ตอนที่ ๑๐ สัญญา
ความร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนที่เริ่มเข้ามาเยือน ทำให้บรรยากาศในสวนที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามดูแห้งแล้งตามไปด้วย หนึ่งหญิงหนึ่งชายนั่งประจันหน้ากันระหว่างโต๊ะหินอ่อนกลางสระบัว ดวงตาคู่หนึ่งร้อนแรงไปด้วยโทสะ อีกคู่กลับมืดมิดราวกับห้วงอนธการ ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร
ในที่สุดลู่เสียนก็ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบอันแสนอึดอัดนี้
“ท่านต้องการอะไร”
“ทำสัญญา”
“สัญญา?”
หยางเฟิงเจี๋ยไม่ได้กล่าวอะไร มือหนาหยิบแท่งหมึกมาฝนด้วยความเชื่องช้า ลู่เสียนหงุดหงิดเป็นทุนเดิมจึงคว้าแท่งหมึกไปฝนเองด้วยแรงอารมณ์
“เบาๆ หน่อยสิ แท่งหมึกนี้ราคาแพงมาก หากเจ้าทำมันแตกละเอียดรังแต่จะเสียของ”
แพงมาก? เสียของ?
“คิดว่าข้าไม่มีปัญญาจ่ายหรือ?” มือบางบีบแท่งหมึกจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง หยางเฟิงเจี๋ยเห็นท่าทางเอาเรื่องของลู่เสียนจึงได้แต่ลอบกลืนน้ำลายไม่กล้าพูดขัดใจนาง
ลู่เสียนผลักแท่นฝนหมึกให้หยางเฟิงเจี๋ยโดยแรงแล้วกอดอกพิงพนักพิง ดวงตาวาววับแฝงรอยกดดัน
ลืมตัวไปว่ามือของตัวเองเปรอะเปื้อนหมึกสีดำจนชายหนุ่มต้องกลั้นหัวเราะ
ไม่ได้! หากไม่กล้าสบตานางก็นับว่าเขากำลังถูกข่มเหงรังแก!
หยางเฟิงเจี๋ยยืดตัวขึ้น ตีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเดิมราวกับว่าไม่ได้สนใจท่าทีก้าวร้าวของลู่เสียน พู่กันตวัดลงบนกระดาษด้วยความรวดเร็วทว่าหนักแน่น
กลิ่นหมึกทำให้ลู่เสียนใจเย็นลงเล็กน้อย แม้ว่าจะรำคาญใบหน้าเย็นชาของเขาก็ตามที
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป หยางเฟิงเจี๋ยก็ร่างสัญญาส่วนของเขาเสร็จแล้วยื่นให้ลู่เสียนอ่าน
สัญญาว่าด้วยการรับอนุของหยางเฟิงเจี๋ย
ข้อหนึ่ง หมิงลู่เสียนยังคงมีอำนาจเบ็ดเสร็จในตัวเอง ยกเว้นตอนที่มีเชื้อพระวงศ์หรือญาติผู้ใหญ่อยู่ร่วมด้วยจะต้องกลายเป็นไป๋เฟิ่ง
ข้อสอง ในระหว่างการทำสัญญา หมิงลู่เสียนจะต้องพักอยู่ในจวนหรือที่ใดก็ตามที่หยางเฟิงเจี๋ยอาศัยอยู่ ทว่าสามารถออกไปไหนมาไหนได้โดยฐานะของเสี่ยวเสียนหรือหมิงลู่เสียน
ข้อสาม หากหมิงลู่เสียนผิดสัญญาจะต้องโทษอาญาแผ่นดินฐานหมิ่นเบื้องสูง ถูกปรับสามแสนตำลึงทองและถูกเปิดโปง
มือทั้งสองข้างของลู่เสียนสั่นเทา ดวงตาของนางแดงก่ำด้วยความไม่พอใจ
“น่าตายนัก! เป็นสัญญาที่ท่านมีแต่ได้เปรียบ!”
“เป็นเพราะเจ้ามีความลับมากมายเกินไป สัญญาจึงเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นจงยอมเสียเถิด” หยางเฟิงเจี๋ยตีหน้าขรึม
ลู่เสียนกัดริมฝีปากจนห้อเลือด มือบางแย่งพู่กันจากมือของชายหนุ่มแล้วจุ่มหมึกก่อนจะตวัดเขียนด้วยความรวดเร็วตามแรงอารมณ์
ข้อสี่ หยางเฟิงเจี๋ยและหมิงลู่เสียน ทั้งสองคนห้ามขึ้นทะเบียนกันในฐานะสามีภรรยา หยางเฟิงเจี๋ยไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินและร่างกายของ หมิงลู่เสียนรวมไปถึงการกักขังหน่วงเหนี่ยวใดๆ แต่หมิงลู่เสียนมีสิทธิ์ทุกประการในทรัพย์สมบัติของหยางเฟิงเจี๋ย หากมีการขัดขืนจะถือว่าหยางเฟิงเจี๋ยเป็นฝ่ายผิดสัญญา และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่หมิงลู่เสียนเป็นจำนวนสามแสนตำลึงทอง รวมทั้งเขียนจดหมายยืนยันความบริสุทธิ์ของ หมิงลู่เสียนเมื่อหมดสัญญา
ข้อห้า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกหลุมรักอีกฝ่าย หรือมีคนรัก สัญญาทั้งหมดถือเป็นข้อยุติและคืนอิสระให้แก่คนทั้งสอง
ลู่เสียนไม่ต้องการให้เรื่องราวเอิกเกริก จึงลอบปลอมตัวเป็นเสี่ยวเสียนออกจากที่นั่น
หยางเฟิงเจี๋ยคิดอ่านได้รอบคอบนัก ก่อนจะพาตัวนางมาที่ตำหนัก ได้สั่งให้สาวใช้ทั้งสองจัดเตรียมข้าวของเอาไว้
ให้พวกนางขนเข้าทางด้านหลังตำหนัก…
หึ! เป็นอนุจึงไม่สามารถเข้าทางประตูใหญ่ได้ ธรรมเนียมบ้าบอเหล่านี้นางหาได้สนใจไม่ ดีเสียอีก ผู้คนจะได้ไม่ต้องสงสัยมากมายเกี่ยวกับไป๋เฟิ่ง
ที่น่าเจ็บใจก็คือคนร้ายกาจผู้นี้กลับคาดเดาตัวตนของนางออกตั้งแต่แรกและย้อนดาบคืนสนองนางจนเจ็บแสบเช่นนี้
สถานที่แรกที่ลู่เสียนมุ่งหน้าไปก็คือหอเกอจื่อ...เกรงว่าตอนนี้พี่กู้คงจะสับสนงงงวยไม่แพ้ชาวเมืองเป็นแน่
คนงานส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเสี่ยวเสียนก็คือลู่เสียน ด้วยนางเดินเข้าหอเกอจื่อในฐานะเสี่ยวเสียนมาโดยตลอด มีเพียงกู้เหยียนชิงและหม่าซุ่ยเหลียนเท่านั้นที่รู้ความจริง
“อ้าวเสี่ยวเสียน วันนี้มาแต่หัววันเลยนะ” นักส่งสารนามเย่เหอเอ่ยทักลู่เสียน ขณะที่นางกำลังเดินเข้าไปในหอเกอจื่อ ในมือของเขาถือกระดาษม้วนหนึ่งเอาไว้
“ข้ามีธุระกับคุณชายกู้ จึงรีบมาแต่เช้า” ลู่เสียนอมยิ้มสุภาพ พลางก้มหัวให้เขาเพื่อขอตัว
“เดี๋ยว! เจ้าได้ข่าวที่ไป๋เฟิ่งกลายเป็นอนุขององค์ชายสิบสามแล้วหรือไม่?”
ลู่เสียนรู้สึกว่าใบหน้าตนเองเรียบตึงจนรอยยิ้มสุภาพแข็งค้าง แสร้งถอนหายใจกล่าวว่า “น่าเสียดายที่นางไร้วาสนา หากไม่เพราะถูกเมิ่งชิงกดดันเกรงว่านางก็ยังคงเป็นดาวเด่นแห่งหอเฟิ่งหวงเช่นเดิม”
เย่เหอพลันกระจ่าง เขารู้ดีว่าเสี่ยวเสียนชมชอบดนตรีของไป๋เฟิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่แปลกที่จะรู้รายละเอียดลึกล้ำขนาดนี้ ในเมื่อลู่เสียนสีหน้าไม่สู้ดีเขาจึงกล่าวอำลา “เสี่ยวเสียน เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน ไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
“โชคดีพี่เย่”
ลู่เสียนลอบถอนหายใจ พยายามเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปด้านในสุดของหอเกอจื่อเพื่อไม่ให้ผู้คนทักทาย เมื่อเดินจนถึงห้องด้านในสุดก็พบว่ากู้เหยียนชิงกำลังนั่งประลองหมากกับตนเอง ใบหน้าหล่อเหลานั้นเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ทว่าไม่อาจทำให้ลู่เสียนรู้สึกคลายความกังวลใจน้อยลงเลย
“พี่กู้” นางยืนรออยู่หน้าห้อง พะว้าพะวังไม่กล้าเดินเข้าไปเช่นทุกครั้ง
หางตาของกู้เหยียนชิงเหลือบมองลู่เสียนที่ยืนอยู่หน้าห้อง ทว่าไม่ได้เรียกนางให้เดินเข้าไป
…พี่กู้คงโกรธนางเข้าแล้ว
ลู่เสียนกำลังจะอ้าปากอีกครั้ง กู้เหยียนชิงก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่วงท่าสง่างาม ในมือถือขลุ่ยเซียว[1]ที่ทำจากหยกแล้วเดินมาหานาง
“ไปกับข้า” น้ำเสียงราบเรียบของกู้เหยียนชิงทำให้ลู่เสียนรู้สึกราวกับกำลังถูกทำโทษ ได้แต่เดินก้มหน้าตามชายหนุ่มไปโดยไม่อิดออด
ทิวทัศน์เบื้องหลังของหอเกอจื่อเป็นคลองที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบไท่หู ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยที่ชมชอบเดินทางล่องเรือไปทั่วซูโจว คลองมากมายที่เชื่อมต่อกันรอบเมืองกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเดินทางของผู้คน
กู้เหยียนชิงใช้วิชาตัวเบาขึ้นไปบนกำแพงที่สูงราวห้าจั้ง[2] เขาหยุดตรงส่วนของกำแพงที่ถูกปกคลุมด้วยร่มเงาของต้นไผ่ ลู่เสียนจำต้องปีนกำแพงตามเขาอย่างเสียมิได้
“ข้า…”
กู้เหยียนชิงเป่าเซียวขึ้นราวกับจงใจขัดจังหวะการพูดของลู่เสียน ท่วงทำนองที่สูงต่ำเนิบช้าทว่าละเอียดอ่อนคล้ายการระบายอารมณ์ด้วยโทสะและการตัดพ้อต่อว่านั้นทำให้นางถึงกับจนคำพูด
พี่กู้คงโกรธที่นางวู่วาม…
ลู่เสียนจึงจำต้องสงบเสงี่ยมเจียมตนแล้วนั่งมองเสี้ยวหน้าที่แปรเปลี่ยนตามจังหวะอารมณ์ของเซียวที่เขาเป่า
เนิ่นนานนับชั่วยามจนกระทั่งดวงตะวันตั้งอยู่กลางศีรษะเขาจึงหยุดเป่ามัน
“พี่กู้…” ลู่เสียนเกรงว่าเขายังไม่หายโกรธจึงเรียกอีกครั้งด้วยใบหน้าหม่นหมอง
คราวนี้กู้เหยียนชิงหันมามองหน้านางอย่างเต็มตา มือหนายืนออกมาหยิบใบไผ่บนไหล่ของลู่เสียนทิ้ง นางมองการกระทำของเขาด้วยความงุนงง
มุมปากของกู้เหยียนชิงปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับสายฝนในฤดูใบไม้ผลิสายหนึ่ง นั่นทำให้ลู่เสียนรู้สึกลิงโลด
“พี่กู้...ท่านไม่ได้โกรธข้าแล้วหรือ?”
