บทที่ 2 องค์หญิงน้อย

1867 คำ
ในยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศนับว่าเย็นสบายยิ่ง องค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันในวัยสิบสองปีกำลังเรียนวิชาประวัติศาสตร์ราชวงศ์ร่วมกับองค์หญิงและท่านหญิงผู้อื่นในแคว้นลู่ที่สำนักศึกษาของราชวงศ์ด้วยความรู้สึกเกียจคร้าน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นในยามที่อาจารย์สอบถาม นางก็สามารถตอบคำถามได้อย่างฉะฉานราวกับเป็นผู้เขียนตำราขึ้นมาเอง สร้างความภาคภูมิใจให้อาจารย์ผู้สอนเป็นอย่างยิ่ง แต่เพราะนางเป็นเช่นนี้จึงทำให้นางกลายเป็นคนที่องค์หญิงและท่านหญิงอื่นล้วนไม่ชอบหน้าเพราะต้องถูกเปรียบเทียบกับนางอยู่เป็นนิจแม้ว่านางจะมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาองค์หญิงก็ตาม แต่ถึงจะไม่พอใจเอ๋อรั่วฉีหลันกลับไม่เคยถูกผู้ใดกลั่นแกล้ง ด้วยนางเป็นองค์หญิงที่เกิดจากอัครชายาของอ๋องผู้ครองแคว้นลู่ซึ่งเป็นแคว้นหนึ่งในการปกครองของแคว้นซูอาน ว่ากันว่าองค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันผู้นี้นอกจากความฉลาดเฉลียวแล้วกลับอาภัพนัก ด้วยฝ่าบาทแคว้นซูอานเคยขอให้แคว้นลู่ส่งภาพวาดองค์หญิงทั้งหมดในแคว้นเข้าไปยังวังหลวงของซูอานเพื่อให้บรรดาองค์ชายคัดเลือกไปเป็นพระชายา สตรีอื่นล้วนถูกคัดเลือกด้วยใบหน้างดงาม มีเพียงองค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันผู้นี้ที่ไม่มีองค์ชายใดต้องการนับเป็นเรื่องอัปยศยิ่งด้วยมีตำแหน่งเป็นถึงพระธิดาของอัครชายา แต่ธรรมเนียมย่อมต้องปฏิบัติ อย่างไรสตรีแคว้นลู่ก็ต้องแต่งเข้าไปยังแคว้นซูอาน เมื่อเป็นดังนั้นฝ่าบาทจึงส่งสาสน์มายังท่านอ๋อง ขอองค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันเพื่อเป็นบุตรบุญธรรมของท่านหมอเทวดาอ้ายเสิ่นอันเลื่องชื่อ และยังให้หมั้นหมายกับบุตรชายของหมอเทวดาผู้มีอำนาจสูงส่งในแคว้นซูอานนามอ้ายเจิงอีกด้วย อ้ายเจิงผู้นั้นเป็นผู้สูงศักดิ์ ฐานะไม่ด้อยไปกว่าอ๋องผู้หนึ่ง เป็นผู้มีตำแหน่งสำคัญในใจของฝ่าบาท อีกทั้งยังรูปงามนักมีใจฝักใฝ่สตรีที่งดงามยังมีอนุในเรือนอีกสิบห้าคนที่ล้วนเป็นหญิงงามในใต้หล้า แต่ทว่าถึงจะมีหญิงงามอยู่ล้นจวนเขาก็ยังชอบเที่ยวหอนางโลมและสืบเสาะหาสตรีผู้งดงามไม่ได้หยุดหย่อน จวนท่านหมอเทวดานั้นบัดนี้จึงกลายเป็นแดนสวรรค์บนดินที่มีนางฟ้ามากมาย เล่าลือกันว่าอนุของอ้ายเจิงผู้นั้นงดงามมากกว่าสนมของฝ่าบาทแคว้นซูอานเสียอีก ว่ากันว่าอ้ายเจิงติดตามซู่อ๋องลู่หนิงหวังออกรบมาหลายปีนับเป็นกุนซือที่ชำนาญการศึก