“ไอ้น่าน เล่นอะไรของมึง” น่านวิ่งหนีไปตั้งหลักร้อยเมตรเห็นจะได้ ในมือมีแปรงทาสี และใช้ป้ายหน้าต้นน้ำไปแล้ว คนถูกแกล้งวิ่งตามไปกระโดดถีบ แต่ก็พลาดเป้าทุกครั้ง เพราะอีกฝ่ายว่องไวปานลิงวอก แต่ต้นน้ำก็ตามไม่ลดละ
“วิ่งไล่กันเป็นเด็ก ไม่ดูสังขารเลย” คะนิ้งลุกขึ้นยืนเท้าเอวมองพี่ชายที่วิ่งไล่เพื่อนเป็นเด็กๆ
“ว่าพี่แก่เหรอ” แปรงทาสีในมือน่านถูกนำไปป้ายแก้มของคะนิ้ง
“งื้อ~~พี่น่าน เดี๋ยวหน้าหนูเป็นสิว”
“มึงแกล้งกู ยังจะแกล้งน้องกูอีก” ตันน้ำพุ่งตัวเข้าใส่หมายจะถีบเพื่อน แต่น่านก็ใช้คะนิ้งเป็นกำบังให้ตัวเอง
“มึงคิดว่ากูจะยอมให้มึงเตะง่ายๆ เหรอ ไม่มีทางหรอกเว้ย” น่านจับไหล่คะนิ้ง หลบหลีกฝ่าเท้าต้นน้ำพัลวัน
“โอ้ย อะไรของพี่สองคนเนี่ย” ตัวคะนิ้งเหวี่ยงโยกไปตามแรง ขบขันกับการกระทำเหมือนเด็กของทั้งคู่
ป๊าบ!! ป๊าบ!!
“เล่นกันเป็นเด็กไปได้ มันใช่เวลาไหม” ต้นน้ำกับน่านหยุดวิ่งไล่เตะกันเพราะฝ่ามืออรหันต์ของธารา แม้แต่คะนิ้งยังทำคอกื๋อ นึกว่าจะโดนไปด้วย
“หัวกูสั่นเลย” น่านลูบหัวตัวเองป่อยๆ
“เพราะมึงเลย เล่นไม่เข้าท่า” ต้นน้ำไม่ว่าเปล่า แย่งแปรงทาสีมาป้ายหน้าน่านบ้าง แล้วยกเท้าถีบไปอีกที
“มึงเอาคืนกูจนคุ้มเลยนะไอ้ต้นน้ำ” น่านลุกขึ้นมาได้ก็จะเอาคืน ต้นน้ำก็พร้อมตั้งรับและเอาคืนเช่นกัน
“ยัง ยังอีก ไปล้างหน้าแล้วมาทำงานต่อ” เสียงดุดันของธาราทำเอาเพื่อนทั้งสองชะงัก
“เป็นไง พ่อมึงด่าเลย เพราะมึงเลย มึงนั่นแหละ…” น่านกับต้นน้ำยังคงเถียงกันไปเถียงกันมาตลอดทาง
“ไอ้พวกนี้นี่ แล้วนี่ไม่ไปล้างหน้าล่ะ ยืนเอ๋ออยู่ได้” ธาราส่ายหน้าเอือมระอาเพื่อนทั้งสอง เมื่อหันมาก็เห็นคะนิ้งยืนยิ้มและมองมาที่ตน
“ปากร้ายกับหนูเหรอ” คะนิ้งหุบยิ้มในพลัน จ้องหน้าธาราเขม็ง แล้วพุ่งเข้าหา สองมือจับดึงเสื้อของเขา แล้วเอาหน้าถูไถเช็ดคราบสี
“เฮ้ย! คะนิ้งหยุด”
“…” ใบหน้าจิ้มลิ้มที่งอเง้าเงยขึ้นสบสายตากับคนตัวสูง เขาเห็นความดื้อรั้นในแววตาเธอ
“ปล่อย” เสียงทุ้มกดต่ำอย่างออกคำสั่ง พร้อมสายตาดุดัน
“กลัวหวั่นไหวให้หนูล่ะสิ”
“เพ้อเจ้อ”
“หนูชอบพี่จริงๆ นะ เป็นแฟนหนูเถอะ”
“บอกไปแล้วว่าไม่ชอบเด็ก”
“เด็กอะไรจะนมใหญ่ขนาดนี้” คะนิ้งจงใจเบียดหน้าอกเข้าหากายแกร่ง
“เป็นผู้หญิงพูดจาให้มันดีๆ ใครมาได้ยินเข้ามันจะไม่ดีกับตัวเองนั่นละ”
“ที่แท้ก็เป็นห่วงหนูนี่เอง”
“เฮ้อ!”
“พี่กินข้าวมันไก่ไหม”
“อะไรของเธอ”
“ข้าวมันไก่หรือจะสู้ ข้าวมาใกล้ๆ หน่อยอยากกอด” พูดจบ คะนิ้งก็กอดหมับเข้าที่เอวสอบ เกยคางกับอกแกร่ง ใบหน้าทะเล้น
“ปล่อย” ธาราพยายามแกะแขนเรียวเล็กที่กอดรัดเขาออก
“ไม่ อยากกอดแฟน”
“จะไม่ปล่อยใช่ไหม” น้ำเสียงนั้นแข็งกร้าวดุดันขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับแววตา
“หนูปล่อยก็ได้” คะนิ้งยอมคลายวงแขน แล้วก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว… เมื่อได้ระยะที่พอใจก็กระโดดตัวลอยหาธารา แขนเรียวโอบรอบลำคอแกร่ง เรียวขาเล็กเกี่ยวกระหวัดสะโพกสอบไว้
“เล่นอะไรบ้าๆ ถ้าเกิดพี่รับไม่ทันจะทำยังไง” น้ำเสียงนั้นดุขึง แต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ก็หล่นไง” คะนิ้งตอบหน้าทะเล้น เธอมั่นใจว่าเธอจะไม่มีทางหล่นลงไป เพราะมือของคนตรงหน้าช้อนสะโพกของเธอประคองไว้ทันทีที่เธอกระโดดถึงตัวเขา
“ยัยตัวแสบ”
“หนูเป็นยัยตัวแสบของพี่ เป็นปีศาจน้อยของพี่ แล้วเมื่อไรหนูจะได้เป็นที่รักของพี่”
“ไม่มีวัน”
“หนูไม่น่ารักเหรอ” คะนิ้งตีหน้าเศร้าเตรียมบีบน้ำตา
“ไม่ต้องมามารยาทำเป็นบีบน้ำตา ไม่หลงกล” ธาราว่าอย่างรู้ทัน มือหนาเปลี่ยนมาจับเอวคอด อุ้มร่างเล็กลง แล้วเดินหนีไปทาสีอาคารต่อ
“ไม่รู้แหละ หนูเป็นแฟนพี่ พี่ก็ต้องเป็นแฟนหนู” คะนิ้งตะโกนสุดเสียงอย่างไม่อายใคร ก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึงปัง ชนไหล่พี่ชายที่เดินกลับมาพร้อมน่าน
“คะนิ้งออกจะน่ารัก มึงไม่ชอบหน่อยเหรอวะ” น่านถาม
“ถ้าน่ารัก มึงก็ชอบเองเลยดิ” ธารากระแทกแปรงลงกระป๋องสี เงยหน้ามองคนถาม
“มึงพูดเองนะ ถ้ากูจีบคะนิ้ง มึงจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะเว้ย”
“มึงถามตีนไอ้ต้นน้ำมันด้วยล่ะกัน” ว่าแล้วก็เดินชนไหล่น่านออกไป
“กู…” น่านยกยิ้มกับอาการหงุดหงิดของธารา และหันมาจะพูดกับต้นน้ำ
“กูไปช่วยจัดของบริจาคทางนู้น” ว่าแล้วก็เดินไปทันที
“อ้าวเฮ้ย ไอ้ต้นน้ำ อะไรของมันวะ”
หลังจากเร่งทาสีอาคารเรียนและห้องสมุดจนเสร็จ ก็ถึงเวลามอบของจำพวกอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา และเงินบริจาคจำนวนหนึ่งแก่ตัวแทนของทางโรงเรียน และแยกย้ายกันกลับ
“มึงกับคะนิ้งกลับสกลนครเลยไหมวะ” น่านถาม
“ต้องไปมหาสารคาม พรุ่งนี้คะนิ้งมีสอบสัมภาษณ์”
“อย่างคะนิ้งผ่านฉลุยอยู่แล้ว”
“สาธุ ขอให้สมพรปากนะคะ หนูหวังกับที่นี่มากเลย”
“แล้วทำไมอยากมาเรียนที่นี่ล่ะ ทำไมไม่เรียนที่เชียงราย เชียงใหม่ หรือกรุงเทพฯ ไปเลย”
“อยากเรียนไกลบ้านไง อยากออกมานอกกรอบ” ต้นน้ำเป็นคนตอบ
“อย่างที่พี่ต้นน้ำพูดเลยค่ะ จะไปเรียนกรุงเทพฯ ก็ไม่รู้จักใคร คุณพ่อก็เลยไม่ให้ไป หนูเลยเลือกที่นี่ เพราะใกล้ที่ทำงานพี่ต้นน้ำค่ะ”
“ไปเรียนกรุงเทพฯ ก็รู้จักพี่ไง ไอ้ธาราก็ด้วย มันต้องเข้าสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ เป็นประจำอยู่แล้ว”
“แล้วมึงเป็นคนในครอบครัวกูตั้งแต่เมื่อไร”
“อ๋อ กูต้องเป็นน้องเขยมึงก่อนสินะ ถึงจะเป็นคนในครอบครัวมึง”
“พี่น่านจะจีบหนูไม่ได้ เพราะหนูมีแฟนอยู่แล้ว พี่น่านก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วด้วย” คะนิ้งมองหน้าธารา เพราะแฟนที่เธอหมายถึงก็คือเขา แต่เขาก็ทำเป็นหูทวนลม มองไปทางอื่น
“พี่ไม่มีนะ ตอนนี้โสดแต่ไม่สนิท”
“แยกย้ายกันกลับได้แล้ว เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน แล้วนี่มึงจะตามไอ้ธาราไปเชียงรายหรือเปล่า” ตันน้ำตัดบทก่อนที่จะยืดเยื้อมากไปกว่านี้
“ไปดิ กูกับไอ้ธาราคุยกันไว้ว่าจะไปพิชิตเมืองลับแลกันก่อน แล้วค่อยไปเชียงราย” น่านกับธาราตกลงกันว่าจะไปเที่ยวอุตรดิตถ์กันต่อ จังหวัดที่เต็มไปด้วยบรรยากาศธรรมชาติ วัดเก่าสมัยล้านนา เขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ น้ำตก อุทยานแห่งชาติ และที่เที่ยวอุตรดิตถ์ต่างๆ อีกมากมายหลากหลาย
“เออๆ เดินทางปลอดภัยกันนะมึง”
“มึงก็ด้วย” นับเป็นคำพูดแรกของธารา หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ
“แล้วเจอกันนะเว้ย” ต้นน้ำก็ไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนกี่วันที่จะได้มาเจอกันอีก ด้วยภาระหน้าที่ของตัวเขาเอง
“แล้วเจอกัน …มึงก็ไปได้แล้ว” ธาราลากคอน่านไปที่รถ
“คะนิ้ง พี่ไปก่อนนะ จุ๊บๆ ไอ้ธารา มึงจะลากกูทำเชี้ยไร” น่านโบกมือลาคะนิ้ง ส่งจูบให้ ก่อนจะหันมาโวยวายธาราที่ลากถูลู่ถูกังเขาเสียจริง
“เปิ้นจะกิ๊ดเติงหาตั๋วตึงวันน๊ะ ตั๋วจะไปลืมเปิ้นหนา (ฉันจะคิดถึงเธอทุกวันเลย เธอห้ามลืมฉันนะ)” คะนิ้งตะโกนบอกเป็นภาษาเหนือ ก่อนที่กระจกรถของธาราจะเลื่อนปิดสนิท มั่นใจว่าเขาต้องได้ยินชัดเจน