เหงื่อเม็ดโตไหลโทรมกาย โลหิตสีแดงฉานของศัตรูสาดกระเซ็นต้องใบหน้าชวนให้สะอิดสะเอียนยิ่งนัก แต่วิรัลย์ก็มิอาจหยุดแกว่งดาบแม้ว่าทหารของเขาในยามนี้จะเหลืออยู่เพียงหยิบมือก็ตาม
ความระห่ำของเขาเป็นที่น่าหวาดหวั่นแก่ทหารชั้นผู้น้อยของปรมะยิ่งนัก ในเมื่อไม่มีผู้ใดเอาเขาอยู่ได้ เรื่องจึงจำต้องไปบอกกล่าวแก่จอมทัพอสุราให้รับรู้
เมื่อได้ยินว่ามียักษาตนหนึ่งไม่ยอมละซึ่งความแข็งข้อ จอมทัพอสุราซึ่งมีนามว่า ไอศูรย์ ก็ควบโตเทพอัสดร[1]ไปยังทัพหน้า ครั้นได้เห็นอสุราวัยฉกรรจ์ห้ำหั่นกับทหารของตนไม่เลิกรา แม้ว่าจะเหลือเขาที่รอดชีวิตอยู่เพียงผู้เดียว ไอศูรย์ก็นิ่งพินิจไปครู่
ช่างเป็นยักษ์ที่ดื้อด้านอะไรอย่างนี้...
มือเอื้อมออกไปด้านข้าง เป็นสัญญาณให้ทหารเอกนำคันสรมาให้ด้วยหมายจะปลิดชีพอีกฝ่ายด้วยธนูดอกเดียว หากแต่เมื่อยกคันศรขึ้นเล็งจะสังหาร วิรัลย์ก็ผินใบหน้ามาสบตาพอดี
ไอศูรย์ถึงกับชะงักงันเมื่อเห็นว่าดวงหน้าชโลมไปด้วยหยาดเลือดนั้นงดงามดุจต้องมนตร์ ตั้งแต่ถือกำเนิดมา เขายังไม่เคยเห็นยักษ์ตนใดมีรูปโฉมงดงามเช่นนี้มาก่อน จะว่างดงามดั่งเช่นยักษีก็ไม่ใช่ รูปร่างและใบหน้าของวิรัลย์ล้วนมีความเป็นบุรุษอยู่เต็มเปี่ยม หากแต่กลับดึงดูดสายตาเสียจนมิอาจละไปทางใดได้ อีกทั้งเมื่อพินิจอย่างถ้วนถี่แล้ว ผิวพรรณผ่องแผ้วดุจทองคำ เรือนผมสีนิลยาวปะบ่าพลิ้วไสว รูปลักษณ์ทั้งหลายแลน่าอภิรมย์ ดูแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์แห่งเวรุฬาเป็นแน่
ช่างงามวิลาศล้ำอะไรถึงเพียงนี้...
มือที่ถือคันสรลดลงต่ำในทันควัน ดวงตาเรียวจับจ้องใบหน้านั้นด้วยหลงใหล ไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะเสน่หาผู้ใดได้มากมายเพียงสบตาแรกพบถึงเพียงนี้
และเพราะนิ่งงันไปโดยไม่มีสาเหตุ ทหารเอกที่รอรับใช้อยู่ข้างกายจึงเอ่ยปากขึ้น
“องค์ไอศูรย์...”
“...”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ จอมทัพอสุรายังคงจับจ้องอีกฝ่ายที่ไล่ฆ่าทหารปรมะไม่เลิกรา
“องค์ไอศูรย์พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเสียงดังขึ้นมาอีกหน่อย ไอศูรย์จึงรู้สึกตัวในครานี้ ก่อนที่จะชำเลืองมองทหารเอกเป็นเชิงถามว่ามีสิ่งใด
“สังหารเสียสิพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นจอมทัพของเวรุฬา”
มันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ไอศูรย์กลับนึกเสียดายขึ้นมา
หากจะต้องสังหารทิ้งให้เป็นศพเน่าเปื่อยในป่าก็คงจะน่าเสียดายไม่น้อย...
ดังนั้นคำสั่งที่ไม่เคยหลุดออกจากปากของจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่จึงได้อุบัติขึ้น
“จับตัวมาให้ได้ อย่าให้ร่างกายมีบาดแผลอันใด แล้วนำกลับปรมะนคร”
ทหารเอกถึงกับอ้าปากค้าง ตั้งแต่ที่ติดตามไอศูรย์ออกศึกมา หาได้มีครั้งใดที่จอมทัพผู้นี้จะไว้ชีวิตอริราชศัตรู การได้ยินคำสั่งนี้ก็ทำให้ทหารเอกถึงกับไปไม่เป็น
“องค์ไอศูรย์ตรัสว่า...”
“ไปจับตัวมา...เป็นๆ”
ไอศูรย์ย้ำถ้อยคำชัดเจน ดวงตาเรียวที่ถลึงดุดันทำให้ทหารเอกไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใดต่อ นำความไปบอกแก่เหล่าจอมทัพยักษาตนอื่นๆ ก่อนที่การรุมทึ้งจับเป็นจอมทัพแห่งเวรุฬาจะเริ่มต้นขึ้น
วิรัลย์ถูกบ่วงบาศรัดรึง เหล่าทหารหาญอริราชย์ดึงทึ้งลงจากหลังพาหนะ เรือนกายคว่ำอยู่บนพื้นดินเย็นเยียบ ความแค้นใจเข้าเกาะกุมจิตใต้สำนึก ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นอยู่เบื้องหน้า
“จากนี้ไป เจ้าจะเป็นองค์ประกันจากเวรุฬา... เจ้าชาย”
วิรัลย์ไม่แปลกใจนักหากจอมทัพของราชศัตรูจะเรียกเขาเช่นนั้น เพียงเห็นรูปลักษณ์หรือท่วงท่าอันมีจริต ผู้ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ย่อมดูออก ทว่านั่นหาได้สำคัญแต่อย่างใด วิรัลย์รู้แต่เพียงว่าเขาถูกนำตัวกลับสู่ปรมะนคร แผ่นดินที่เขาไม่เคยเหยียบย่างหรือคิดจะไปเยือนตั้งแต่ถือกำเนิดมา
การเดินทางช่างยาวนานนัก ใช้เวลาไปร่วมสองสัปดาห์กว่าจะถึงยังที่หมาย ระหว่างการเดินทางกลับ ไอศูรย์ก็ลอบพินิจโฉมหน้าของเจ้าชายต่างแคว้นไปด้วย
ไม่ว่าจะพินิจพิจารณาอย่างไร เจ้าชายพระองค์นี้ก็มีรูปโฉมงดงามหยาดฟ้ามาดินเสียจริง...
จากครั้งแรกที่เพียงสะดุดตา กลายเป็นว่าไม่กี่วันให้หลัง เขาก็ลุ่มหลงในความงดงามนั่นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น หากเรื่องเช่นนี้อุบัติในยามปกติสุข คงจะได้ถูกเรียกขานว่าความรู้สึกนั้นคือบุพเพสันนิวาส แต่เพราะเกิดขึ้นในขณะที่มีการรบรา ไอศูรย์จึงต้องยับยั้งความรู้สึกนี้ด้วยเห็นว่าเป็นการไม่สมควร
เป็นยักษ์บุรุษทั้งคู่ก็ว่าอัปยศแล้ว ยังจะเป็นอริศัตรูกันอีก บุพเพสันนิวาสอันใดกัน การหลงผิดชวนให้หัวร่องอหายมากกว่า...
และเพราะคิดเช่นนั้น ไอศูรย์ก็ไม่ใคร่สนใจอีกต่อไป ไม่แม้แต่จะพูดคุยด้วยสักคำ ไม่เพียงแต่ไอศูรย์เท่านั้น วิรัลย์เองก็หาได้อยากจะเสวนากับเขา
ไม่ว่าผู้ใดที่เป็นคนของปรมะ เขาก็ไม่อยากจะเสวนาพาทีด้วยทั้งนั้น!
ดังนั้นต่างฝ่ายจึงไม่รู้นามของกันและกัน วิรัลย์เองก็หาได้เอ่ยปากบอกผู้ใด แม้ถูกเค้นถามก็ยังคงเงียบนิ่ง ดำรงไว้ซึ่งสีหน้าหยิ่งผยอง ถึงจะถูกคุมขังในคุกก็ไม่หวั่นไหวแต่อย่างใด ราวกับว่าเตรียมใจมาสำหรับการนี้อยู่แล้ว
ซึ่งก็ใช่... หากไม่ได้รับชัยก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้
แต่เขาไม่ได้ถูกกระทำการใดนอกเสียจากคุมขังไว้เฉยๆ ด้วยกษัตริย์แห่งปรมะนครได้สดับรับฟังว่ายักษ์หนุ่มที่ไอศูรย์นำตัวมาเป็นถึงพระราชโอรสของกษัตริย์แห่งแคว้นเวรุฬา จึงประสงค์ใช้เป็นองค์ประกันต่อรองกับแคว้นราชศัตรู
หากทว่าผ่านไปเจ็ดทิวาเจ็ดราตรีแล้วไซร้ ก็ยังไม่มีผู้ใดจากเวรุฬามีทีท่าว่าจะช่วงชิงเจ้าชายพระองค์นี้กลับไป แม้กระทั่งอุปนิกขิต[1]ที่แฝงตัวอยู่ในเวรุฬาก็ยังไม่มีรายงานว่ากษัตริย์เวรุฬาจะมีพระบัญชาใดเพื่อนำพาตัวพระราชโอรสกลับไปแต่อย่างใด
เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าการจับไว้เป็นองค์ประกันหาได้มีประโยชน์อันใด...
เมื่อไร้ซึ่งประโยชน์ ชีวีก็ไม่จำเป็นต้องรักษา
หลังจากถูกคุมขังเป็นองค์ประกันอยู่เจ็ดวันเต็ม ในวันที่แปด สถานะของวิรัลย์ก็แปรเปลี่ยนเป็นเชลยสงครามที่ต้องโทษประหาร เขาถูกตีตรวนและนำตัวออกจากคุกสกปรก ทหารสองนายที่ดำรงตำแหน่งเพชฌฆาตเป็นผู้นำเขาไปยังลานประหารที่อยู่ในท้ายพระราชฐานอันกว้างใหญ่
[1] อุปนิกขิต เปรียบเสมือนไส้ศึกหรือสายลับในปัจจุบัน
[1] โตเทพอัสดร เป็นสัตว์หิมพานต์ที่ผสมระหว่างม้าและสิงโต มีลักษณะทั่วไปเหมือนดุรงค์ไกรสร แต่มีหัวเป็นสิงโตและมีร่างเป็นม้า มีกายเป็นม้าสีแสด หางและกีบสีแดงชาด หัวเป็นสิงโต คอ หลังและขนสร้อยคอมีสีเขียว และเป็นสัตว์กินเนื้อ