ถึงจะถูกกล่าวหาว่าฟั่นเฟือน แต่ไอศูรย์ก็หาได้ไร้สติพอที่จะเดินกลับตำหนักในสภาพที่เป็นอยู่ เมื่อออกจากตำหนักของวิรัลย์มา เขาก็ยืนรอให้ตะบองยักษ์ของเขาคลายตัวคืนสู่ปกติเสียก่อน ถึงจะเดินกลับไปได้
เมื่อนั้น การิตซึ่งตามหาผู้เป็นนายด้วยไม่เห็นตั้งแต่มื้ออาหารเย็นผ่านมาเห็นไอศูรย์ยืนอยู่หน้าตำหนักของเจ้าชายต่างแคว้นพอดี จึงรีบเข้ากราบทูล
“องค์ไอศูรย์ เหตุใดพระองค์จึงมาอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมตามหาเสียตั้งนาน”
“ข้ามีเรื่องให้ต้องจัดการเล็กน้อย”
ไอศูรย์ตอบรับ ทำเอาคนฟังเลิกคิ้วสูง เพราะในยามนี้นั้น ปกติแล้วผู้เป็นนายมักจะอยู่แต่ในตำหนักตนมากกว่าออกมาเตร็ดเตร่ภายนอก
“พระองค์บัญชากระหม่อมก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ ไม่เห็นต้องทรงลงมาด้วยพระองค์เอง”
ไอศูรย์ไม่ตอบ ยืนนิ่งๆ รอให้อาการกำหนัดทุเลา
ครั้นเห็นผู้เป็นนายเมินเฉย การิตก็ว้าวุ่นใจยิ่ง โดยปกติ ไอศูรย์จะไม่เมินคำพูดของเขาเช่นนี้ คงจะมีเหตุให้ต้องขบคิดหนักกระมังถึงได้เงียบงัน
“หากพระองค์ทรงมีสิ่งใดอยากจะรับสั่งกับกระหม่อม ก็ขออย่าได้เกรงพระทัย กระหม่อมยินดีทำตามพระบัญชา”
มีบริวารที่สัตย์ซื่อข้างกายก็น่ายินดีอยู่หรอก แต่เรื่องนี้จะให้ผู้ใดช่วยไม่ได้ นอกจากตัวเขาเอง
“ไม่เป็นไร ข้าจะจัดการเอง”
“องค์ไอศูรย์ ให้กระหม่อมได้รับใช้พระองค์เถิด”
ชักจะรำคาญขึ้นมาแล้ว ยิ่งเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของทหารเอกที่แลคล้ายจะคาดคั้นให้เขาเปิดปากพูดให้จงได้ ไอศูรย์จึงตัดสินใจเปล่งเสียงออกมา
“ตะบองของข้ามันขยายพองด้วยกำหนัดเพราะข้าได้กลิ่นหอมกรุ่นจากแก้วตา ชี้ไปข้างหน้าไม่รู้ทิศเช่นนี้ นอกจากข้าแล้ว จะมีผู้ใดจัดการให้มันสงบลงได้อีกเล่า”
สายตาของการิตเหลือบมองไปยังกึ่งกลางลำตัวของผู้เป็นนายในบัดดล ครั้นเห็นใต้ผ้านุ่งมีเนินนูน เขาก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ
อย่าบอกนะว่าองค์ไอศูรย์จะกระทำเรื่องไม่สมควรใส่ยอดดวงใจของตนอีกแล้ว?
ไม่มีคำตอบให้กับทหารเอก ไอศูรย์ระบายลมหายใจ ไม่ใคร่สนใจว่าผู้ใดจะเอะใจเรื่องตะบองของเขาอีกแล้ว ก้าวขามุ่งหน้ากลับตำหนักของตน ปล่อยให้การิตมองตามหลัง คาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้านายตนไปต่างๆ นานา
ที่ออกมาในสภาพนั้นก็คงเพราะถูกขับไล่ไสส่งมาอีกด้วยเป็นแน่...
ถูกต้องดั่งที่คาดคิด ต่อให้เขานุ่มนวลหรือหยอดคำหวานมากมายเพียงใด ยักษ์ห่ามก็ยังเป็นยักษ์ห่าม หากแค่ได้ชิดเชื้อก็เป็นถึงขนาดนี้แล้ว มีหวังคงจะอดทนได้อีกไม่นาน
...นางยักษ์ตนนั้นคงไม่แคล้วได้ถูกจอมทัพอสุราจับปล้ำทำเมีย
อดรนทนไม่ไหวดั่งเช่นที่การิตคาดการณ์ไว้ เพราะหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ตะบองยักษ์บวมพองด้วยเกิดกำหนัดเพราะกลิ่นหอมจากกายของวิรัลย์อสุรา ไอศูรย์ก็สูญสิ้นซึ่งความอดทน ทุกคราที่ได้พบหน้ายอดรัก เขาก็ต้องคอยระงับจิตใจไม่ให้ล่วงเกินเสียทุกครั้งไป แรกๆ ยังพอทน ผ่านไปเรื่อยๆ ความอดกลั้นก็ถูกลิดรอนเหลือเพียงกระผีก เขาใคร่หมายจะจับวิรัลย์ปลุกปล้ำให้เป็นของเขาอยู่ทุกชั่วเพลาเสียเหลือเกิน
เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ แม้คิดจะกระทำก็หาใช่เรื่องยาก ไม่ว่าอย่างไร วิรัลย์ก็คงจะมิอาจต่อกรจอมทัพอสุราชำนาญศึกที่ผ่านสมรภูมิมานับครั้งไม่ถ้วนได้อยู่แล้ว แต่การทำเช่นนั้นคงได้ถูกชิงชังยันโคตรเหง้าอย่างไม่ต้องสงสัย แค่นี้เขายังเข้าหน้าวิรัลย์ได้ยากยิ่งเลย เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะแวะเวียนมาหาเขาถึงตำหนักตามที่ประสงค์ แต่ก็หาได้เคยมีรอยยิ้มประดับดวงหน้า ทุกครั้งที่พบพานก็ล้วนแต่อุดมไปซึ่งความปั้นปึ่งบึ้งตึง เรียกได้ว่ารอยยิ้มของวิรัลย์นั้นหาได้ยากยิ่งดั่งงมเข็มในมหาสมุทร ไอศูรย์จึงมิอาจทำการใดได้ กระทำเพียงควบคุมกำหนัดและคอยพะเน้าพะนอเอาใจขวัญตาเป็นเนืองนิตย์เท่านั้น
แต่การอดทนย่อมมีการสิ้นสุด...
วันนี้วิรัลย์ลงสรงในสระที่อุดมไปด้วยหมู่ผกา กลิ่นหอมรัญจวนฟุ้งกำจายต้องนาสิกของไอศูรย์ เย้ายวนให้เขาหลงใหลรักใคร่คนตรงหน้ามากขึ้นเป็นเท่าตัว ร้ายกว่านั้น เขาแทบจะอดใจไม่ไหว ฉุดคร่าเอาราชกุมารเวรุฬาเข้าตำหนักไปล่วงเกินให้สุขสมอารมณ์หมาย
เคราะห์ดีที่ยังไม่ไร้ซึ่งสติและหาได้เบาปัญญาถึงขั้นทำการอาจหาญ เพราะคิดว่าคงจะอดรนทนได้อีกไม่นาน ไอศูรย์จึงออกอุบายชักชวนให้วิรัลย์ไปเที่ยวชมสวนบุปผชาติที่ตำหนักหลวงแทน ด้วยคิดเอาเองว่ากลิ่นหอมของมวลมาลาเหล่านั้นจะกลืนไปกับกลิ่นกายาของวิรัลย์ เขาจะได้หลอกตนเองว่ากลิ่นนั้นคือกลิ่นของดอกไม้ หาใช่กลิ่นของพ่อเนื้อทองข้างกายผู้นี้
เป็นอุบายที่เขาใช้หลอกล่อตัวเขาเอง หาได้ใช้กับวิรัลย์ยักษา...
วิรัลย์ก็หาได้ขัด ถึงจะขัดไปก็ไร้ซึ่งประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็มีสถานะเป็นรองไอศูรย์ การเชื่อฟังย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็หาใช่จะยอมให้หักหาญน้ำใจ ซึ่งเขาก็นึกชื่นชมไอศูรย์อยู่เช่นกันที่ไม่ยอมใช้กำลังบังคับขืนใจตน ทั้งที่มีโอกาส มีอำนาจและสิทธิ์ขาด อีกทั้งยังอยู่เหนือกว่า แต่ก็ไม่เคยมีครั้งใดจะสำแดงอำนาจบาตรใหญ่ นอกจากเทียวไล้เทียวขื่อเอาอกเอาใจตนเท่านั้น
การชวนมาชมหมู่มวลบุษบาก็คงเป็นไปเพราะการนั้นเช่นกัน โดยวิรัลย์หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว ไอศูรย์ชวนเขามาที่นี่ด้วยเหตุผลใด ไอศูรย์เองก็ไม่ใคร่บอก ขืนพูดออกไป มีหวังคงได้ถูกมองอย่างหยามเหยียดชิงชัง และเขาก็คิดถูกเสียด้วยที่มาที่แห่งนี้ เพราะกลิ่นหอมของดอกไม้ลบเลือนกลิ่นกายของวิรัลย์ไปจริงดังคาด ขณะที่วิรัลย์ผ่อนคลายความตึงเครียดที่สั่งสมมาหลายชั่ววันตั้งแต่มาพำนักอยู่ในแคว้นปรมะได้พอสมควร
วิรัลย์สูดกลิ่นหอมฟุ้งขจรเข้าปอดเต็มที่ ปิดเปลือกตาลง ดื่มด่ำกับความโสภาทางฆานผัสสะ[1]ได้ครู่หนึ่งก็พลันต้องขมวดคิ้วย่นยู่เมื่อหูได้ยินเสียงสูดลมหายใจดังมาจากคนข้างกาย
“...หอมเหลือเกิน”
หอมดอกไม้จะไม่ว่า แต่ดันยื่นหน้ามาใกล้เขาแล้วสูดดมเข้าไป เป็นเช่นนี้แล้วหมายถึงหอมสิ่งใดกัน?
