นางกำนัลยังไม่ทันพูดจบ เสวียอวี้เจินก็ตบหน้าไปหนึ่งทีด้วยความแค้นใจเพราะหาที่ระบายอื่นไม่ได้ “อ้ำอึ้งอยู่ได้ งั้นไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเดาได้ไม่ยากและก็ไม่อยากรู้อีก ปรนนิบัติข้าเข้านอนเดี๋ยวนี้” เสวียอวี้เจินตวาดขัดกับใบหน้าหวานล้ำราวกับน้ำค้างกลางหาว
การเกิดเป็นหญิงก็ยากอยู่แล้วแต่ยังต้องช่วงชิงความโปรดปรานจากพระสวามีที่เป็นถึงจักรพรรดินั้นยากยิ่งกว่า นางเข้าวังมาสองปีได้รับตำแหน่งอย่างก้าวกระโดดมาจนถึงหวงกุ้ยเฟยหากไม่ใช่เพราะฝีมือและฝ่าบาทรักใคร่เมตตา จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร หนทางไม่ได้ยาวไกล อีกไม่นานนางต้องขึ้นแท่นเป็นนางพญาหงส์ชูคอเหนือตำหนักในทั้งหมดได้ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน แต่จะต้องไม่มีหนิงซูเยว่ชูคอในตำหนักในอีก
ยามเหม่าหรือก็คือเวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า เหล่าสนมชายาต่างพาร่างโงนเงนกับขอบตาดำคล้ำมาเข้าเฝ้าถวายพระพรฮองเฮา สนมชายาขั้นเล็กที่เดินมาต่างก็ใช้มือปิดปากหาว มองดูท้องฟ้าแล้วก็ยังไร้แสงทองแต่ก็ต้องลากสังขารลุกจากเตียงนอนขึ้นมา สนมชายาขั้นสูงหน่อยก็นั่งเกี้ยวมาแล้วอาศัยหลับเอาในเกี้ยวแต่พวกนางทุกคนล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือง่วงงุน ขอบตาคล้ำจากการตื่นนอนแต่เช้า
เกี้ยวของสนมลู่เฟยหยาหรือพระราชชายาลู่เฟยมาถึงก่อนใคร นางกำลังจะเดินเข้าตำหนักก็ต้องหยุดชะงักหันหน้าไปมองแล้วย่อตัวทำความเคารพเมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามาพร้อมกัน
“ถวายบังคมเสวียหวงกุ้ยเฟยเพคะ”
“ไม่ต้องมากพิธี เราพี่น้องกันทั้งนั้น” เสวียอวี้เจินพูดเสียงหวานประคองลู่เฟยหยาให้ลุกขึ้น แย้มยิ้มอย่างใจดีครั้งหนึ่ง พลางมองเกี้ยวของสนมชายาคนอื่นๆ ที่ตามมาสำทับด้านหลัง ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเศร้า “ข้าสงสารน้องหญิงทั้งหลายที่ต่างต้องตื่นนอนแต่เช้ามาถวายพระพรฮองเฮาเหลือเกิน พวกนางบางคนต้องเดินมาไกลจากตำหนัก ส่วนพวกที่นั่งเกี้ยวมาก็สบายหน่อยแต่ก็คงยังตื่นไม่เต็มตานัก ข้าเองสงสารทุกคนนึกอยากช่วยแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จนใจเหลือเกิน”
“ไม่ใช่ความผิดของพี่หญิงเสวียหวงกุ้ยเฟยเสียหน่อยเพคะ เป็นเพราะใครพวกเราต่างก็รู้กันดีอยู่” ประโยคท้ายลู่เฟยหยาพูดเสียงเบาแล้วปรายตามองไปทางตำหนักใหญ่บอกด้วยสายตาว่าคนผิดคือคนที่นั่งชูคออยู่ในตำหนักใหญ่ “เมื่อคืนไม่รู้พี่หญิงทราบข่าวหรือไม่ ฝ่าบาทค้างที่ตำหนักฮองเฮา แต่อยู่ไม่ถึงครึ่งคืนก็เสด็จกลับ”
เสวียอวี้เจินตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้แต่เพียงแค่ชั่วขณะเดียวก็กลับมาอ่อนหวานเหมือนเดิม “ทำไมฝ่าบาทถึงอยู่เพียงแค่ครึ่งคืน ทรงหักหน้าพระนางไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตั้งแต่คืนเข้าห้องหอแล้ว ข้าสงสารฮองเฮายิ่งนัก”
ลู่เฟยหยาแอบเบ้ปากใส่เสวียอวี้เจินที่ทำทีเป็นเห็นใจฮองเฮาแต่ที่แท้ก็สะใจที่เห็นฮองเฮาเสียหน้าได้ นางตีหน้าเศร้าขึ้นมาสนทนาความเท็จต่อ “นั่นสิเพคะ น้องก็เห็นใจฮองเฮาเหลือเกิน ถ้าเป็นพี่หญิงเสวียหวงกุ้ยเฟยฝ่าบาทไม่มีทางทำเช่นนี้แน่ ฝ่าบาททรงรักทรงถนอมท่านยิ่งนัก... แตกต่างกับฮองเฮาที่ไม่เคยได้รับพระเมตตาเลย” ลู่เฟยหยากล้าพูดออกมาเพราะรู้ว่าฮองเฮาหนิงซูเยว่ไม่ได้มีอำนาจเหนือวังหลัง นางมีเพียงแต่หัวโขนไว้ชูคอเท่านั้น
“ลู่เฟยเจ้าก็พูดเกินไปใครได้ยินเข้าแล้วไปทูลฮองเฮาข้าจะถูกลงโทษได้ อีกอย่างฝ่าบาททรงทุ่มเทพระวรกายเพื่อแผ่นดินและราษฎร พวกเราพี่หญิงน้องหญิงต่างเป็นข้ารับใช้ก็ต้องช่วยกันดูแลปรนนิบัติฝ่าบาท เป็นสิ่งที่พวกเราจะทำได้ ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่โปรดปรานเลยสักนิด”
ปากของเสวียอวี้เจินพูดไปอย่างนั้นแต่ในใจนางกำลังคับพอง นางยังเป็นที่โปรดปรานเช่นเดิม เมื่อคืนนางคิดมากไปหน่อยจนเข้านอนเร็วเกินไปไม่ได้สั่งให้ขันทีไปตามสืบข่าวจึงไม่รู้ว่าฮ่องเต้กลับจากตำหนักเฟยเฟิงตั้งแต่ครึ่งคืน
เสวียอวี้เจินไม่คิดจะพูดอะไรอีกเพราะนางโล่งใจแล้วที่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้โปรดปรานอะไรฮองเฮาเช่นเดิม จึงชวนลู่เฟยหยาหรือพระราชชายาลู่เฟยเข้าตำหนักเฟยเฟิงพร้อมกัน แต่ระหว่างทางเดินนางก็ยังได้ยินเสียงซุบซิบเข้าหูเป็นระยะถึงอาการค้างเติ่งกลางอากาศของฮองเฮาที่ถูกทิ้งร้างให้เฝ้าตำหนักแต่เพียงเดียวดายทั้งคืน เสวียอวี้เจินซ่อนรอยยิ้มพึงใจเดินเข้าตำหนัก
ท่าทางราวกับเทพเซียนสูงส่งของเสวียอวี้เจินทำให้หนิงซูเยว่เพ่งมอง นางนั่งเป็นประธานอยู่บนตั่งทองคำ ลูบคลำปลอกเล็บลายหงส์เหินราวกับภรรยาหลวงใจดี นางมองสนมชายาถ้วนทั่วหนึ่งทีก็พอรู้ว่าเหล่าบรรดาสนมชายาไม่เกรงกลัวนาง เพราะใบหน้าแต่ละคนเชิดตั้งคล้ายไม่เห็นนางอยู่ในสายตา คงเป็นเรื่องเมื่อคืนรวมทั้งเรื่องในอดีตที่ทำให้พวกนางไม่คิดหวั่นเกรงในอำนาจของนางที่เป็นฮองเฮา
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” เสียงเหล่าสนมชายาถวายพระพรพร้อมกัน
“ลำบากพวกเจ้าแล้วที่ให้ตื่นแต่เช้ามาพร้อมกันแบบนี้ หวังว่าพวกเจ้าจะมากันครบแบบนี้ทุกวัน” แค่คำแรกก็ทำเอาเหล่าสนมชายาของขึ้นกันเป็นแถว ถ้าอยากตื่นทำไมไม่ตื่นมาคนเดียวล่ะ ดูสิพวกนางหน้าโหลตาคล้ำกันหมดแล้ว
หนิงซูเยว่ยิ้มหวาน “พวกเจ้าไม่มีใครขัดข้องก็ดี ถือว่าพวกเจ้าเห็นด้วยกับข้าที่ต้องการเสริมบารมีให้แก่พระราชวงศ์ของเราให้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ข้าขอบใจพวกเจ้าอีกครั้ง”
ไม่มีใครพูดว่าเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเพราะต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก น้ำท่วมปากกันหมด ลอบมองใบหน้าฮองเฮาก็พบว่าทำไมดวงตาของนางไม่มีรอยหมองคล้ำไม่รู้ได้ยาดีอะไรมา
“ทูลฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันขอเสนอแนะ”
หนิงซูเยว่จิกตาไปทางเสียงเรียกขาน “อ้อ เสวียหวงกุ้ยเฟยนั่นเอง เชิญพูดมาได้เลย”
“หม่อมฉันเห็นว่าพวกเราพี่หญิงน้องหญิงทั้งหลายต่างถวายงานในยามดึกแล้วแต่ต้องตื่นแต่เช้ามาถวายพระพรอีก ร่างกายเมื่อถูกลมร้อนสลับลมเย็นจะทำให้ป่วยได้ง่ายไม่เป็นผลดีต่อการปรนนิบัติฝ่าบาทในคืนต่อไป หม่อมฉันอยากให้ฮองเฮาเลื่อนเวลาออกไปเป็นหลังพระอาทิตย์ขึ้นสักเล็กน้อยดีหรือไม่เพคะ”
‘ช่างใจกล้านัก คิดว่าตัวเองเป็นคนโปรดล่ะสิ ถึงกล้าพูดเช่นนี้’ หนิงซูเยว่คิดในใจแต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้มหวานประดับ
“เสวียหวงกุ้ยเฟยเจ้าพูดมาเป็นเรื่องดี แต่ติดอยู่นิดหน่อยตรงที่เจ้าพูดเพราะเห็นแก่ตัวเองคนเดียวหรือเปล่า เพราะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่ฝ่าบาททรงเลือกป้ายอยู่ทุกคืน สนมชายาคนอื่นต่างก็ได้แต่ชะเง้อคอรอยฝ่าบาท ฝนตกไม่เคยทั่วฟ้า ข้าเลยไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเจ้าเห็นแก่สนมชายาเหล่านี้หรือตัวเองกันแน่”
เสวียอี้เจินตะลึง เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่บนตั่งทอง ฮองเฮาผลักนางไปยืนกลางแจ้งล่อเป้าให้เหล่าสนมชายาเกลียดชังนาง หนิงซูเยว่ช่างร้ายกาจนัก เพียงแค่คำเดียวก็ทำให้นางได้ศัตรูเพิ่มขึ้น เดิมทีนางคิดจะทำตัวเป็นแม่พระพูดช่วยเหลือสนมชายาคนอื่นแต่กลายเป็นนางรนหาที่ให้คนอื่นเกลียชัง เสวียอวี้เจินลอบก่นด่าอยู่ในใจ
“ฮองเฮาโปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันพูดไปเพราะเห็นแก่น้องหญิงทั้งหลายที่ไม่กล้าเอ่ยปากทูลขอร้อง อีกอย่างหม่อมฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทเลย”
“ข้าก็ยังไม่ได้พูดว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานสักหน่อย เจ้าพูดมาแบบนี้คงคิดอยู่ล่ะสิ”
ครั้งนี้เสวียอี้เจินเงยหน้าขึ้นมองหนิงซูเยว่ตรงๆ ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งนางทำร้ายตัวเอง นางเห็นสายตาของเหล่าสนมชายาที่มองอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกัดฟันแน่น