“จะซื้อมาทำไมเยอะแยะล่ะลูก เปลืองสตุ้งเปลืองสตางค์ ไหนจะต้องส่งกลับมาให้พ่อไปหาหมอ เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านอีก เดือนๆ นึงจะเหลือสักเท่าไรกันเชียว เก็บเงินไว้ซื้อข้าว ซื้อขนมที่ลูกชอบกินบ้างดีกว่า ดูสิ ผอมจนจะเหลือแต่กระดูกอยู่แล้วลูกพ่อ”
จินดาหลาส่งยิ้มสดใสให้บิดา ถึงท่านจะไม่กล้ามีปากเสียงกับเมียคนปัจจุบันนัก แต่เธอก็รู้ว่าท่านรักเธอจริงๆ เธอยังโชคดีกว่าอีกหลายครอบครัวมาก ที่พอพ่อหรือแม่มีครอบใหม่แล้วจะลืมลูก
“ของพ่อก็มีนะจ๊ะ” หญิงสาวหยิบของอีกชิ้นที่ห่อม้วนอย่างดีกันแตกออกมาจากกระเป๋า “แว่นขยายส่องพระจ้ะ จ๋ารู้ว่าพ่อชอบดูพระ”
แม้จะเป็นของเพียงเล็กน้อย ราคาค่างวดไม่ได้แพงอะไร แต่เธอซื้อของโดยคำนึงถึงความชอบของคนได้รับเป็นหลัก ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของพ่อ เธอก็รู้แล้วว่าตนเองเลือกไม่ผิด
จิตราแอบเบะปากด้วยความหมั่นไส้
“จริงอย่างที่พ่อแกว่า สู้เก็บเงินมาไว้ให้พ่อแกรักษาตัวให้หายซะทีดีกว่า ฉันจะได้ไม่ต้องตรากตรำทำงานหนักอยู่คนเดียว ทั้งงานนอกงานใน ทำงานจนตัวจะเป็นเกลียวหัวจะเป็นน็อตอยู่แล้วแกรู้บ้างมั้ย”
หญิงสาวควานมือลงไปที่ก้นของกระเป๋าเป้แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา เปิดมัน และหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งพันบาทห้าใบยื่นส่งให้น้าสาว
“นี่จ้ะน้า จ๋าเตรียมเอาไว้ให้แล้ว”
“ตายแล้ว หลานน้านี่ช่างประเสริฐจริงลูก”
จิตราตาพราวยิ่งกว่าเห็นของฝากเสียอีก จะทำไมน่ะรึ... ? ก็เพราะว่าค่าใช้จ่ายของเดือนนี้ลูกเลี้ยงสาวโอนมาให้ตั้งแต่ต้นเดือนแล้วน่ะสิ ดังนั้นเงินก้อนนี้ก็เหมือนได้เปล่า ซึ่งเธอจะเอาไปใช้อะไรก็ได้ และแน่นอนว่าคงไม่ใช่สำหรับค่ายาของพ่อจินดาหลาอย่างที่กล่าวอ้างแต่แรก
“มาเหนื่อยๆ นั่งรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวน้าไปเจียวไข่โปะข้าวมาให้”
ว่าแล้วจิตราก็แทบจะวิ่งปร๋อเข้าไปในบ้านปูนชั้นเดียวขนาดกะทัดรัดกลางเก่ากลางใหม่ หนึ่งห้องน้ำในตัวบ้านและหนึ่งห้องน้ำขนาดเล็กนอกตัวบ้าน สองห้องนอนและหนึ่งห้องกลางสำหรับวางโต๊ะกับเก้าอี้ไม้รับแขกที่แทบไม่เคยมีแขกมา กับโต๊ะวางทีวีอีกตัวก็แทบเต็มพื้นที่แล้ว ส่วนครัวนั้นขยายเป็นเพิงออกไปทางหลังบ้าน
“อย่าไปถือสาน้าจิตเขาเลยนะลูก พ่อช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยนอกจากเป็นภาระ ไม่แปลกหรอกถ้าเขาจะหงุดหงิดบ้าง”
สีหน้าของพ่อดูเศร้าจนเธอต้องปลอบ
“โถ่พ่อจ๋า จ๋าจะไปเคืองน้าจิตเขาได้ยังไงล่ะจ๊ะ จ๋าโตมาได้ก็เพราะได้น้าจิตเลี้ยงดู แถมเขายังดูแลพ่อของจ๋ามาตั้งหลายปี”
“ดีแล้วล่ะลูก เป็นคนถ้ารู้จักกตัญญูรู้คุณคน ไม่มีวันตกอับหรอก”
“จ้ะพ่อ”
“มานี่เลยยายจ๋า ไหนลองตัวนี้ดูสิ แต่น้าว่าไม่เหมาะ เอาตัวสีฟ้าดีกว่า ขับผิวแกดี”
จินดาหลาทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ตรงปลายเตียงในห้องนอนขนาดเล็กของตน ไม่รู้วันนี้เป็นอะไร หรือจะมีใครมากันแน่ น้าจิตราถึงได้เจ้ากี้เจ้าการมาช่วยเธอแต่งตัวเลือกเสื้อผ้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี
... ซึ่งถ้าเป็นวันปกติน่ะรึ ได้มีแหกปากเรียกเธอเข้าไปช่วยเตรียมของทำกับข้าวในครัวนู่นแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าคะน้าจิต หรือว่าใครจะมาบ้านเรา”
จิตรายิ้มอย่างคนที่วางแผนมาดี “เดี๋ยวแกก็รู้”
... ใช่ แล้วเธอก็ได้รู้จริงๆ เพราะสายๆ ของวันนั้นมีคนที่แต่งตัวค่อนข้างดีมาที่บ้านเธอถึง 3 คน จินดาหลาเพิ่งสังเกตเอาตอนนี้เองว่าบ้านช่องดูเป็นระเบียบขึ้นมาก ข้าวของถูกจัดวางให้น่าดูไม่มีของระเกะระกะวางไว้อย่างเคย แถมยังมีแจกันที่ปักดอกไม้ในสวนสองสามแจกันวางอยู่รายรอบด้วย
จินดาหลายกมือไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่าทั้ง 3 ที่บอกว่าพวกเขาแต่งตัวดีก็ถือว่าไม่ได้พูดเกินจริงนัก แม้ดูดีของคนต่างจังหวัดกับคนในเมืองจะไม่เหมือนกันก็ตาม อย่างแถวบ้านเธอนี่ถ้าหยิบผ้าไหม ผ้าถุงลายงามๆ จัดแต่งทรงผมอย่างดีพร้อมฉีดสเปรย์ไว้ให้เข้าทรงอย่างที่เห็น คงต้องมีงานบุญอะไรสักอย่างเป็นแน่
“ไหว้พระเถอะจ้ะหลาน หนูจำป้าได้มั้ยลูก”
พอผู้ใหญ่ถามอย่างนั้น จินดาหลาเลยต้องเพ่งพินิจคนตรงหน้าให้ถี่ถ้วนอีกสักหน่อย แล้วก็เห็นว่าท่านหน้าคุ้นจริงๆ
“ป้าเรียม ที่เป็นเพื่อนแม่จันทร์ใช่หรือเปล่าคะ” เพราะน้ำเสียงของเธอดูตื่นเต้น และท่านเองก็ยิ้มรับจนแทบจะเข้ามาสวมกอดเธอด้วยซ้ำ ทำให้จินดาหลายิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ได้เจอเพื่อนสนิทของแม่ ก็เหมือนว่าแม่ยังอยู่ใกล้ๆ เธอ
เธอนึกออกแล้ว... ป้าเรียมกับลุงชาติย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอเมืองตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน และมันก็นานมากจนเธอแทบลืมพวกเขาไปจากชีวิตแล้วด้วยซ้ำ
“จำแม่พี่ได้ แล้วจำพี่ได้หรือเปล่าเรา” ชายหนุ่มที่มากับพ่อแม่ด้วยสัพยอกน้องน้อยในวันวานอย่างอารมณ์ดี
จินดาหลามองชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ผิวเข้ม หน้าเข้มแล้วส่งยิ้มหวานจ๋อยให้ ใครจะไปลืมพี่ ‘ลูกตาล’ ได้ลงคอ
“พี่ลูกตาล”
ชายหนุ่มชื่อหวานนามลูกตาลหรือ ‘พิชวี’ เกาท้ายทอยแก้อาการขัดเขิน เพราะไม่มีใครเรียกเขาด้วยชื่อนี้มานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว
“อันที่จริงพี่เปลี่ยนชื่อเป็น พิช แล้วละน้องจ๋า แต่ถ้าน้องสะดวกแบบนี้พี่ก็ไม่ว่า”
“ค่ะ จ๋าสะดวกแบบนี้” จินดาหลายิ้มระรื่น แสนจะมีความสุขที่ได้เจอเพื่อนเก่า พิชวีแก่กว่าเธอหลายปี แต่เพราะแม่ของเราเป็นเพื่อนรักที่ไปมาหาสู่กันประจำ บ้านเก่าของป้าเรียมกับลุงชาติก็อยู่ห่างจากบ้านของเธอแค่ไม่กี่รั้วกั้นเท่านั้น แถมเธอกับพิชวียังเรียนโรงเรียนเดียวกันอีก จึงได้สนิทสนมกับเขาที่สุดแล้ว
จินดาหลาคงไม่รู้ว่ารอยยิ้มบวกกับอาการตื่นเต้นอย่างมากมายที่แสดงออก และความสนิทสนมของตนกับพิชวีทำให้เหล่าผู้ใหญ่ลอบยิ้มให้กันอย่างสมใจ
“หนูรู้มั้ยว่าวันนี้ลุงกับป้ามาทำไม” จินดาหลาส่ายหน้า เขาเลยเริ่มเกริ่นความตั้งใจอย่างใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป “ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วนะลูก”
“ยี่สิบห้าแล้วครับพี่ชาติ ปีนี้เบญจเพสพอดี” วิชาญชัยเป็นคนตอบแทนลูกสาว
“อืมๆ” เขาหันไปพยักหน้าให้เมีย “หนูจ๋ายี่สิบห้า เจ้าลูกตาลของเรายี่สิบแปด วัยกำลังดีถึงเวลาสร้างครอบครัวนะแม่มึง”
เมื่อเดือนก่อนเขากับเมียได้รับการติดต่อจากจิตราน้องสาวเพื่อนสนิทของของเมียเขาที่ชื่อจันทรา เห็นว่าอยากให้หลานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีเพราะโตมากแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอใคร เขาก็เห็นว่าดีเพราะพิชวีลูกชายเขาก็ยังเป็นหนุ่มโสด แต่เรื่องแต่งงานเขากับเมียไม่คิดจะฝืนใจลูกอยู่แล้ว จึงได้ปรึกษากันก่อน และพอถามเจ้าลูกชายก็ต้องแปลกที่เจ้านี่ไม่ปฏิเสธสักคำ แถมยังบอกแล้วแต่พวกเขาจะจัดการให้
จินดาหลาฟังแล้วก็พอปะติดปะต่อเรื่องได้ ยิ่งเห็นพี่ลูกตาลบิดซ้ายบิดขวาขยับตัวหยุกหยิกอยู่ไม่เป็นสุขก็ยิ่งเข้าเค้า
“หนูจ๋าลูก หนูรังเกียจมั้ยถ้าป้าจะรับหนูมาเป็นลูกสาวของป้าอีกคน”
“ดีใจสิคะป้าเรียม” เธอตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด
ป้าเรียมกับลุงชาติใจดี และการมีพี่ชายที่น่ารักอย่างพี่ลูกตาลก็เป็นสิ่งที่คนอาภัพอย่างเธอไม่กล้าใฝ่ฝันถึง ยิ่งตอนนี้ร้านค้าอุปกรณ์การเกษตรเล็กๆ ในตัวเมืองของครอบครัวนี้ยังทำให้พวกท่านมีฐานะร่ำรวยขึ้นมาจากแต่ก่อนราวหน้ามือเป็นหลังมือ หากได้เป็นลูกของพวกท่านคงสุขสบายอย่างที่สุด... แต่เพราะรู้ว่าสิ่งที่พวกท่านต้องการ มิใช่การรับเธอไปเป็นลูกอย่างที่พูด แต่มีนัยยะอื่นแอบแฝงนั่นคือการขอเธอไปเป็นลูกสะใภ้นั่นเอง