วิรัลย์รู้ว่าเจ้ายักษ์กะล่อนตนนี้หมายถึงหอมกลิ่นกายของเขา ทั้งที่ไอศูรย์หมายจะลืมเลือนกลิ่นนุ่มของวิรัลย์แล้วแท้ๆ แต่ก็ดันมาหยอกเย้าเล่นอย่างลืมตัวเสียจนได้
พอวิรัลย์ผงะถอยห่าง เจ้าคนพี่ก็แย้มยิ้มออกมา
“กรุ่นกลิ่นใดฤาเท่ากรุ่นกลิ่นน้อง ชวนหมายปองเด็ดดมดุจพฤกษา ครั้นไหวพลิ้วเยื้องย่างก้าวกายา ก็นำพาใจพี่สิ้นประดี”
คนฟังถึงกับร้อง ‘ฮะ?’ ออกมาอย่างเสียจริตที่จู่ๆ ไอศูรย์ก็เกิดสวมวิญญาณเป็นปราชญ์กวี เอื้อนเอ่ยขับกลอนออกมาในเพลานั้น
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไร”
เป็นประโยคแรกของวันที่วิรัลย์เอ่ยกับไอศูรย์
เขาคงจะเป็นบ้าจริงๆ นั่นแล เพราะทันทีที่ถูกบริภาษ ไอศูรย์ก็ยิ้มแฉ่งกว่าเดิม
“ถึงเป็นบ้าก็บ้าด้วยมีรัก ใจสมัครผูกรักแนบสมาน รักเจ้าน้องหลงใหลเยาวมาลย์ ขอพบพานทุกคืนวันมิเสื่อมคลาย”
และแทนที่จะหยุดเมื่อเห็นสีหน้าปูเลี่ยนของวิรัลย์ เขากลับขับกลอนออกมาอ**บทหนึ่ง ทำเอาคนฟังถึงกับพะอืดพะอมในอกขึ้นมาฉับพลัน ก่อนจะปริปากออกมาอีกครั้ง
“หากเจ้าเอ่ยขับกลอนออกมาอีกครั้ง ข้าจะทุบเจ้าเสียให้แดดิ้น”
ครานี้ไอศูรย์ยู่ปากขัดใจ พลันส่งเสียงกระเง้ากระงอด
“แม้น้องเป็นยักษาแสนดุร้าย ฤทธิ์พร่างพรายให้ระอาเป็นหนักหนา พี่ก็ยอมทอดกายมอบชีวา ให้น้องยาทุบตีจนหนำใจ”
คำพูดของวิรัลย์หาได้สดับรับฟังเลยแม้แต่กระผีกเดียวสินะ!
วิรัลย์อยากจะหาอะไรมาทุบศรีษะอีกฝ่ายให้แบะนัก นี่ไม่รู้เลยหรือว่าการป้อยอคำหวานที่เทียวกระทำเช้าเย็นไม่สร่างซาเช่นนี้ มันหาใช้ได้ผลกับเขาแต่อย่างใด รังแต่จะทำให้รำคาญใจมากขึ้นไปอีก
ไอศูรย์คงจะไม่รู้ตัวจริงๆ เพราะทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็ทอดสายตาเชยชมดวงหน้างามของวิรัลย์ที่มองเขาอย่างเวทนา พลันกระหยิ่มใจขึ้นมาว่าคำแนะนำของการิตช่างได้ผลชะงัดนัก
“น้ำใดเล่าจะหวานล้ำเท่าน้ำคำพี่”
ยังมีหน้ามาภูมิอกภูมิใจกับการเกี้ยวพาราสีของตนอีก คราวนี้วิรัลย์ถึงกับทนเงียบอยู่ไม่ไหว เอ่ยปากออกมาทันควัน
“เจ้าคิดหรือว่าการที่มาหยอดถ้อยวจีหวานล้ำใส่ข้าทุกวี่วันจะทำให้ข้าใจอ่อนได้”
ไอศูรย์พยักหน้ารับตอบไปตามตรง ถึงจะเป็นยักษ์ห่าม วาจาแข็งกร้าว กิริยากระด้างกระเดื่องยามอยู่ในกองทัพ แต่เขาก็แสนซื่อ
...ซื่อบื้อ
วิรัลย์อดคิดเช่นนั้นไม่ได้ ก่อนระบายลมหายใจออกมา
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องบอกเจ้าว่าช่างไร้ประโยชน์นัก ต่อให้เจ้านำแก้วแหวนเงินทองใดมากองตรงหน้าข้า จะพะเน้าพะนอยกยอข้ามากมายเพียงใด ใจของข้าก็หาได้มีให้แก่เจ้า”
ฟังแล้วก็ใจเสีย ไอศูรย์ถึงกับขมวดคิ้วย่น
“ทำไมรึน้องยักษ์ หรือเจ้าจะรังเกียจพี่?”
“ใช่”
คนถามอยากจะกระอักโลหิตออกมาให้อีกฝ่ายเห็นเสียเหลือเกินว่าคำพูดสั้นๆ ที่หลุดออกจากกลีบปากสีแดงชาดนั้นช่างสร้างความร้าวรานในใจให้กับเขาเพียงใด แต่ก็หาได้ทำ นอกจากทัดทาน
“พี่หลงใหลน้องมากมายถึงเพียงนี้ ไยน้องถึงได้ตัดรอนพี่นัก”
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งโง่กันแน่”
ไอศูรย์เม้มริมฝีปาก น่าอับอายยิ่งนัก... เขาโง่จริง ไม่ได้เสแสร้ง
ฉลาดในเรื่องรบ ทว่าโง่เขลาในเรื่องรัก ก็ทำไมล่ะ ในเมื่อเขาก็มีชาติกำเนิดสูงส่ง ดำรงตำแหน่งจอมทัพอสุรา รูปร่างหน้าตารึก็งามงด เหตุใดถึงได้ถูกรังเกียจชิงชังเป็นหนักหนากัน?
ดูจากการที่นิ่งงันไปของไอศูรย์ วิรัลย์ก็เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายโง่บริสุทธิ์จริงๆ จึงได้ขยายความออกมา
“เพราะเจ้ากับข้าเป็นอริศัตรูกัน”
“พิโธ่ เรื่องขี้ประติ๋วแค่นี้เอง น้องยักษ์อย่าได้คิดมากเลย ก่อนจะพบพานน้องนั้น พี่เองก็หาได้ชื่นชอบยักษ์จากเวรุฬาเช่นกัน แต่เพลานี้ใจพี่เปลี่ยนไปแล้วเมื่อได้เจอหน้าน้อง เกลียดชังกันได้ ก็สมัครสมานกันได้”
ไอศูรย์โล่งใจเหลือเกินที่เหตุของการถูกชิงชังคือเรื่องนี้ ช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก เกลียดได้ก็รักได้ เขาหาได้ใส่ใจหรอก
ทว่าวิรัลย์หาได้มีเพียงเหตุผลนั้นอย่างเดียว เมื่อเห็นไอศูรย์ระริกระรี้ขึ้นมาอีกระลอก เขาก็จำต้องเอ่ยออกมาอีก
“เหตุที่ข้าชิงชังเจ้าก็มีอีกประการ”
คนฟังชะงักงันไป ย่นคิ้วถาม “เพราะเหตุใดรึ”
“เจ้าเป็นยักษา” วิรัลย์ว่า “และข้าก็เป็นยักษาเช่นกัน”
ไอศูรย์นิ่งไป เข้าใจสิ่งที่วิรัลย์ต้องการบอกแล้ว
[1] หมายถึง การสัมผัสรับรู้ทางจมูกด้วยการดมกลิ่น ฆานผัสสะเป็นหนึ่งในผัสสะหก (การถูกต้องที่ทำให้เกิดความรู้สึก) อันประกอบไปด้วย จักขุสัมผัส (สัมผัสทางตา) โสตสัมผัส (สัมผัสทางหู) ฆานสัมผัส (สัมผัสทางจมูก) ชิวหาสัมผัส (สัมผัสทางลิ้น) กายสัมผัส (สัมผัสทางกาย) และมโนสัมผัส (สัมผัสทางใจ)