“ข้าจะโกรธเจ้าเรื่องอะไร...หากไม่เพราะองค์ชายสิบสามช่วยเจ้าไว้ ป่านนี้แล้วเจ้าอาจจะถูกเมิ่งชิงทุบตีอยู่ที่ใดสักแห่งในซูโจวไปแล้ว”
กู้เหยียนชิงยิ้มบางๆ ดวงตาทอแววอ่อนโยน
ลู่เสียนรู้สึกตื้นตันจนอดพรั่งพรูความจริงให้กู้เหยียนชิงฟังไม่ได้
“องค์ชายสิบสามผู้นี้คิดอ่านรอบคอบ เจ้าระวังเขาให้มาก...คนที่ขึ้นเป็นแม่ทัพตั้งแต่วัยหนุ่มหาใช่คนที่จะดูถูกได้”
“ข้าทราบดี แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ยอมให้เสียเปรียบแม้เพียงครึ่งคำ” ลู่เสียนยิ้มกว้าง จนกู้เหยียนชิงอดดีดหน้าผากนางเบาๆ ไม่ได้
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาชะงักนิ่ง สายตาเหม่อมองไปยังระหว่างคิ้วของลู่เสียนอย่างอดไม่ได้ มือสากหนาลูบไล้ตรงจุดนั้นแผ่วเบา
“เสี่ยวลู่...อย่าลืมว่าเจ้าจะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดเรื่องปานแดงกลางหน้าผาก”
ลู่เสียนพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี ไปอยู่กับองค์ชายสิบสามอย่าซุกซนนัก หน้าต่างมีหูประตูมีตา บอกโม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์ระวังคำพูดให้ดี”
ลู่เสียนโยกศีรษะหลบมือของกู้เหยียนชิงอย่างเป็นธรรมชาติ “พี่กู้ ท่านอย่าลืมให้คนส่งตำราไปให้ข้าด้วยนะ อีกไม่นานก็จะสอบแล้ว ข้าไม่อยากพลาด”
กู้เหยียงชิงอมยิ้ม ขยับกายให้อยู่ท่วงท่าที่สบาย สายตาทอดไปยังเรือลำเล็กของบรรดาคุณหนูคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่ล่องตามเส้นทางของคลอง ปลายของขลุ่ยเซียวชี้ไปยังเรือลำหนึ่งที่ประดับด้วยดอกไม้และผ้าไหมเนื้อดี “เจ้าดูนั่นสิ คู่หมั้นขององค์ชายสิบสาม คุณหนูเมิ่ง เมิ่งไป๋อิง”
ลู่เสียนมองตามทิศทางที่กู้เหยียนชิงชี้ให้ดู พลันเห็นเรือขนาดกลางเคลื่อนมาช้าๆ บนเรือมีดรุณีผู้หนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ เมิ่งไป๋อิงหน้าตางดงามน่าทะนุถนอม ใบหน้าจิ้มลิ้มอ่อนหวานและดูเหมือนดอกอิงฮวา[3]ดอกเล็กๆ กลางหน้าผากมีแต้มสีแดงรูปดอกไม้ขนาดเล็ก ท่วงท่าในการนั่งและการตวัดจับพู่กันในมือล้วนเป็นเอก ยามนางแย้มยิ้มประหนึ่งน้ำค้างแรกยามวสันตฤดู
งดงามบอบบางจนชวนลืมหายใจ…
“คู่แข่งของเจ้าน่ากลัวนัก” กู้เหยียนชิงกล่าวล้อเลียน
ลู่เสียนยักไหล่ “ข้าก็แค่ซ่อนตัวอยู่ในเรือนเล็กอย่างสงบเสงี่ยม เช่นนี้จะได้มีเวลาเที่ยวเล่นเป็นอย่างไร?” นางจำต้องรับมุก อดไม่ได้ที่จะประชดประชัน
กู้เหยียนชิงแสร้งปรบมือแล้วก็ร้องยินดี “ไม่เลว ไม่เลว เจ้ารู้จักฉลาดขึ้นแล้ว”
ลู่เสียนหน้ามุ่ย “พี่กู้!!!”
[1] เซียว มีรูปร่างคล้ายๆกับขลุ่ยไม้ไผ่ (flute) มักจะทำด้วยไม้ไผ่สีม่วง สีเหลือง สีขาว ตัวเซียวยาวกว่ากว่าขลุ่ยนิดหน่อย ปลายขลุ่ยบน ปิดหลอดโดยอาศัยข้อไม้ไผ่ เปิดรูเป่าเล็กรูหนึ่ง ด้านหน้าเซียวมี ๕ รู ด้านหลังมีอีกรูหนึ่ง ข้างล่างของเซียว ยังมีอีก ๓-๔ รู ใช้ปรับเสียงให้ไพเราะขึ้น และมีเสียงดังขึ้น
[2] จั้ง หน่วยวัดระยะของจีน ระยะประมาณ ๓.๓ เมตร
[3] อิงฮวา ดอกซากุระ