บทที่ 2/1

997 คำ
สี่ปีก่อน เพียงวันเดียวเด็กสาววัยสิบแปดที่พึ่งได้ทราบผลสอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีว่าตนผ่านการคัดเลือก ก็ได้รู้อีกข่าวจากผู้เป็นน้าว่าบ้านที่พ่อแม่สร้างจากน้ำพักน้ำแรง บ้านที่เป็นมรดกอย่างเดียวที่พวกท่านทิ้งไว้ให้ กำลังจะมีเจ้าของคนใหม่เนื่องจากถูกขายทอดตลาด และมีนายทุนมาประมูลไปเรียบร้อย เธอมีเวลาอีกแค่หนึ่งอาทิตย์ที่จะเก็บข้าวของย้ายออก "แกรีบย้ายของมาไว้ที่บ้านน้าก่อนที่เจ้าของคนใหม่เขาจะมาว่าเอา" โลกทั้งใบคล้ายว่าถล่มลงมาตรงหน้า เมื่อบ้านที่อยู่ว่าตั้งแต่จำความได้ บ้านที่พ่อแม่แลกหยาดเหงื่อแรงกายเพื่อให้ครอบครัวเราได้มีที่อยู่อาศัย กำลังจะกลายเป็นของใครก็ไม่รู้ นี่มันอะไรกัน มัทนาล้มทั้งยืน.. "หมายความว่ายังไงกันน้าน้ำ" ทั้งที่ผู้เป็นน้ารับปากแล้วว่าจะนำเงินหนึ่งล้านที่คู่กรณีมอบให้ไปชำระหนี้คงค้างกับธนาคารผู้รับจำนองบ้านพร้อมที่ดินที่พ่อเธอไปจำนองไว้ "ทำไมบ้านหนูจะถูกยึด ไหนน้าบอกว่าไปปลดจำนองมาแล้วไง" เพราะอรทัยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่างให้ มัทนากับอรทัยจึงไปขออนุญาตจากศาลเพราะมัทนายังเป็นผู้เยาว์ และอรทัยซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล "ก็ไปไถ่ถอนมาแล้ว แกก็เห็น" "แล้วทำไมธนาคารถึงจะมายึด" ถ้าไถ่ถอนจำนองออกมาจริง มีหรือเจ้าหนี้จะประกาศขายทอดตลาดได้ อรทัยมองหลานที่ยืนค้ำหัวน้าอย่างเธออยู่ แต่เพียงครู่ก็เสมองไปทางอื่น นางไม่ได้สะทกสะท้านต่อความโกรธที่หลานสาวมีสักนิด "ก็ฉันเอาเข้าจำนองใหม่ หาเงินมาให้แกเรียนแกกินนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะเอาเงินที่ไหนมาดูแลแกล่ะผักกาด ทั้งค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน ไหนจะค่าใช้จ่ายจิปาถะอีก" คำตอบที่อรทัยบอกออกมา พานพาให้ร่างน้อยสั่นไปทั้งสรรพางค์ น้ากล้าพูดออกมาได้ยังไงว่าเอาบ้านเข้าจำนองเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูหลานสาว เงินตั้งหนึ่งล้านที่คู่กรณีของพ่อแม่เธอมอบให้ ใช้ไถ่ถอนบ้านแค่ไม่กี่บาท เหลืออีกตั้งกี่แสน ไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลขหรอก แค่บวกลบคูณหารในใจก็รู้ได้ว่าเงินที่เธอใช้จ่ายไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของหนึ่งล้านบาทด้วยซ้ำ ไม่ได้ติดใจเลยสักนิดหากอรทัยแบ่งเงินไปใช้ในเรื่องที่มีประโยชน์หรือจำเป็น แต่นี่อะไร.. เงินมากมายถูกนำไปจับจ่ายกับเรื่องไร้สาระ ที่สำคัญน้าไม่เคยขออนุญาตเธอเลย ซึ่งมันไม่ต่างกับการโกงซึ่งๆ หน้า โกงได้แม้กระทั่งหลานสาว ไม่ละอายใจบ้างหรืออย่างไรกัน! "ตอนแม่ยังอยู่ น้ามาขอให้แม่ช่วยอะไร แม่เคยปฏิเสธน้าไหม ทำไมน้าถึงได้กล้าเอาบ้านที่แม่ทิ้งไว้ให้ลูกสาวคนเดียวไปทำอย่างนั้น น้ายังเหลือความเป็นคนอยู่หรือเปล่า" มือน้อยกำเข้าหากันแน่น น้ำตาเด็กสาวไหลออกมาเป็นทาง ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ โกรธที่ถูกน้องสาวแม่หักหลัง แต่ที่เธอโกรธมากกว่าคือตัวเองที่หลงไว้ใจคนผิด "แม่แกตายไปแล้ว จะมาลำเลิกบุญคุณอะไรกันนักหนา เรื่องที่แม่แกเคยช่วยฉันไว้ ฉันก็ตอบแทนโดยการดูแลแกนี่ไง สามปีที่ผ่านมา ฉันเคยให้แกอดไหม เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ ลูกสาวฉันได้อะไร ฉันก็ซื้อให้แกทุกอย่าง" "ทุกอย่างที่น้าซื้อให้หนูกับลูกน้า มันก็เงินหนูทั้งนั้นนั่นแหละ ถ้าจะพูดให้ถูก น้ากับลูกมาเบียดเบียนเอาเงินหนูไปใช้โดยที่หนูไม่ได้เต็มใจให้ ไม่สิ หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้าเอาเงินหนูไป" น้ามีเงินจับจ่ายขึ้นมาราวกับเป็นเศรษฐินีหลังพ่อแม่เธอตาย ทั้งที่ไม่มีรายได้อะไร ค่าใช้จ่ายที่ผ่านมาก็อาศัยเงินจากอดีตสามีที่ส่งมาให้เป็นค่าเลี้ยงดูลูกสาวเพียงเดือนละไม่กี่พัน ทว่าหลังพี่สาวพี่เขยเสียชีวิต อรทัยใช้เงินเป็นกระดาษ ควักกระเป๋าออกมาเปิดทีมีแต่แบงก์พัน ก็แน่ล่ะ! ได้มาตั้งเป็นล้าน จะไม่ให้มีเงินมีทองซื้อของเป็นว่าเล่นได้ยังไง "ยายผักกาด! นี่แกหาว่าฉันขโมยเงินแกเหรอ" หญิงวัยกลางคนโกรธจนอยากฟาดฝ่ามือลงที่แก้มหลานสาว "ฉันอุตส่าห์เลี้ยงดูแกมาอย่างดี แกนี่มันเนรคุณจริงๆ ไปเลยนะ จะไปไหนก็ไป อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าแกอีก" "แล้วบ้านหนูล่ะ น้าจะทำยังไง" เรื่องเงินหนึ่งล้านที่คาดว่าอรทัยคงถลุงจนหมด เธอไม่ได้คิดจะถามหา แต่เรื่องบ้านอย่างไรน้าก็ต้องรับผิดชอบ "ถ้าแกอยากได้บ้านคืน แกก็เอาเงินไปซื้อกับนายทุนที่เขามาประมูลไปสิ เห็นว่าเขาจะรีโนเวตขาย" น้ำเสียงอรทัยไม่เพียงไร้ซึ่งความรู้สึกผิด ทว่ายังเยาะหยันอยู่ในที "มีปัญญาไหมล่ะ" บ้านซึ่งเป็นสมบัติแค่ชิ้นเดียวของมัทนาตั้งอยู่ในทำเลทอง หลายครั้งที่มีคนมาติดต่อขอซื้อในราคาหลายล้านบาท แต่เด็กสาวยืนยันว่าอย่างไรก็ไม่ขาย เธอตั้งใจไว้ว่าถ้าเรียนจบแล้วอย่างไรก็จะกลับมาอยู่บ้านที่มาจากน้ำพักน้ำแรงพ่อแม่ บ้านที่เต็มไปด้วยภาพจำ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม