แต่แล้วสิ่งที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกดีใจพลันบังเกิด เมื่อสายข่าวของเขารายงานว่าแท้จริงองค์หญิงน้อยยังไม่ตาย และนางถูกคุมขังไว้ในคุกหลวง
เมื่อได้รับการยืนยัน อ้ายเจิงจึงวางกำลังเพื่อชิงตัวองค์หญิงออกมา และเขาตัดสินใจรอกระทั่งทัพใหญ่ของลู่หนิงหวังติดตามมาช่วยเหลือ จึงจะบุกจู่โจมเข้าวังหลวง
ด้วยฝีมือของเขา ทำให้สามารถเข้าไปในคุกที่การรักษาหย่อนยานได้ไม่ยาก ด้วยไม่มีนักโทษคนสำคัญและในยามนี้ทหารส่วนมาก มักจะอยู่เวรยามคุ้มกันอ๋องคนใหม่จนไม่สนใจนักโทษที่เป็นเด็กและคนชรา
เขาจำหน้าอ้วนกลมขององค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันจากภาพวาดได้เป็นอย่างดี แต่เขากลับหานางไม่พบในคุกแห่งนี้ เกิดเรื่องผิดพลาดได้อย่างไร ข่าวของเขาไม่เคยผิดเพี้ยน
จนกระทั่งเขาได้ยินนายทหารที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกเอ่ยขึ้น
"เหตุใดในกรงที่คุมขังนักโทษไปยังชายแดนถึงได้นำทหารฝีมือดีไปมากมายเช่นนั้น ข้าไม่เข้าใจท่านอ๋อง ยามนี้ข่าวว่าลู่หนิงหวังกำลังยกทัพมาปราบ คนมากคนน้อยก็ควรช่วยกันอยู่ในวังก่อนมิใช่หรือ ยิ่งคนมีฝีมือยิ่งไม่สมควรออกจากวังเลย"
เพราะเป็นเช่นนี้เขาจึงสงสัยยิ่ง ว่าในบรรดานักโทษที่ถูกนำไปชายแดนจะมีองค์หญิงอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ หลังจากนั้นเขาจึงได้สืบหาว่าเส้นทางการคุมนักโทษเหล่านั้นมุ่งตรงไปทิศใดและเร่งม้ากระโจนติดตามไปอย่างเร่งร้อน
ในนั้นมีคนสำคัญที่ถูกจับตัวมาและเขาต้องชิงตัวประกันมาให้ได้ กระทั่งเขาติดตามมาทันพร้อมกับกองกำลังจำนวนหนึ่ง
การปะทะกันเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของสตรีที่อยู่ในกรงขัง กระทั่งการต่อสู้สิ้นสุดลงภายในกรงขังแห่งนั้นกลับเต็มไปด้วยลูกธนูที่ปักร่างของสตรีหลายคน
อ้ายเจิงใจหายวาบ เขาไม่สามารถช่วยคนเอาไว้ได้จริง ๆ หรือว่า งานของเขาล้มเหลวแล้ว
“ตรวจดูว่ามีผู้ใดรอดชีวิตหรือไม่”
เขาสั่งทหารทั้งยังขี่ม้าเข้ามาใกล้กรงขังนั้น ทหารตัดโซ่ที่ล่ามกรงออกค่อยดึงร่างของสตรีที่นอนตายจมกองเลือดทั้งถูกลูกธนูปักหลังออกมาทีละคน
“ทุกคนล้วนตายหมดขอรับ”
“องค์หญิงอยู่ที่นี่หรือไม่ตรวจดูให้ละเอียด”
ทหารนำศพคนตายออกมานอนเรียงกัน เป็นสตรีห้าคนและเด็กอีกสองคน เด็กสองคนนี้อายุไม่น่าเกินสิบปีทั้งสองคนมีเลือดเต็มร่างกายและเสียชีวิตแล้ว
“น่าจะเป็นเพียงนางกำนัลและบ่าวรับใช้ขอรับ”
ทหารผู้นั้นรายงาน แต่อ้ายเจิงกลับรู้สึกประหลาดใจ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ข่าวจะผิดพลาด
ย่อมเป็นไปไม่ได้
อ้ายเจิงลงจากหลังม้าเขาเดินไปดูศพทีละศพ เขาไม่รู้ว่าองค์หญิงอายุเท่าใดแต่ไม่น่าจะพ้นวัยปักปิ่น ดังนั้นหนึ่งในสองศพนี้ต้องมีผู้ใดเป็นองค์หญิงแน่นอน
ไม่ได้คนที่ยังมีลมหายใจได้พบศพก็นับว่างานสำเร็จแล้ว
เขานั่งยอง ๆ ลง สำรวจลักษณะของเด็กทั้งสองอย่างละเอียด เด็กคนนี้ต้องคือองค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันเป็นแน่แม้ว่าจะอยู่ในอาภรณ์ของบุรุษเขาก็จดจำใบหน้าของนางได้ย่อมไม่ผิดพลาด
เพียงแต่น่าเสียดายที่นางบัดนี้ไร้ลมหายใจเสียแล้ว ความหวังของเขาดับสิ้นแล้วหรือ อ้ายเจิงถอนหายใจ อย่างไรเขาก็ต้องรักษาศพของนางเอาไว้ให้ดี ด้วยอากาศหนาวเย็นเช่นนี้การนำศพคนตายกลับแคว้นซูอานในสภาพเดิมนั้นย่อมสามารถทำได้
หลังจากนั้นค่อยจัดงานศพให้นางอย่างสมเกียรติ
ทหารจัดการตามที่อ้ายเจิงสั่ง แยกศพขององค์หญิงเอาไว้ต่างหาก และจัดการนำใส่โลงเอาไว้อย่างดี
พวกเขาเดินทางทั้งคืนกระทั่งกลับเข้าสู่ค่ายทหารเพื่อรอกำลังของลู่หนิงหวังมาสมทบ อย่างไรเสียก็มาสายเกินไปเสียแล้ว การให้ทหารได้พักสักเล็กน้อยก่อนเข้าโจมตีข้าศึกจะเป็นการดีกว่าทำการโดยเร่งรีบ
เขาสั่งให้คนเก็บศพไว้ยังกระโจมแห่งหนึ่ง เพราะเป็นศพคนตายจึงไม่ได้จัดเวรยามให้คอยคุ้มกัน ถึงนางจะมีตำแหน่งสูงส่งปานใดก็ตาม
เช้าวันต่อมาทหารก็เข้ามารายงานเขาว่าศพนั้นได้หายไป ทหารพวกนั้นคิดว่าศพอาจจะถูกสัตว์เข้ามาขโมย อ้ายเจิงยังไม่ทันแต่งตัวดีเขาก็เร่งไปที่กระโจมแห่งนั้น
หลังจากเดินวนสำรวจอยู่ไม่นานเขาก็พบว่าเขาถูกเด็กคนนั้นหลอกเสียแล้ว นางมิได้ถูกสัตว์ลากไป แต่นางลุกขึ้นมาและหายไปเองต่างหาก
“ยาแกล้งตายหรือ นึกไม่ถึงว่าแคว้นลู่จะมอบยานี้ให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง”
จากนั้นอ้ายเจิงจึงสั่งให้คนรื้อค้นอย่างละเอียดและติดตามรอยของนางไป ในที่สุดเขาก็พบเด็กหญิงตัวน้อยนี้กำลังนั่งสั่นอยู่ในโพรงไม้โพรงหนึ่ง
อากาศหนาวจนนางเดินไม่ไหวเท้าของนางที่ไม่ได้ใส่รองเท้าดูเหมือนแดงและแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว ร่างอวบอ้วนกลมเหมือนตุ๊กตาหิมะ จมูกของนางแดงดูแล้วน่าขบขัน
เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ ดวงตากลมโตคู่นั้นไหวระริกมองเขาอย่างหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัว ข้ามาจากซูอาน ข้ามาช่วยท่าน ไปกับข้าเถิดองค์หญิง”
ปากเล็ก ๆ ของนางเอ่ยขึ้นมาอย่างยากลำบาก น้ำตาไหลออกมาอาบแก้มดูน่าสงสารเป็นอย่งยิ่ง
"พี่ชาย ในที่สุดท่านก็มาแล้ว"
หลังจากนั้นมานางก็เกาะติดเขาแจแม้แต่ตอนนี้ที่เขาให้หมอทหารมาตรวจ มือขวาของนางโดนหิมะกัดจนเป็นแผล แต่มือซ้ายยังใช้งานได้ดีและนางก็ใช้มือข้างนั้นยังกำชายเสื้อของเขาแน่น ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นยังมองเขาโดยไม่กะพริบคล้ายเป็นตุ๊กตาหิมะปั้นตัวหนึ่ง
อ้ายเจิงไม่รู้จะวางตัวเช่นใดใจหนึ่งก็กลัวคนจะหาว่าเขาล่วงเกินองค์หญิงน้อย ใจหนึ่งก็มองนางเพียงแค่เด็กผู้หนึ่งเท่านั้น
นางอายุสิบสองขวบปีแล้วมิใช่หรือ หากเป็นเด็กผู้อื่นที่อีกไม่กี่ปีก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้วจะเรียนรู้การสงวนตัวจากบุรุษ มิหนำซ้ำบางคนยังมีท่าทางเอียงอายแสดงออกมาแล้ว
ยิ่งเป็นสตรีชั้นสูงเช่นนางยิ่งเป็นข้อต้องห้ามที่จะสนทนากับบุรุษ หรือว่าที่แคว้นลู่นี้หญิงชายเปิดเผย นางจึงไม่ได้มีท่าทางกระดากอายหรือสงวนตัวเลยแม้แต่น้อย
หรือว่านางสมองกระทบกระเทือนจากการสูญเสียจนเห็นเขาเป็นบิดามารดาไปแล้ว ไม่ก็ท่านอ๋องกับพระชายาไม่ยอมปล่อยให้นางเติบโตจึงยังเลี้ยงดูประดุจเด็กน้อยผู้หนึ่ง
นางเอาแต่จ้องเขา ไม่ยอมตอบคำถามของท่านหมอแม้แต่ประโยคเดียว
"ท่านหมอนางเป็นเช่นไรบ้าง"
"องค์หญิงไม่ยอมตรัส ข้าน้อยไม่อาจสอบถามอาการภายในเพื่อประกอบการรักษา แต่เท่าที่ตรวจพบภายในมิได้บอบช้ำขอรับ เบื้องต้นองค์หญิงมีไข้เย็นคงเพราะฝ่าหิมะมานาน มีร่องรอยการถูกหิมะกัดค่อนข้างหลายแห่ง ทายาสักครึ่งเดือนคงดีขึ้นตอนนี้อาจจะยังชาไม่แสดงอาการ แต่ประเดี๋ยวคงเริ่มเจ็บ ช่วงนี้อย่าให้องค์หญิงหยิบจับสิ่งใดเด็ดขาดขอรับ ทุกอย่างต้องมีคนคอยทำให้มิเช่นนั้นแผลจะลุกลามและด้วยยาของเราที่มีกำจัดหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นคงไม่อาจรักษาแขนและขาขององค์หญิงเอาไว้ได้ ข้าน้อยจะจัดยาบำรุงและขับไอเย็นในร่างออกให้ รับประทานสักสี่ห้าวันก็จะดีขึ้น คงเหลือแผลหิมะกัดที่ต้องค่อย ๆ ทายารักษากันต่ออีกสักระยะ"