ช่างเป็นยักษ์ที่ขี้หงุดหงิดอะไรปานนี้...

1856 คำ
เป็นผู้ใดก็ย่อมต้องหวาดกลัวอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีใครเข้ามาร่วมอาบน้ำด้วยโดยไม่ได้เชื้อเชิญอย่างนั้นน่ะ ไม่ตกใจสิเป็นเรื่องแปลก ส่วนน้องยักษ์ที่ไอศูรย์พูดถึงนั้น คงจะเป็นเหล่านางยักษ์ที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการอันเป็นธิดาจากแคว้นน้อยใหญ่ใต้อาณัติของปรมะนครกระมัง การิตเองก็ไม่ใคร่ถามหรอกว่าน้องยักษ์นั้นหมายถึงนางยักษีตนใด นอกจากจะพ่นลมหายใจออกมา “องค์ไอศูรย์พ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมเป็นยักษ์ตนนั้น กระหม่อมก็กลัวการกระทำของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” ไอศูรย์เลิกคิ้วสูงทันควัน “แต่ข้ามีรูปโฉมงดงาม ผู้ใดก็ปรารถนาจะสมสู่ ไยจะต้องกลัวกัน” รูปลักษณ์งดงามก็จริง แต่ต้องไม่ใช่จู่ๆ ก็แก้ผ้าโทงๆ ไปบุกตำหนักของผู้อื่นเช่นนั้น! การิตสูดลมหายใจเข้าปอดแทนแล้ว เขาพยายามระงับอารมณ์และทำความเข้าใจว่าจอมทัพอสุราผู้นี้ แม้ว่าจะเก่งฉกาจและไหวพริบดีปัญญาเลิศในสมรภูมิเพียงใด ทว่าเขากลับอ่อนด้อยประสบการณ์ทั้งทางกามและความรักยิ่งนัก ก็ดูสิ เป็นยักษ์หนุ่มฉกรรจ์วัยย่างเบญจเพส แต่มานั่งกลุ้มใจเรื่องถูกผลักไสไล่ส่งออกมาจากตำหนักเช่นนี้ เป็นเรื่องที่คนประสาในความรักเอามาคิดเล็กคิดน้อยหรือไร “หากองค์ไอศูรย์ทรงใคร่จะให้กระหม่อมทูลถวายคำแนะนำ กระหม่อมก็จะทำตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ” ไอศูรย์พยักหน้ารับ เพลานี้จำต้องพึ่งยักษ์จัดเจนในเรื่องรักอย่างการิตแล้ว “หากองค์ไอศูรย์ประสงค์จะเข้าหายอดเยาวมาลย์ของพระองค์ การเข้าหาเพียงป้อยอคำหวานนั้น หาใช่จะสำเร็จหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งการที่พระองค์ปลดเปลื้องฉลองพระองค์เข้าหาเช่นนั้น ยิ่งไม่เป็นการดีใหญ่” “ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องทำอย่างไร” “เข้าหาอย่างละมุนละม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ” ไอศูรย์ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย แล้วการที่เขาเข้าหาวิรัลย์อย่างนั้นมันไม่ละมุนละม่อมตรงไหนหรือ? เห็นสีหน้าของผู้เป็นนาย การิตก็เดาออกว่าจอมทัพอสุราผู้กระด้างกระเดื่องนี้คิดเห็นเช่นไร ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีก “พระองค์ต้องให้ความใส่พระทัย เกี้ยวพาราสีด้วยคำหวาน การกระทำก็ต้องละไม จะกระทำการบุ่มบ่ามอย่างเช่นที่ทรงทำไปก่อนหน้ามิได้ ไม่ว่านางยักษ์ตนใดก็ย่อมตกเป็นของพระองค์อยู่แล้ว แต่พระองค์ทรงพระทัยเย็นหน่อยเถิด นางยักษ์แต่ละตนก็มีความเหนียมอายแตกต่างกัน บ้างก็แสดงออกด้วยการโกรธเกรี้ยว บ้างก็เงียบงัน แล้วแต่อุปนิสัยของแต่ละนางพ่ะย่ะค่ะ” ที่แท้ก็เป็นเพราะเขารีบร้อนเกินไปนี่เอง จึงทำให้วิรัลย์ที่ไม่ทันตั้งตัวเหนียมอาย สำหรับน้องวิรัลย์อสุราคงจะแสดงออกด้วยการโกรธากระมัง... มือยกขึ้นลูบคาง เข้าใจที่ทหารเอกพร่ำบอกอย่างถ่องแท้ แต่การิตไม่มั่นใจเลยว่าผู้เป็นนายจะเข้าใจในสิ่งที่เขาว่าจริงๆ เพราะนอกจากเรื่องการรบแล้ว ไอศูรย์ไม่ประสาเรื่องรักใคร่แม้แต่กระผีกเดียว หากประสาล่ะก็ คงไม่ครองตัวเป็นพรหมจรรย์อยู่ถึงอายุเลยวัยออกเรือนเช่นนี้หรอก ใช่... ไอศูรย์เป็นยักษ์พรหมจรรย์ ทั้งที่มีรูปงาม ฝีมือก็เก่งฉกาจ ชาติตระกูลก็สูงส่ง น่าจะเป็นยักษ์มากรักที่ปั่นหัวใครต่อใครให้ลุ่มหลง เขากลับมีความประพฤติเรียบร้อย อยู่ในครรลองเสียจนกษัตริย์ปรมะอดตรัสไม่ได้เลยว่าพระภาติยะของพระองค์คงจะถือครองพรหมจรรย์ไปชั่วชีวิต การที่ไอศูรย์มีความรักใคร่นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เป็นห่วงไอศูรย์นะ เป็นห่วงยอดดวงใจของเขาต่างหาก ยักษ์ห่ามตนนี้จะถือประคองบุษบาบอบบางใดโดยไม่เผลอบดขยี้ได้กัน... แต่นั่นก็หาใช่เรื่องที่เขาควรยื่นมือไปสอด ทว่าพอเห็นไอศูรย์ยกยิ้มน้อยใหญ่ พลันพูดออกมา “ดี ถ้าอย่างนั้นนับแต่นี้ ข้าจะเกี้ยวพาราสีน้องยักษ์ให้ถูกที่ถูกทาง” การิตก็อดคิดไม่ได้ว่านางยักษ์ตนนั้นช่างมีเคราะห์กรรมใหญ่หลวงยิ่งนัก หลงใหลใคร่เสน่หาเสียเพียงนี้ ต่อจากนี้ชีวิตของนางคงจะไม่สงบสุขอย่างแน่นอน... ชีวิตบังเกิดเคราะห์กรรมใหญ่หลวงดั่งเช่นที่การิตได้คาดการณ์ไว้ หากแต่เคราะห์กรรมนั้นหาได้เกิดแก่นางยักษี ทว่าเกิดแก่องค์รามสูรหนุ่มที่ถูกผู้มีพระคุณสั่งให้มาร่วมมื้ออาหารในยามสนธยาตำหนักเขาทุกวี่วัน การไปดื่มกินอาหารกับไอศูรย์ก็หาใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่ชวนให้รำคาญใจอยู่สักหน่อยที่ทุกครั้งจะถูกไอศูรย์เกี้ยวพาราสีอยู่ร่ำไป เป็นเช่นนั้น... ถูกป้อยอคำหวาน มอบถ้อยวจีเสนาะโสต ทว่าชวนให้ขนลุกชันไปทั้งร่างอย่างนั้น วิรัลย์ก็พะอืดพะอมขึ้นมา อาการรังเกียจเดียดฉันท์สำแดงให้เห็นอย่างมิอาจปกปิดได้มิด แต่ไอศูรย์นั้นหาได้สนใจสิ่งใด เขาถือคติอย่างแรงกล้าว่าสายชลนทีหลั่งรดลงหินทุกวันได้ฉันใด หินก็ย่อมกร่อนได้ฉันนั้น แล้วประสาอะไรกับใจของน้องยักษ์ตรงหน้า และวันนี้ก็เป็นอีกวันเช่นกันที่วิรัลย์ต้องมาร่วมมื้ออาหารกับไอศูรย์ นับจากวันแรกที่ถูกทูลขอเป็นของรางวัลจนถึงบัดนี้ วิรัลย์ยักษาก็ใช้ชีวิตในตำหนักของพระภาติยะของกษัตริย์ปรมะนครได้เจ้าหนึ่งสัปดาห์พอดิบพอดี เขาพอจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในฐานะองค์ประกัน... ไม่สิ ของรางวัลพอสมควร อันที่จริงแล้ว การอยู่ในดินแดนของอริราชย์ก็หาได้แย่สักเท่าไรนัก เขาได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่ง แต่มีบางสิ่งที่เขาหาได้คุ้นชินขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือการเยินยอด้วยถ้อยวจีหวานล้ำของไอศูรที่หมายจะครองดวงใจของเขาอย่างยิ่งยวด เจ้ายักษ์ตนนี้ช่างน่ารำคาญใจนัก วิรัลย์ได้แต่บริภาษอยู่ภายในใจ หูทั้งสองฟังเสียงทุ้มต่ำยกยอตนนิ่งๆ มือหยิบเอาอาหารบนพานทองตรงหน้าเข้าปาก ขบเคี้ยวเชื่องช้าราวกับว่าเบื่อหน่ายเกินทน สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงแค่ทนให้การดื่มกินอาหารนี้เสร็จสิ้นไปโดยไวเท่านั้น แต่ไอศูรย์รู้ทันว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร เห็นสีหน้านิ่งเรียบที่มีแววกรุ่นโกรธเจืออยู่ในดวงตาก็รู้แล้วว่าไม่ชอบใจเขายิ่งนัก ทว่าเขากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะหว่านล้อมให้วิรัลย์ไม่ผลักไสอย่างใจเย็นตามคำแนะนำของทหารเอกคู่ใจ ไอศูรย์จึงไม่ใคร่รีบร้อนหรือกระทำการอาจหาญเฉกเช่นในหลายวันก่อน ทั้งที่ใจจริงแล้วนั้น เขาใคร่จะฉุดคร่าวิรัลย์ให้นอนราบอยู่ใต้ร่างเสียบัดเดี๋ยวนี้เต็มแก่ ทว่าไม่ได้... ใจเย็นไว้จอมอสุรา ช้าๆ ได้มีดพร้าเล่มงาม ไอศูรย์บอกกับตนเอง พลางฉีกยิ้มหวาน ก่อนจะเอ่ยพูด “เมื่อกินอิ่มแล้วก็อย่าเพิ่งรีบร้อนกลับตำหนักเลยน้องยักษ์ อยู่ร่ำสุราเมรัยกับพี่ก่อนเถิด พี่ได้สั่งให้นางกำนัลเตรียมน้ำจัณฑ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” ยังจะต้องอยู่ต่ออีกรึ? เรียวขนงถึงกับย่นยู่ วิรัลย์พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงเมื่อนางกำนัลยกเอาเหยือกน้ำจัณฑ์มาวางไว้ตรงหน้าทันทีที่สิ้นเสียงของไอศูรย์ “ข้าไม่ดื่มน้ำเมา” วิรัลย์ขัดทันทีที่เห็นยักษ์ตรงหน้ารินน้ำสีใสกลิ่นฉุนลงในถ้วยใบเล็กให้เขา ไอศูรย์ชะงัก เหลือบมองแล้วหัวเราะในลำคอแผ่วเบา “น้องยักษ์มีอายุกี่ขวบปีกัน?” คล้ายกับว่าจะหยอกเย้าว่ายังเป็นยักษ์เยาว์หรือไร ถึงได้ปฏิเสธที่จะดื่มของมึนเมาเช่นนี้ วิรัลย์ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ได้แต่ถอนหายใจเต็มแรง ขณะที่ไอศูรย์เริ่มรินน้ำเมาต่อ “พี่รู้ว่าน้องมีอายุเพียงสิบแปดขวบปี แม้นจะมีอายุเข้าสู่เพลาเหมาะสมแก่การมีคู่ครอง แต่น้องวิรัลย์ก็เพิ่งแตกพานวัยหนุ่มมาไม่นาน น้องคงยังสับสนในวัยคาบเส้นระหว่างวัยเด็กและวัยเจริญพันธุ์อยู่กระมังถึงได้คิดว่าเด็กมิสมควรดื่มของมึนเมา” คำพูดนั้นเป็นไปอย่างหยอกล้อ ส่วนที่รู้ว่าวิรัลย์มีอายุได้เพียงสิบแปดขวบปีเป็นเพราะอุปนิกขิตได้แจ้งแก่เขาแล้วว่าราชกุมารท้ายแถวของกษัตริย์เวรุฬาผู้นี้มีต้นกำเนิดเป็นมาอย่างไร วิรัลย์เองก็ไม่ใคร่ถาม เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องล่วงรู้อยู่แล้ว หาได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด ก่อนจะชำเลืองมองถ้วยน้ำมึนเมาที่ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้า “ดื่มกับพี่ ร่ำสุราร่วมเรียงกันนั้นเป็นนิมิตรหมายอันดีที่พี่กับน้องยักษ์จะมอบไมตรีให้แก่กัน” คิดไปเองแต่ผู้เดียวทั้งสิ้น ใครกันจะอยากไปมอบไมตรีให้กับจอมทัพไอศูรย์! วิรัลย์หงุดหงิดเสียจนเขี้ยวยักษ์ผุดงอกให้เห็น พลันเอื้อมมือไปคว้าเอาถ้วยน้ำจัณฑ์นั้นมากระดกดื่มในคราเดียวจนหมดสิ้น ก่อนวางกระแทกถ้วยเปล่าลงบนโต๊ะเต็มแรง ปล่อยให้ไอศูรย์ที่หมายจะรินน้ำจัณฑ์ลงในถ้วยตนเองเพื่อดื่มพร้อมกันกับยอดเยาวมาลย์ชะงักค้าง “ไยถึงได้ใจร้อน ไม่รอพี่กันบ้างเลยเล่า น้องวิรัลย์อยากผูกไมตรีกับพี่มากถึงเพียงนั้นเชียวรึ” ตาบอดหรือไรถึงได้ดูไม่ออกว่าคนตรงหน้าอยากผูกไมตรีด้วยหรือไม่! วิรัลย์เบนสายตาหนีไปทางอื่น ไม่ประสงค์จะเสวนาด้วย เขาถือว่าได้ปฏิบัติตามที่ไอศูรย์ปรารถนาแล้ว หน้าที่ของเขาเป็นอันเสร็จสิ้น แต่ไอศูรย์กลับไม่พอใจ เขาหมายจะพูดคุยหยอกเย้าแก้วตาให้สำราญใจต่างหาก หาใช่เพียงดื่มแล้วไร้สรรพเสียงพูดคุยเช่นนี้ ทว่า... ใบหน้าบึ้งตึงงอง้ำของวิรัลย์นั้นไม่ใคร่ชวนให้พูดคุยโดยเสน่หาแม้แต่น้อย ช่างเป็นยักษ์ที่ขี้หงุดหงิดอะไรปานนี้... ไอศูรย์ลอยถอนหายใจออกมาบ้าง พลางขบคิดไปว่าตั้งแต่ท้าวมหาพรหมทรงเนรมิตโลกา แบ่งแยกแดนสวรรค์ แดนมนุษย์และแดนบาดาลออกจากกันเสร็จสิ้น เมื่อนั้นสิ่งมีชีวิตก็ถือกำเนิด รากษสเองก็เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์สรรพสิ่งที่ถือกำเนิดจากพระเมตตาขององค์เทพ แต่ยักษ์เองก็มีลำดับชนชั้นและต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน บ้างเป็นโอปปาติกะหรือเกิดแล้วโตในทันที หรือไม่ก็กำเนิดแบบสังเสทชะ ซึ่งก็คือกำเนิดจากเหงื่อไคล ยักษ์ประเภทนี้ล้วนมีฤทธาอำนาจ เป็นอสุราชั้นสูง ถิ่นที่อยู่คือวิมานบนสวรรค์ ยักษ์ที่เป็นชลาพุชะหรือเกิดจากครรภ์มารดาคือยักษ์ชั้นกลางและชนชั้นต่ำ ไร้ซึ่งฤทธาใดๆ ดินแดนที่อยู่คือดินแดนใกล้เคียงแดนมนุษย์ เช่นเดียวกันกับ หากแต่ยักษ์ทั้งสองชนชั้นแตกต่างกันยิ่งนัก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม