ตอนที่ ๗ เทศกาลเดือนห้า
วันที่ห้าเดือนห้า ริมทะเลสาบไท่หู
โคมไฟหลากสีสันถูกประดับเรียงรายตามบ้านเรือนที่อยู่บนถนนริมทะเลสาบทอดไกลจนสุดลูกหูลูกตา ลู่เสียนในร่างของเสี่ยวเสียนแต่งตัวสะอาดสะอ้านเดินชมสินค้าด้วยความตื่นเต้น ด้านข้างของนางคือยอดบุรุษแห่งหอเกอจื่อ กู้เหยียนชิง ชายหนุ่มสองคนเดินเคียงกัน เรียกความสนใจจากบรรดาผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้ชะงัด
ลู่เสียนไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้น นางเหลือบไปเห็นหน้ากากมากมายที่แผงของนักกายกรรมปาหี่ จึงเดินเข้าไปชมด้วยความสนใจ
“พี่กู้...ท่านว่ามันสวยหรือไม่?” ลู่เสียนหยิบหน้ากากจิ้งจอกให้กู้เหยียนชิงดู เห็นหน้ากากจิ้งจอกสีขาวประดับด้วยแต้มสีแดงกลางหน้าผาก ทำให้ลู่เสียนนึกถึงตัวเองขึ้นมา
ชายหนุ่มที่เดินตามมาเงียบๆ รับหน้ากากจากมือนางไปพินิจดูก่อนจะพูดว่า “หน้ากากจิ้งจอกหรือจะสู้หน้ากากวัวได้”
ลู่เสียนหน้ามุ่ย “ถ้าอย่างนั้นท่านก็เอาหน้ากากวัวไป ข้าจะเอาหน้ากากจิ้งจอกอันนี้” นางหยิบหน้ากากขึ้นมาลองสวมแล้วหันหน้าให้กู้เหยียนชิงดู หัวเราะชั่วร้ายในลำคอ “หึหึ พี่กู้”
กู้เหยียนชิงยิ้มมุมปาก ส่งให้ใบหน้าหล่อเหลาน่ามองยิ่งขึ้น หยิบหน้ากากวัวฝีมือประณีตขึ้นมาดู “เถ้าแก่ หน้ากากสองอันนี้เท่าไร”
เถ้าแก่เจ้าของแผงยิ้มตาหยี “อันละสามอีแปะขอรับคุณชาย”
ลู่เสียนจับมือกู้เหยียนชิงไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะควักเงิน ยิ้มมุมปาก “พี่กู้ ข้าจ่ายเอง เงินแค่นี้เทียบไม่ได้กับที่ข้าหาได้จากท่าน”
กู้เหยียนชิงเลิกคิ้ว ปล่อยให้ลู่เสียนควักเงินจ่าย “เสี่ยวลู่ที่ขี้เหนียวยิ่งกว่าใครช่างมีน้ำใจกับข้านัก”
ลู่เสียนหัวเราะ “ข้าไม่ปล่อยให้ต้นไม้เงินต้นไม้ทองเช่นท่านต้องมาจ่ายเงินกับเรื่องแค่นี้หรอก”
“หึ ดูท่าแล้วเจ้าจะร่ำรวยกว่าข้าเสียอีก”
ลู่เสียนอมยิ้ม เงินที่นางได้จากหอเฟิ่งหวงและหอเกอจื่อ เรียกได้ว่าใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด จะอย่างไรมีเกินก็ย่อมดีกว่าขาด นานๆ ทีจะได้ตอบแทนพี่กู้ เงินสามอีแปะไม่คณามือนางหรอก
กู้เหยียนชิงปล่อยให้ลู่เสียนเดินชมสินค้าไปเรื่อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองแผ่นหลังบอบบางในคราบบุรุษอย่างล้ำลึก มุมปากกดลึกเป็นรอยยิ้มที่นานๆ จะเห็นที
“เสียวเสียน!”
เสียงเรียกของใครบางคนทำให้ลู่เสียนและกู้เหยียนชิงหยุดชะงัก เมื่อหันไปมองฝั่งตรงข้ามของถนนจึงพบกับใบหน้าหล่อเหลาของเยี่ยเหวินอี้ มือปราบอันดับหนึ่งของซูโจว
“พี่เยี่ย” ลู่เสียนฉีกยิ้มกว้าง รีบเดินเข้าไปหามือปราบหนุ่ม ข้างๆ เขามีชายหนุ่มอีกสองคนเดินตามมา คนหนึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาสะอาดตา อีกคนเป็นบุรุษรูปงามเปี่ยมสง่าราศี ใบหน้าเรียบนิ่งเฉยชาดุจมีกำแพงอีกชั้นกั้นขวางไว้
“น้องเสี่ยวเสียน นี่สหายข้า องค์ชายสิบสามหยางเฟิงเจี๋ยและฉินหลี่เปียวคุณชายรองตระกูลฉินแห่งซูโจว”
สิ้นคำของเยี่ยเหวินอี้หางตาของลู่เสียนก็กระตุก ความรู้สึกประหลาดใจพุ่งเข้าจู่โจม
“สวัสดีคุณชายฉิน องค์ชายสิบสาม นี่พี่บุญธรรมข้า กู้เหยียนชิง” ลู่เสียนรีบแนะนำพวกเขาให้รู้จักกับบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังนาง
กู้เหยียนชิงยิ้มกว้าง สวมวิญญาณนักเจรจา รีบทักทายทั้งสามคนด้วยความนอบน้อม “สวัสดีองค์ชายสิบสาม ท่านเยี่ย คุณชายฉิน”
เยี่ยเหวินอี้พอได้ยินชื่อของกู้เหยียนชิงก็หรี่ตาลง “ที่แท้เป็นท่านเองหรือ เจ้าหอเกอจื่อ” น้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกทำให้กู้เหยียนชิงอมยิ้ม
ดวงตาหนึ่งคู่ปะทะกับชายหนุ่มทั้งสาม บรรยากาศเริ่มอึดอัดแปลกๆ ลู่เสียนจึงเอ่ยทำลายความน่าอึดอัดเหล่านี้ “ทุกท่าน อีกไม่นานการแข่งเรือก็เริ่มขึ้นแล้ว มิสู้ไปนั่งรวมกันดีหรือไม่”
“พวกเราจองที่นั่งเอาไว้ คงไม่รบกวนคุณชายกู้กับน้องเสี่ยวเสียนแล้ว” ฉินหลี่เปียวพูด ดวงตาจับจ้องไปยังที่นั่งพิเศษที่อยู่บนชั้นสองของหอเฟิ่งหวง
ลู่เสียนแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน “ถ้าเช่นนั้นพวกข้าต้องขอตัว”
ลู่เสียนลากกู้เหยียนชิงออกมาจากกลุ่ม แผ่นหลังเสียววาบราวกับถูกจับจ้อง เมื่อพ้นสายตาของคนทั้งสามนางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“พี่กู้ ข้าขอไปเตรียมตัวก่อน” ลู่เสียนต้องเตรียมขึ้นบรรเลงเพลงในฐานะไป๋เฟิ่งหลังจากที่การแข่งเรือเริ่มขึ้น มือข้างที่ได้รับบาดเจ็บของนางหายเกือบสนิทแล้ว คราวนี้จึงสามารถดีดพิณได้โดยไม่มีปัญหา
ลู่เสียนยื่นหน้าเข้าไปใกล้กู้เหยียนชิงยิ่งขึ้น สงสัยว่าเขากำลังเหม่อมองอะไรอยู่? “พี่กู้...พี่กู้!” ลู่เสียนยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนกู้เหยียนชิงที่ได้สติถึงกับตกใจถอยกรูด
“เสี่ยวลู่! เจ้าทำอะไร?”
ลู่เสียนเกาศีรษะ “ท่านเอาแต่เหม่อ ข้านึกว่าเป็นอะไรไปซะอีก ข้าไปก่อนนะ วันนี้ต้องรีบไปเตรียมตัว” พูดจบนางก็ขยิบตาให้กู้เหยียนชิงแล้วสวมหน้ากากจิ้งจอกเอาไว้ หายลับไปท่ามกลางผู้คน
ท่าทางของลู่เสียนและกู้เหยียนชิงไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของบุรุษทั้งสามที่ยืนอยู่ที่เดิมได้
“หลี่เปียว! เจ้าว่าเจ้าปีศาจกู้จะรู้หรือไม่ว่าเสี่ยวเสียนเป็นสตรี?”
“ย่อมต้องรู้ มิเช่นนั้นจะให้ความสนิทสนมกับนางถึงเพียงนี้หรือ?” ฉินหลี่เปียวตอบยิ้มๆ พัดในมือเคาะที่ศีรษะของเยี่ยเหวินอี้เบาๆ “ไปกันเถอะ หมอนั่นไปนู่นแล้ว”
เยี่ยเหวินอี้แม้จะไม่พอใจที่ถูกตี ทว่าก็ต้องรีบเดินตามไป เพราะว่า หยางเฟิงเจี๋ยเดินไปไกลแล้ว
“เจ้าคนเข้าใจยาก! จะรีบไปไหนกัน”
หยางเฟิงเจี๋ยกำลังสงสัยบางอย่าง เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนผู้หนึ่งจะเสียงเหมือนกันกับอีกคน...รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงหัวเราะของเสี่ยวเสียนยิ่งนัก
‘ไม่ใช่ว่านางคือคนคนเดียวกันนะ’
แม่เล้าหยวนพาหญิงคณิกาออกมาต้อนรับสามบุรุษแห่งซูโจว ทุกนางล้วนหน้าตางดงามหมดจด ผิวพรรณเปล่งปลั่งสะอาดสะอ้านราวกับบุตรสาวตระกูลผู้ดี กลิ่นดอกไม้หอมนานาพันธุ์หลอกล่อให้บรรดาบุรุษใจสั่น
“องค์ชายสิบสาม ท่านเยี่ย คุณชายฉิน! เด็กสาวเหล่านี้เพิ่งมาใหม่ ยังไม่เคยผ่านมือชายใด งานเทศกาลในครั้งนี้ถือว่าเปิดตัวพวกนาง ท่านโปรดเมตตาพวกนางด้วย” พูดจบก็เดินนำทั้งสามไปยังชั้นสองที่สามารถมองเห็นการแข่งเรือได้ พื้นที่ชั้นสองถูกกันไว้สำหรับขุนนางและลูกหลานเศรษฐีเท่านั้น ที่นั่งของทั้งสามเป็นระเบียงด้านในสุดของหอเฟิ่งหวงที่ยื่นออกไปยังท้องทะเลสาบไท่หู
บรรยากาศยามฤดูร้อนทำให้กระแสลมยามค่ำคืนพัดโชยเป็นพิเศษ เสื้อผ้าโปร่งบางของบรรดาหญิงคณิกาโบกพลิ้วจนแนบชิดเข้ากับสัดส่วนของร่างกาย เนินเนื้อขาวผ่องโผล่ให้เห็นวับๆ แวมๆ กระตุ้นอารมณ์ ชวนให้บรรดาคนหนุ่มทั้งหลายถึงกับสูดลมหายใจด้วยความหื่นกระหาย
แม่เล้าหยวนรอให้คนทั้งสามนั่งประจำที่ จึงเรียกตัวยอดคณิกาคนใหม่แห่งหอเฟิ่งหวงเข้ามาให้พวกเขาเชยชม
“เซวียนเซวียน เข้ามา!” สิ้นเสียงของแม่เล้าหยวน เสียงดนตรีจังหวะสนุกสนานของแดนตะวันตกก็ดังขึ้น กลิ่นหอมรุนแรงของดอกไม้หลากชนิดและเครื่องหอมโชยมาตามลม ทำให้บรรดาชายหนุ่มทั้งหลายถึงกับลุกขึ้นมองหา ร่างอวบอิ่มขาวนวลใต้เกาะอกสีแดงสดรับกับกระโปรงสีเดียวกันโบกสะบัดตามจังหวะการโยกย้ายสะโพก นางก้าวลงมาจากชั้นบน ใบหน้าถูกปิดครึ่งหนึ่งไว้ด้วยผ้าสีแดงบาง เผยให้เห็นดวงตาคมหวานที่ถูกตกแต่งอย่างงดงาม ยามที่นางย่างกรายตามจังหวะเพลง กลิ่นหอมฟุ้งก็กระจายไปทั่วทั้งชั้น กระชากอารมณ์จนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
เซวียนเซวียนหรี่ตายั่วเย้า ร่างระหงเคลื่อนย้ายไปมาจนมาหยุดต่อหน้าเยี่ยเหวินอี้ นางจึงทรุดกายนั่งลงบนตักของชายหนุ่ม จนคนทั้งชั้นสองโห่ร้องด้วยความอิจฉา
เยี่ยเหวินอี้ตื่นตะลึง เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมหวานกว่าอิสตรีแดงก่ำราวกับคนเมาสุรา รับรู้ถึงร่างนุ่มนิ่มที่เต็มไปด้วยความเป็นสตรีของคณิกาหน้าใหม่
“เซวียนเซวียนคารวะนายท่านเยี่ย” น้ำเสียงใสราวกับกระดิ่งลมของเซวียนเซวียนทำให้หัวใจของเยี่ยเหวินอี้เต้นกระหน่ำ นางยื่นจอกสุราให้กับชายหนุ่ม
เยี่ยเหวินอี้รับจอกสุรามาดื่มอย่างช่วยไม่ได้ รีบมองหาความช่วยเหลือจากสหายทั้งสอง
น่าเสียดายที่ฉินหลี่เปียวและหยางเฟิงเจี๋ยทำเป็นมองไม่เห็น เยี่ยเหวินอี้กลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก จำเป็นต้องรับสุราจากเซวียนเซวียนมาดื่มอย่างช่วยไม่ได้
ฉินหลี่เปียวลอบยิ้ม ส่งสายตาให้กับแม่เล้าหยวน
แม่เล้าหยวนฉีกยิ้มจนตาหยี “ทุกท่าน! นายท่านเยี่ยซื้อคืนแรกของเซวียนเซียนไปแล้ว โปรดร่วมแสดงความยินดีด้วย”
สิ้นเสียงของแม่เล้าหยวนบรรดาบุรุษทั้งหลายก็โห่ร้อง มีเพียงเยี่ยเหวินอี้ที่สีหน้าซีดเผือด
“เดี๋ยวก่อนแม่เล้าหยวน! ข้าไม่ได้ซื้อคืนแรกของนางเสียหน่อย”
“นายท่านก็...ไม่รู้ธรรมเนียมของหอเฟิ่งหวงหรือ คืนแรกของหญิงคณิกาพวกนางจะเป็นคนเลือกเอง หากบุรุษใดพึงใจก็เพียงรับการคารวะสุราจากพวกนางเพียงหนึ่งจอก ถือเป็นการทำสัญญาอย่างไรเล่า”
เยี่ยเหวินอี้ยิ่งหน้าซีดเผือดเข้าไปใหญ่ เซวียนเซวียนดวงตาเป็นประกาย สบตากับแม่เล้าหยวนที่หัวเราะเสียงแหลมด้วยความพึงพอใจ
หลายคนคิดว่าที่เซวียนเซวียนเลือกเยี่ยเหวินอี้ เพราะบุรุษอีกสองคนที่นั่งอยู่นั้น คนหนึ่งทำท่ารังเกียจนางตั้งแต่แรกเห็น อีกคนก็เย็นชาจนนางรู้สึกกลัว เคราะห์กรรมจึงมาตกอยู่ที่เยี่ยเหวินอี้ผู้นี้แทน
“คุณชายเยี่ย ฝากตัวด้วย” นางแสร้งเขินอาย บดเบียดหน้าอดขาวผ่องเข้ากับร่างแกร่งของเยี่ยเหวินอี้อย่างไม่เกรงใจ ใบหน้าหวานเกินอิสตรีของเยี่ยเหวินอี้ซีดเผือด หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
สรรพสิ่งล้วนมีสิ่งชักนำ โชคชะตาไม่ได้ดำเนินไปตามบัญชาสวรรค์เสมอไป
เมื่อเหตุการณ์เปิดตัวหญิงงามจบลง การแข่งขันเรือมังกรก็เริ่มขึ้น