บารมีมากล้นเป็นที่หมายปองของสตรี ถึงคล้ายจะมีฐานะต่ำต้อยกว่าอ๋องในยามนี้ แต่ด้วยอำนาจของเขาก็พอทัดหน้าเทียมตาหรืออาจเหนือยิ่งกว่าองค์หญิงจากแคว้นบรรณาการเสียอีก เพราะเป็นเช่นนี้องค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันจึงน่าสงสารยิ่ง นางผู้นี้เป็นสตรีอวบอ้วน ผิวพรรณดำด่างด้วยรอยแผลอันเกิดจากผื่นแพ้ เมื่อเกิดผดผื่นย่อมเกิดการคัน องค์หญิงน้อยไม่อาจห้ามใจตนเอง เมื่อคันก็เกา ยิ่งเกาก็ยิ่งเป็นแผล ไร้ทางรักษา แต่ผู้ใดจะรู้ การที่ฝ่าบาทแคว้นซูอานส่งสาสน์มายังท่านอ๋องแคว้นลู่นั้นก็เป็นเพราะท่านอ๋องขอร้อง ให้ท่านหมอเทวดาอ้ายเสิ่นช่วยรักษาบุตรสาวให้หายจากผื่นแพ้ที่นางเป็นอยู่ แต่การรักษาทราบว่าอาจจะต้องใช้เวลานับปี การที่องค์หญิงผู้สูงศักดิ์จะเข้ามาอยู่ในจวนบุรุษผู้หนึ่งจึงไม่เหมาะไม่ควร ดังนั้นความคิดเรื่องรับบุตรบุญธรรมจึงเกิดขึ้น เมื่อรับบุตรบุญธรรมแล้ว ฝ่าบาทจึงคิดว่าเพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์อันดี ก็ให้แต่งเป็นภรรยาเอกของอ้ายเจิงเสีย อย่างไรวันนี้ก็ต้องปูนบำเหน็จเขาเป็นอ๋อง องค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันก็มิได้น้อยหน้าอย่างไรก็ต้องกลายเป็นชายาอ๋องในสักวัน เรื่องนี้นอกจากฝ่าบาทและท่านอ๋องเอ๋อรั่วบิดาขององค์หญิงที่ทราบแล้วก็มิได้มีผู้ใดล่วงรู้อีก ในขณะที่ได้ยินข่าวมาอีกว่า เมื่อความล่วงรู้ถึงหูของอ้ายเจิง สมรสพระราชทานยังไม่ทันบังเกิดเขาก็สืบค้นหาภาพวาดขององค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันทันที และเมื่อได้เห็นภาพวาดเสมือนนั้นเขาพลันมีโทสะ คนนิยมชมชอบสตรีงดงามเช่นเขา จะมีใจให้ดรุณีน้อยที่อวบอ้วนราวกับแม่หมูได้อย่างไร อย่างไรเขาก็ไม่ยินยอมแต่งนางเป็นอันขาด ฝ่าบาทจึงได้ทรงพิจารณาอีกครั้ง เรื่องหมั้นหมายเอาไว้ก่อนแต่เรื่องให้รับเป็นบุตรบุญธรรม อย่างไรท่านอ้ายเสิ่นหมอเทวดาย่อมต้องทำตามดำรัส ทรงคาดหมายว่า หากได้ใกล้ชิดไม่แน่ว่าอ้ายเจิงอาจจะเปลี่ยนใจ อ้ายเจิงเป็นบุรุษที่เพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่ม ผ่านโลกมาน้อยยิ่ง เรื่องสตรีจึงมองเพียงผิวเผิน สตรีในวัยเด็กแม้จะอวบอ้วนโตขึ้นมาก็กลายเป็นสาวงามมีถมไป มารดาขององค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันนับเป็นสตรีงามล่มเมือง บิดาของนางก็รูปงามองอาจ ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เอ๋อรั่วฉีหลันองค์หญิงน้อยอย่างไรก็ต้องโตมางดงามไม่ผิดเพี้ยน แต่ความคิดนี้ของฝ่าบาทกลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากอ้ายเจิงแม้แต่น้อย เขายังคงยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมแต่งท่าเดียว "ฝ่าบาท ทรงเห็นใจกระหม่อมด้วย องค์หญิงผู้นั้นอายุเพียงสิบสองปีจะแต่งกับเด็กน้อยได้อย่างไร กระหม่อมไม่ได้เป็นผู้นิยมเด็กเช่นนั้นฝ่าบาททรงทำให้กระหม่อมละอายใจเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฝ่าบาททรงแย้ง "เรามิให้เจ้าแต่งตอนนี้ หลังนางพ้นวัยปักปิ่นค่อยเข้าหอยามนี้หมั้นหมายตามธรรมเนียมเอาไว้ เจ้าเองก็อย่าคิดมากไปเช่นนั้น" "ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นองค์หญิงเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น ทรงเห็นใจกระหม่อมเถิดไม่อาจรับนางมาเป็นภรรยาได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง องค์ชายมีมากมายเหตุใดต้องเป็นกระหม่อม" "ก็เจ้าคู่ควรกับนางที่สุด เราคิดดีแล้ว" "แต่ฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่อยากแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ คิดจะอยู่รับใช้พระองค์ไปอีกหลายปี สตรีทำให้วุ่นวายยิ่ง" "เจ้าพูดเช่นนี้คิดว่าเราจะเชื่อหรือ อนุในจวนของเจ้ามากมายยิ่งกว่าสนมของเราอีก" อ้ายเจิงไม่ยอมรับ "ล้วนเป็นข่าวลือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่เลี้ยงดูพวกนางไว้ชั่วคราว เมื่อพวกนางพร้อมที่จะออกจากจวนกระหม่อมไม่เคยขัดข้อง ฝ่าบาท ทรงอย่าเอาสตรีพวกนั้นมาเปรียบเทียบสิพ่ะย่ะค่ะ มันไม่ถูกต้อง" ฝ่าบาททรงถอนพระทัย มองอ้ายเจิงอย่างเหนื่อยหน่าย ทรงรู้ดีว่าเขาคิดอย่างไรจึงเอ่ยว่า "ด้วยเพราะเจ้าเห็นสาวงามมามากมาย เจ้าจึงเห็นองค์หญิงน้อยเป็นน้องสาวที่ไม่งามใช่หรือไม่ เมื่อไม่งดงามย่อมไม่อยากแต่ง อาเจิงเราเห็นเจ้ามาตั้งแต่เด็ก ไม่ต่างจากลู่หนิงหวังและหานเซียว พวกเจ้าทั้งหมดเราล้วนรู้ใจยิ่งนัก อย่ามาหาข้ออ้างกับเรา เอาเถิดยามนี้ไม่อยากแต่งก็ไม่แต่ง ต่อไปภายหน้าหากเจ้าต้องการนางในยามนั้นก็ให้นางเป็นผู้ตัดสินแล้วกัน อย่ามาบังคับให้เราช่วยเป็นอันขาด" อ้ายเจิงคุกเข่าลอบยิ้มอย่างยินดี "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ไม่ทรงฝืนใจกระหม่อม กระหม่อมจะดูแลนางในฐานะน้องสาวอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ" แคว้นลู่ ม้าเร็วส่งข่าวเรื่องหมั้นหมายและการรับบุตรบุญธรรมของท่านหมอเทวดาอ้ายเสิ่นมายังท่านอ๋องผู้ครองแคว้น เรื่องรับบุตรบุญธรรมนั้นหากองค์หญิงทรงพร้อมให้เดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นซูอานได้ทันทีไม่มีกำหนดระยะเวลา ส่วนเรื่องหมั้นหมายทรงเห็นว่าองค์หญิงยังเยาว์นัก หลังพิธีปักปิ่นค่อยเลือกคู่ครองในภายหลัง เรื่องนี้ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด ต่างเล่าลือกันออกไปอย่างเสียหาย องค์หญิงน้อยผู้มีร่างกายประดุจลูกสุกรผู้นี้ ถูกคนแคว้นซูอานปฏิเสธถึงสองครั้งสองคราติดต่อกัน เมื่อเป็นเช่นนี้อาจไม่ได้ออกเรือนไปตลอดชีวิตเป็นแน่ ถึงข่าวจะเล่าลือออกไป แต่องค์หญิงยังทรงพระเยาว์นักย่อมไม่รับรู้ และหากรับรู้ก็ย่อมไม่ใส่ใจ นางกำนัลล้างมือให้องค์หญิงน้อยหลังจากเสวยขนมที่พ่อครัวหลวงเพิ่งส่งมาถวายจนเสร็จ จะว่าไปแล้วองค์หญิงในวัยเดียวกันต่างรักษารูปร่างเพื่อเตรียมการล่วงหน้าในการเป็นหญิงงามที่เพียบพร้อมเพื่อออกเรือนกับผู้สูงศักดิ์ จะมีก็เพียงองค์หญิงฉีหลันผู้นี้ที่ท่านอ๋องทรงรักใคร่นักหนา จะทำสิ่งใดล้วนตามใจนางจนนางมีสภาพเช่นนี้ เสื้อผ้าของนางต้องเปลี่ยนขนาดวัดตัวกันทุกเดือน หลายครั้งที่อาอวิ๋นนางกำนัลส่วนพระองค์ได้ยินคนจากตำหนักตัดเย็บเปรยออกมาว่าองค์หญิงฉีหลันใช้ผ้าในการตัดเย็บเท่ากับองค์หญิงอื่นถึงสามเท่า สามเท่าเชียวนะ น่าอับอายเกินไปแล้ว หลังเสวยเสร็จ องค์หญิงน้อยก็คว้าตำรามาอ่านแล้วนอนกลิ้งอยู่บนเตียงเหมือนหมูน้อยตัวหนึ่ง อาอวิ๋นปีนี้อายุสิบสี่อีกไม่นานก็ปักปิ่นแล้ว แต่นางเป็นนางกำนัลจึงไม่มีพิธีนี้อย่างเป็นทางการนอกจากเจ้านายเหนือหัวจะยินยอมและให้นางกำนัลอาวุโสมาทำพิธีให้อย่างเรียบง่าย แต่หากเจ้านายไม่ใส่ใจแล้วก็ยากที่จะได้เข้าพิธีนี้ หากไม่ได้เข้าพิธีก็เตรียมตัวโสดไปจนตาย ไม่มีทางที่เจ้านายจะหาบุรุษดี ๆ สักคนให้ออกเรือน หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นบ่าวที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่จากนายนั่นเอง "องค์หญิงท่านคิดจะจัดงานปักปิ่นให้บ่าวหรือไม่เจ้าคะ" แน่นอนว่าอาอวิ๋นย่อมต้องปลูกฝังเรื่องนี้ให้กับองค์หญิงน้อยรู้เอาไว้ องค์หญิงน้อยเชื่อฟังอาอวิ๋นอยู่บ้าง แต่ก็ทรงฉลาดมากเช่นกัน "ทำไมหรือ เจ้าอยากมีหรือไม่เล่า หากอยากข้าจะจัดการให้" อาอวิ๋นรีบพยักหน้า การที่ได้รับใช้องค์หญิงผู้มีอำนาจด้วยพระมารดาพระบิดารักใคร่เช่นนี้ดียิ่ง "เพคะ หม่อมฉันอยากมีพิธีปักปิ่นเหมือนคนอื่น" "เอาเถิด ยามนั้นเจ้าเตือนข้าเผื่อข้าลืม" "เพคะ" องค์หญิงน้อยนอนอ่านตำราแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่หลายตลบ จู่ ๆ ก็ทรงตรัสขึ้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม