคลิ้มฝันไปกับสัมผัสนั้น ยอมให้ลิ้นอุ่นร้อนซอกซอนเข้ามาหยอกเย้ากับลิ้นเล็ก หล่อนเหมือนคนจมน้ำจนผวากอดเกี่ยวแผ่นหลังกว้างเอาไว้ด้วยสองแขน ยามร่างหนักโถมกายทาบทับ กายส่วนร่างสัมผัสได้ถึงความแข็งขึงที่เสียดสีอยู่กับเนินเนื้อ ความหวามไหวซึมซาบ จนขนอ่อนบนกายสาวลุกเกรียว เสื้อผ้าถูกถอดจนเหลือเพียงกายเปลือยเปล่าที่บดเบียดกันอยู่บนเตียงกว้าง หล่อนกอดกายแกร่งเอาไว้จนแน่นเมื่อท่อนเนื้อร้อนผ่าวสอดแทรกลึกเขาสู่ร่องหลืบนุ่มหยุ่นชุ่มฉ่ำ ความคับแน่นและแรงตอดรัดอย่างเป็นจังหวะทำให้เขาสูดปากราวเคี้ยวพริกแสนเผ็ดร้อน หล่อนเองก็ไม่ต่างกัน ความกระสันจากแรงเสียดสีเรียกเสียงครางกระเล่าให้เล็ดลอดผ่านปาก ยามเขาขยับกระแทกกระทั้นหน่วงหนักหล่อนส่ายหน้าไปมาด้วยความเสียวซ่าน เขาเองก็ไม่ต่างกัน เสียงหายใจหอบถี่กระชั้นเมื่อร่างใหญ่โตขยับขึ้นลงอยู่บนกายสาวที่แสนยั่วใจ เขาฟุบร่างลงกับกายสาวเมื่อพากันเกี่ยวก้อยขึ้นไปคว้าสายรุ้งที่พร่างพรม ใบหน้าคมคร้ามซุกอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นจนหล่อนสัมผัสได้ถึงลมหายใจเหนื่อยหอบ ต่างนอนกอดก่ายกันเพื่อปรับสภาพลมหายใจให้กลับมาปกติดังเดิม และเมื่อหายเหนื่อยเขาก็พลิกกายนอนหงาย ก่อนจะตวัดผ้าห่มมาคลุมกายเปลือยเปล่าเอาไว้ ท่ามกลางความละอายใจของจันทร์เจ้าเอย หล่อนพลิกกายนอนตะแคงหันหลังให้เขา เมื่อยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาล่วงล้ำกันอีกครั้ง และมันคือความเต็มใจของหล่อนเอง เขายังคงไม่พูดอะไร หากแต่ก็ขยับเข้าหาจากด้าน หลังแล้วพาดแขนกอดเกี่ยวเอาไว้ หล่อนนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดนั้น และต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมา จน กระทั่งลมหายใจของเจ้าของอ้อมกอดเริ่มสม่ำเสมอ หล่อนเอี้ยวหน้ามอง ก็เห็นว่าเขาหลับไปแล้วทั้ง ๆ ที่อ้อมแขนนั้นยังกอดก่ายร่างของหล่อน...น่าแปลกที่หล่อนไม่ผลักไส รู้สึกอบอุ่นอยู่ในหัวใจอย่างประหลาด ที่เขายอมให้หล่อนได้นอนร่วมเตียง ไม่ตะเพิดไล่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หญิงสาวนอนคิดไปเรื่อยเปื่อย และความอ่อนเพลียก็ทำให้ดำดิ่งลึกสู่ห้วงฝันตามเขาไปอีกคน สองกายกอดเกี่ยวกันบนที่นอนอ่อนนุ่ม ในราตรีนี้ที่ยังอีกยาวไกล
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม