?พลอยร้อยเหลี่ยมเล่ห์?
?ผ้ายับที่พับไว้ : เขียน
———-บทที่ 2
ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!
ฉันตัดสินใจเคาะประตู แต่ทุกอย่างยังคงเงียบ ข้างในดูไม่มีทีท่าจะเปิดประตูรับ แต่พอฉันยกมือจะเคาะอีกทีตามันเพิ่งจะเหลือบไปเห็นว่ามีกริ่งให้กด เวรจริง!! ไม่รู้เขาได้ยินหรือเปล่า ถ้าเขารู้ฉันอายตายเลย บ้านนอก บ้านนา ฉันตั้งสติอีกรอบก่อนจะเอื้อมมือไปกดกริ่งแล้วยืนรออยู่แป้บเดียวประตูก็เปิดออก หลังประตูบานใหญ่ค่อยๆ เปิดมันเผยให้เห็นเจ้าของห้องรุ่นพ่อ แต่ยังหล่อแซ่บมันหยด หุ่นล่ำกล้ามเป็นมัดๆ เหงื่อที่อาบท่วมร่างกายส่งให้มัดกล้ามมันวาวน่าสัมผัส ลมในห้องพัดออกมาทางช่องประตูพัดเอากลิ่นเหงื่อโชยมาปะทะหน้ายิ่งทำให้ฉันจินตนาการไปต่างๆ นานา
“อืม...เข้ามาสิ” ฉันหลุดจากจินตนาการเมื่อได้ยินคำเชิญจากเจ้าของห้อง ฉันพยักหน้ารับแล้วก้าวเข้าไปในห้องทันที ภายในห้องเต็มไปด้วยของตกแต่งสไตล์คลาสสิก คุมโทนสีขาว ทอง และดำอย่างลงตัว
“ชื่ออะไรนะ ฉันจำไม่ได้แล้ว” เจ้าของห้องเดินไปที่โซฟากลางห้องก่อนจะคว้าเอาผ้าเช็ดตัวฝืนสีขาวที่พาดอยู่มาเช็ดตัว ถ้าให้เดาเขาคงเพิ่งจะออกกำลังกายเสร็จแน่นอน ดูจากอาการหอบเล็กๆ กับเหงื่อที่โชกตัวอยู่
“พลอยค่ะ” ฉันตอบเพียงสั้นๆ แต่หนักแน่นด้วยความมั่นใจ อีหลิวบอกว่าคุณอาชาอะไรนี่ ไม่ชอบผู้หญิงขี้อาย พูดจาอู้อี้ไม่ได้ความ การเหนียมอายปั่นราคาไม่ได้ ความฉลาดเท่านั้นที่จะชนะใจคนๆ นี้
“มานั่งก่อนสิ ขอโทษด้วยกลิ่นตัวมันอาจจะแรงไปหน่อย พอดีเพิ่งออกกำลังกายเสร็จก่อนจะมานี่เอง แล้ว...หลิวบอกอะไรบ้างแล้ว” อีหลิวรู้จักกับเขาเป็นอย่างดีเพราะเคยถูกเขาเลี้ยงมาแล้ว แต่เพราะเขาเบื่อง่ายหน่ายเร็ว เลี้ยงอยู่ได้ไม่นานก็เลิกแล้วต่อกัน มันก็ผันตัวจากผู้ขาย มาเป็นนายหน้าจัดหาผู้หญิงไปส่งแขกเก่าของตัวเอง หรือถ้าพูดง่ายๆ ก็เปลี่ยนจากกะหรี่ไปเป็น ‘แม่เล้า’ นั่นแหละ
“ยังไม่ได้บอกอะไรมากค่ะ แค่บอกว่าต้องทำงานแบบไหน ส่วนเรื่องอื่นๆ หลิวบอกว่าคุณจะตกลงกับพลอยเอง”
“อืม....เต็มใจทำใช่ไหม ไม่ได้ถูกหลอกมา หรือว่าโดนใครบังคับมาใช่ไหม” คุณอาชาเอ่ยถามก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ ฉัน แต่ยังเว้นระยะห่างพอสมควร ยิ่งเขาเข้ามาใกล้ฉันยิ่งร้อนรุ่มบอกไม่ถูก มัดกล้ามแน่นๆ ห่างไปแค่เอื้อมมือ กลิ่นเหงื่อผสมกลิ่นน้ำหอมแบรนด์เนมผสมออกมาเป็นกลิ่นผู้ดีจนฉันจะประคองสติแทบจะไม่ไหว
“ค่ะ พลอยเต็มใจทำเอง ไม่ได้โดนหลอกหรือโดนบังคับมา”
“ทำไมถึงมาทำงานนี้ล่ะ ดูเธอก็สวยดี การศึกษาก็ดี จริงๆ คนสวยที่มีการศึกษามาขายให้ฉันเยอะแต่ที่ต่างจากเธอ ก็ไอ้พวกข้าวของที่ใช้ คนอื่นเขาใช้แต่ของแพงๆ แบรนด์ดังๆ ดูเธอก็...ไม่ใช่คนที่จะฟุ่มเฟือยอะไร” เขาว่าพร้อมกับลดสายตาลงมองมือถือของฉัน ที่กำอยู่ในมือสลับกับกระเป๋าไม่มียี่ห้อที่พอจะใส่ของไปเรียนได้วันต่อวัน
“หรือที่บ้านมีปัญหาต้องใช้เงิน”
“ไม่ค่ะ เอาไปเพื่อใช้ส่วนตัว” ฉันยังคงเลือกที่จะตอบตามความจริง คนมากประสบการณ์เป็นผู้บริหารระดับสูงแบบนี้ ยิ่งอายุมากการจะโกหกตอแหลใส่คนแบบนี้ยิ่งถือเป็นการฆ่าตัวตาย
“ขอโทษที่ถามเยอะนะ ฉันแค่อยากแน่ใจว่าเธอเต็มใจที่จะทำงานนี้จริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกสัมภาษณ์งานยังไงยังงั้น ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้เลย
“เธอเรียนอะไรนะ?”
“การตลาดภาคอินเตอร์ค่ะ”
“ใช้เงินเยอะเอาเรื่องเลยสิ มหาลัยนี้ด้วย แสดงว่าที่บ้านก็พอมีฐานะใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ พลอยใช้ทุนรวมกับเงินที่ทำงานหาเก็บไว้” ฉันเริ่มรู้สึกเกร็งๆ บอกไม่ถูกสายตาของคุณอาชาตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เขากำลังใช้สายตาสอดอ่องสำรวจดูร่างกายฉันในระหว่างที่เราคุยกัน
“ได้ทุนเท่าไหร่?”
“ทุนเป็นทุนค่าเทอมค่ะ ประมาณ 70,000 บาท”
“แล้วที่ใช้กินทุกวันนี้ล่ะ” เขายังคงถามต่อเนื่อง
“ก็เงินจากที่ทำงานพิเศษค่ะ”
“ทำงานอะไร?”
“ล้างผักร้านขนมจีนค่ะ” พอฉันตอบไปแบบนั้นคุณอาชาดูเหมือนกำลังกลั้นขำยังไงก็ไม่รู้
“สวยขนาดนี้ ไม่ไปทำพริตตี้ นั่งดริ้ง หรือไปเป็นนางแบบอะไรแบบนั้นล่ะ ล้างผักมันจะได้สักกี่บาท”
“วันละ 150 ค่ะถ้าทำไม่ดีก็โดนหักเหลือ 120”
“แล้วแบบนี้มันจะไปพอค่าหอ ค่าข้าว ค่ารถเหรอ” เขาถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูจะสนใจมาก
“จริงๆ ร้านเป็นของป้าค่ะ เขาให้เราพักอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว ข้าวก็ซื้อกินโรงอาหารช่วงกลางวัน เช้า-เย็นกินที่บ้าน ค่ารถเมล์วันนึงก็ไม่กี่บาทพอได้ต่อเวลาไปวันต่อวันค่ะ”
“อ๋อ ถึงได้มาทำงานนี่งั้นสิ” เขาว่าแต่ตายังคงเล้าโลมไปตามเนื้อตัวของฉันและค่อยๆ ฉายแววหื่นอย่างเห็นได้ชัด
“วันนี้คงยังไม่เริ่มงานหรอก ฉันเหนื่อยแค่อยากเรียกมาตกลงราคากับพวกสัญญาก่อน แล้วนี่....โทรศัพท์ที่เอาไว้คิดต่อกับฉัน ไลน์ที่อยู่ในเครื่องฉันจะใช้เพื่อเรียกเธอ แต่เธอไม่ต้องติดต่ออะไรมา มีปัญหาอะไรไว้คุยตอนเจอกัน และเรื่องของเรา เก็บเป็นความลับให้ดีที่สุด ฉันไม่อยากมีข่าวเสียหาย ส่วนนี่สัญญาเอาไปอ่านให้ละเอียดสงสัยอะไรคราวหน้าจดมาถาม วันนี้ถือว่าทำความรู้จักกันก่อน เดี๋ยวลงไปรอข้างล่าง แล้วฉันจะให้คนไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพลอยกลับแท็กซี่เอง”
“เปลืองเงินเปล่าๆ ไหนว่าไม่มีเงินไง”
“พลอยไม่อยากให้ป้าเห็น เดี๋ยวจะมีปัญหาค่ะ”
“อืม...ตามใจเดี๋ยวเอาเงินค่ารถไปก็แล้วกัน” เขาว่าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่บนโต๊ะห่างออกไปไม่กี่ก้าว
“หวังว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจ แล้วเจอกัน”
“ค่ะ...” ฉันตอบรับก่อนจะยกมือไหว้และรับเงินค่ารถจากเขามา แค่มาคุยยังได้ตั้งพันนึงแหน่ะ ไม่มีทางเปลี่ยนใจหรอก พอกันทีกับตำแหน่งล้างผักเฮงซวยได้เงินค่าแรงแค่ไม่กี่บาท สู้มาทำงานง่ายๆ ได้เงินดีดีไม่ดีกว่าหรือไง...