“เจ็บ”
“ไม่เจ็บสิแปลก” พยายามเข้มแข็งไม่ร้องไห้แต่พอถูกฉีดยาชาเท่านั้นอารมณ์ที่เก็บกลั้นไว้ก็ถูกพังทลายลงเพราะเข็มเล็กๆนั่น
“กวนหมอหรือเปล่าคะ หน้าดูเหมือนเพิ่งตื่น” ยังมีอารมณ์แซวหมอเกรซอีกนิดหน่อย
“ไม่รับได้มั้ยล่ะ”
“อย่าใจร้ายสิคะ มันเป็นอุบัติเหตุนะคะไม่ได้ตั้งใจอยากเจ็บตัวเลยจริงๆ”
“เข้าใจ ระวังตัวไว้บ้างก็ดี เดี๋ยวอีกสักพักก็จะมีไอ้บ้าเข้ามาโวยวายเล่นบทโหดใส่พี่อีก” ไอ้บ้าที่ว่าหมายถึงคุณหิรัญเหรอ เขาจะไปรู้เรื่องอะไรวันๆ เอาแต่ทำงานจะติดต่อก็ต้องผ่านเลขายุ่งยากแบบนั้นปล่อยให้ทำงานไปเถอะ
“เขาไม่มาหรอกค่ะ”
“มีอะไรบ้างที่ไอ้หิรัญไม่รู้” รู้สึกขนลุกเลย
“เราต่างคนต่างอยู่ค่ะ”
“เธอแน่ใจ?” ฉันขมวดคิ้วแล้วมองหน้าหมอเกรซ ทำไมกำกวมจนทำให้ฉันรู้สึกกลัว ประโยคแปลกๆ ของหมอเกรซทำฉันไม่สามารถหาคำตอบให้กับมันได้เลย
“ค่ะ”
“เสร็จแล้ว พี่จะสั่งยาให้นะ” เสียงกรรไกรตัดไหมดัง ฉึบ!
#หิรัญ
“มาอีกแล้วเหรอโยม”
“ครับหลวงพ่อ”
“อืม ตามสบายนะ เจริญพร” ผมยกมือไหว้หลวงพ่อแล้วหันมามองรูปภาพที่ติดอยู่บนกำแพงวัดต่อ รอยยิ้มที่ผมจำได้ไม่ลืมและรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็น
เหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนยังเป็นภาพหลอนติดตาผมไม่หาย น้ำเสียงขอร้องอ้อนวอนดูสิ้นหวังเหมือนกับว่าจะไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไป เด็กสาวตัวเล็กน้ำตานองหน้าอ้อนวอนขอร้องซ้ำๆ ว่าอย่าพรากมารดาที่รักของเธอไป
หมดหวังที่จะได้ชีวิตของรักกลับคืน ฟังดูใจจะขาดแต่นั่นคือสิ่งเลวร้ายที่เธอต้องเจอ
“ผมมาเยี่ยมและยังทำตามสัญญาที่ให้ไว้”
หลายปีก่อน
“ป้าเป็นหนี้พวกมันเท่าไหร่ ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าคิดไปกู้นอกระบบเด็ดขาด” ช่วงที่ผมสานต่อธุรกิจต่อจากครอบครัวแรกๆ ก็ต้องลงพื้นเพื่อเรียนรู้งาน
จนได้เจอคุณป้าท่านหนึ่งเป็นแม่ค้าขายขนมไทยธรรมดาที่ฝีมือไม่ธรรมดา
“สองหมื่น ไม่กู้ก็ไม่ได้มีลูกสาววัยกำลังเรียน ไม่มีลูกไม่รู้หรอก” ผมเข้าใจแต่นอกระบบดอกเบี้ยมันธรรมดาที่ไหน
“กู้ผมมั้ย”
“เนี่ยแล้วก็บอกไม่ให้กู้นอกระบบ”
“ผมไม่คิดดอกหรอกจริงๆ ทำขนมอร่อยๆ มาขายทุกวันก็พอ” ผมนับถือใจแม่เลี้ยงเดี่ยวคนนี้มาก จากลูกค้าประจำกลายเป็นคนรู้จักเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น
“ธุรกิจมันก็ต้องหวังผลกำไร จะไม่คิดดอกได้ยังไง”
“ผมอยากช่วย”
ป้านิ่มรับเงินจากผมเพื่อไปใช้หนี้นอกระบบ ส่งต้นและดอกตามที่ป้าไหวจนครบทุกบาททุกสตางค์
ผมยังเป็นลูกค้าประจำของป้านิ่ม จนกระทั่งคืนหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น
ปัง!
