“ร้อนรัก... พ่อเลี้ยงไร่ส้ม”
เขาไม่ตบ... แต่เน้นจูบ พ่อเลี้ยงจิตใจโหดหินคนนี้กระทำย่ำยีกับเธอสารพัดโดยที่ไม่เคยบอก ‘รัก’ สักคำ
ในฐานะ ‘นางบำเรอ’ ของเขา แม้หญิงสาวยอมรับว่ารู้สึกเจ็บปวดและน้อยใจกับฐานะที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ บำเรอสวาทให้เขา ทว่าพ่อเลี้ยงผู้ดิบเถื่อนคนนี้ก็ ‘มีดี’ จนทำให้เธอหลงใหล ยอมเป็นทาสสวาทของเขา ยิ่งนานวันสาวน้อยก็ยิ่งค้นพบว่าเธอขาดเขาไม่ได้ แม้ผู้ชายคนนนี้จะร้ายเหลือทน... แต่เธอก็รักเขาเหลือเกิน
“ร้อนรัก... พ่อเลี้ยงไร่ส้ม”
***** ภายในบ้านหลังใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางไร่ส้มบนเนื้อที่หลายพันไร่ในจังหวัดเชียงใหม่
“เขตต์... แกพอจะมีเวลาสักครู่ไหม พ่อมีคนจะแนะนำให้แกรู้จัก”
นาย ‘บัญชา’ ผู้เป็นประมุขใหญ่ของบ้านรีบตะโกนถาม ‘เขตต์ตะวัน’ ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว เมื่อเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่เกินกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรทำท่าว่ากำลังจะก้าวออกไปนอกบ้าน
เขตต์ตะวันเป็นหนุ่มใหญ่วัยสามสิบเจ็ดปี ใบหน้าหล่อเหลาคมคร้าม ผิวสีทองแดงคร้ามแดดสมชายชาตรี เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญที่รับผิดชอบดูแลการงานทุกๆ อย่างภายในไร่ส้มแทนนายบัญชาผู้เป็นบิดามานานหลายปี รวมทั้งฟาร์มโคนมที่กำลังเริ่มลงทุนสร้างเอาไว้ในจังหวัดเชียงราย
คนงานในไร่พากันเรียกชื่อของเขตต์ตะวันสั้นๆ ด้วยความเคยชินว่า ‘พ่อเลี้ยงเขตต์’
“ใครครับพ่อ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น หันมาถามถึงแขกคนสำคัญของบิดาด้วยแววตาสงสัย
นายบัญชายังไม่ได้ตอบคำถามของลูกชาย แต่รีบเดินนำเข้าไปในห้องรับแขกโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขตต์ตะวันก้าวตามหลังมาติดๆ
“นี่คุณวิไล”
นายบัญชาแนะนำหญิงวัยกลางคน เขตต์ตะวันจ้องมองใบหน้าสะสวยของสตรีผู้ซึ่งบิดาอยากแนะนำให้รู้จักด้วยสายตาเพ่งพินิจพิจารณา
วิไลเป็นผู้หญิงสวย ผิวพรรณขาวปลั่งเกลี้ยงเกลาเพราะเป็นคนเหนือ เขตต์ตะวันเดาว่าอายุของหล่อนคงรุ่นราวคราวเดียวกับเขา
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขตต์ตะวันกำลังให้ความสนใจมากกว่าวิไลก็คือสาวน้อยผู้มีใบหญ้าสะสวยสะดุดตา ผิวพรรณของเธอขาวสะอ้านและเปล่งปลั่งไปด้วยเลือดเนื้อของวัยสาวสะพรั่ง นั่งอยู่ข้างๆ สตรีผู้ถูกแนะนำเป็นคนแรก ซึ่งเขาเดาว่าน่าจะเป็นมารดาของเธออย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันเหลือเกิน
“จากวันนี้ไปคุณวิไลจะมาอยู่กับพ่อ”
นายบัญชาบอกไม่อ้อม
“อ๋อ... เมียใหม่พ่อน่ะเอง... นึกว่าคนสำคัญที่ไหน แล้วนี่คงเป็นลูกติดสินะ... ถ้าผมเดาไม่ผิดนะ... ”
เขตต์ตะวันเอ่ยออกมาตรงๆ สายตาซึ่งอ่านอารมณ์ไม่ออกชำเลืองมองใบหน้าสะสวยของสาวน้อยที่นั่งเคียงข้างอยู่กับนางวิไลด้วยความลืมตัว
“เอ่อ... จะว่าอย่างนั้นก็ได้... เอาตรงๆ เลยละกัน คุณวิไลจะมาอยู่กับพ่อในฐานะเมียของพ่อ... ”
ตอนแรกนายบัญชาสะดุ้งเล็กน้อยกับคำพูดแบบขวานผ่าซากของเขตต์ตะวันซึ่งฟังดูไม่ให้เกียรติเมียใหม่ของตนเลยสักนิด แต่ปกติใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าเขตต์ตะวันเป็นแบบนี้ เขาโผงผาง เสียงดัง ดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองจนติดเป็นนิสัย ซึ่งนายบัญชารู้ดีว่าต้นเหตุก็มาจากตัวเขาเองที่ตามใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้มาโดยตลอด เพราะเห็นว่าเป็นลูกชายคนเดียว ซ้ำยังเป็นเด็กกำพร้ามารดามาตั้งแต่เล็กๆ ด้วยภรรยาของนายบัญชาเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่เขตต์ตะวันยังเดินเตาะแตะ
“ก็โอเคนะครับ... อะไรก็ตามที่เป็นความต้องการของพ่อผมก็คงขัดข้องไม่ได้... และไม่กล้าขัด พ่ออยากทำอะไรก็ทำเถอะ เอาที่สบายใจก็แล้วกัน เอาเป็นว่าผมยินดีต้อนรับมาเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับทั้งแม่ทั้งลูก”
ดูเหมือนว่าเขตต์ตะวันไม่ขัดข้องก็จริง หากแต่คนที่ได้ยินเขาพูดก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามีอาการประชดประชันเหน็บแนมอยู่ในน้ำเสียงเยียบเย็น ฟังดูก็พอจะรู้ว่าเขาไม่ได้เอ่ยออกมาจากไมตรีจิตอันแท้จริงเลยสักนิด
“แล้วนี่หนูฟางข้าวลูกสาวคุณวิไล”
นายบัญชาแนะนำสาวน้อยที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เมียใหม่
“สวัสดีค่ะคุณเขตต์”
คนถูกแนะนำยกมือไหว้นอบน้อม หญิงสาวนึกชื่นชมเขตต์ตะวันอยู่ในใจว่าเขาช่างหล่อเหลา เพียงแรกพบสบตาก็ทำเอาหัวใจของเธอกระตุกวูบ ผู้ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่สมชายชาตรี ใบหน้าคมคร้าม น่าแปลกที่ท่าทางหยิ่งผยองของเขากลับทำให้ดูมีเสน่ห์เหลือหลาย
“เรียกพี่เขตต์ก็ได้จ้ะหนูฟาง... หรือจะเรียกพ่อเลี้ยงเหมือนคนอื่นๆ ก็ได้นะ”
นายบัญชารีบบอกกับหญิงสาว
“ค่ะ... งั้นหนูเรียกพ่อเลี้ยงเขตต์ดีไหมคะ จะได้เหมือนกับคนอื่นๆ”
ฟางข้าวส่งยิ้มหวานให้เขตต์ตะวัน แอบชำเลืองมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาแล้วเอ่ยถามเจ้าตัวเป็นเชิงขอความเห็น
“จะเรียกยังไงก็ได้ เอาที่สบายใจก็แล้วกันนะ”
เขตต์ตะวันไหวไหล่ด้วยความเคยชิน
“ค่ะ... พ่อเลี้ยง”
ฟางข้าวตอบยิ้มๆ แอบมองหน้าเขตต์ตะวันแบบกลัวๆ ด้วยรูปร่างของเขาสูงใหญ่มาก อีกทั้งแววตาก็ยังมีประกายดุกร้าว หนวดเครารกครึ้มเต็มใบหน้ายิ่งทำให้เขาแลดูดุขึ้นไปอีก
“ถ้าหมดธุระสำคัญของป๋าแล้วเห็นทีว่าผมคงต้องขอตัวนะครับ”
เขตต์ตะวันพยายามจะบอกให้รู้ว่าเขามีงานอื่นซึ่งสำคัญกว่ารออยู่
“อ้าว... จะรีบไปไหนวะ ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลยนี่นา นั่งคุยกันก่อนสิ”
นายบัญชาทำหน้าสงสัย
“ผมไม่อยากเสียเวลาครับ มีงานในไร่รออยู่”
บอกเพียงเท่านั้นเขตต์ตะวันก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ อึดใจต่อมาก็ขับรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อสีส้มคันใหญ่ออกมาจากลานหญ้าหน้าบ้าน ตรงไปยังทางดินเล็กๆ ที่มุ่งไปสู่ไร่ส้ม ท่ามกลางประกายแสงแดดสีทองของยามสายโรยตัวอยู่เหนือไร่ส้มเขียวขจี
ฟางข้าวมองตามร่างสูงใหญ่ของเขตต์ตะวันตาละห้อย รู้สึกน้อยใจที่ได้ยินเขาบอกว่าไม่อยากเสียเวลาอยู่คุยกับเธอ
“คุณวิไลอย่าถือสาเจ้าเขตต์ตะวันลูกชายผมเลยนะครับ ที่มันพูดเหมือนไม่ให้เกียรติคุณกับลูกสาว... เจ้าเขตต์มันก็เป็นแบบนี้”
นายบัญชาเอ่ยกับสองแม่ลูกซึ่งเขารู้ว่าคงต้องใช้เวลาสักพัก กว่าจะเคยชินกับนิสัยของพ่อเลี้ยงเขตต์ตะวันคนนี้
“ไม่เป็นไรค่ะ... ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณเขตต์ดีค่ะ เขาคงรู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงสองคนเข้ามาเป็นส่วนเกินอยู่ร่วมบ้าน”
วิไลเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจียมเนื้อเจียมตัว
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับวิไล ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นส่วนเกิน... เพราะว่าคุณคือ ‘ส่วนสำคัญ’ ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มสิ่งที่ ‘ขาดหาย’ ไปจากชีวิตของผม”
นายบัญชาหยอดคารมหวานเอาใจ เอื้อมไปกุมมือบอบบางของนางวิไลแล้วบีบเบาๆ
“ขอบคุณที่เมตตาเอ็นดูวิไลกับลูกสาวค่ะ”
วิไลขยับเข้าใกล้พลางยกมือไหว้แนบอกของนายบัญชาที่เอื้อมแขนออกมาโอบกอดหล่อนด้วยความรัก