“นายครับ ถึงแล้วครับ” ผมหันหน้ามองตึกสูงด้านข้างแล้วใช้มือกระชับสูทที่ใส่ให้เข้าที่ก่อนจะก้าวขาลงจากรถ
“สวัสดีค่ะคุณหิรัญ”
“เรียบร้อยดีใช่มั้ย”
“เย็บแผลเสร็จแล้วเรียบร้อยค่ะ ตอนนี้คุยกับหมอเกรซอยู่ในห้องค่ะ” ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย ชวนคุยช่วยถ่วงเวลาเก่งเหมือนกันนี่ ระหว่างที่เดินตามแผนกต้อนรับ สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทของยัยตัวแสบพอดี ทั้งคู่ยกมือไหว้แล้วก้มหน้ารู้สึกผิด ผมไม่ได้สนใจเพราะไม่ได้ตั้งใจมาเอาผิดใคร
พอประตูเปิดคนแรกที่หันมามองก็คือเธอ ส่วนไอ้หมอก็รู้งานรีบปลีกตัวออกไปอย่างเงียบๆทันที
“มาได้ยังไงคะ”
“หันข้าง เร็ว! “เธอเงอะงะเหมือนกำลังตกใจหันผิดหันถูกจนผมต้องเข้าไปจับแขนแล้วหมุนตัวเธอเองเพื่อมองแผลที่เพิ่งถูกเย็บ
“ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
“อยู่นิ่งๆ แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไร” เธอยืนตัวแข็งทำตามที่ผมสั่ง ดีแค่ไหนที่สมองไม่กระทบกระเทือน ยิ่งพูดไม่รู้เรื่องอยู่ด้วย
“เหม็น กลิ่นบุหรี่” ผมถอยห่างลืมไปว่าสูบบุหรี่มา
“เรื่องมันเป็นยังไง”
“แค่อุบัติเหตุค่ะ เขาคงไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ให้แก้ตัวแทนคนทำ”
“ขอถามก่อนได้มั้ยคะ”
“อืม”
“มาได้ยังไงคะ พี่หมอเกรซโทรบอกหรือว่า”
“อยากให้มาหรือไม่อยาก” บางครั้งผมก็รำคาญคำถามเซ้าซี้พวกนี้ มันเสียเวลาแล้วก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด
“ไม่อยากค่ะ”
“ทำไม”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ แค่ไม่อยากรบกวน” หัวแตกแผลยาวขนาดนี้คิดจะเก็บไว้เจ็บคนเดียวหรือไง หรือว่าศักดิ์ศรีมันค้ำคอ น่าโมโหจริงๆ
“จะเล่าได้หรือยัง” ผมดึงเก้าอี้ไอ้หมอมานั่งพร้อมกับไขว่ห้างรอยัยเด็กนี่เรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“เหตุเกิดจากเข้าไปดูคอนเสิร์ตค่ะ คนเยอะและเกิดการปาข้าวของรวมถึงขวดแก้วที่โดนหัวฉันด้วย” นั่นมันสถานศึกษาหรือว่าลานสงครามถึงต้องขว้างปาของใส่กันด้วย
“รู้ตัวคนทำมั้ย”
“อย่าไปเอาเรื่องเขาเลยนะคะ”
“ตอบให้ตรงคำถาม ทำไมชอบปกป้องคนแบบนี้ ฉันไม่เข้าใจ” แม่เธอไม่ได้สอนให้เข้มแข็งและต่อสู้กับคนที่ชอบเอาเปรียบหรือไง ยัยเด็กโง่
“ไม่ได้ปกป้องค่ะ แค่ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”
“กลัวอะไร ไม่มีอะไรใหญ่ไปกว่าฉันอีกแล้ว” เธอดูตื่นกลัวเมื่อผมพูดจบ ผมสั่งให้ลูกน้องไปหาภาพก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุมาให้ครบทุกมุมเพื่อหาตัวผิดมารับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากสอบปากคำคนเจ็บเสร็จผมก็พาเธอกลับบ้าน เดินจะถึงประตูก็บังเอิญเจอคนรู้จัก
“สวัสดีค่ะหิรัญ มาทำอะไรที่โรงพยาบาลคะ”