บทบรรเลงที่ ๑ ตอนที่ ๑ เสี่ยวเสียน (๑)

1404 คำ
บทบรรเลงที่ ๑ ตอนที่ ๑ เสี่ยวเสียน (๑) รัชศกอู่จงที่สามสิบสาม ซูโจว แดนเจียงหนาน[1] รัชศกอู่จง กษัตริย์ทรงธรรม ไพร่ฟ้าชื่นมื่น เมืองที่ได้รับผลประโยชน์จากความสงบสุขมากที่สุดเห็นจะเป็นเมืองรอบๆ ทะเลสาบไท่หู หนึ่งในนั้นคงไม่พ้นเมืองซูโจว การคมนาคมสะดวกสบาย ศิลปวัฒนธรรมโดดเด่น การจัดแต่งสวนในซูโจวถือเป็นยอดศาสตร์ที่มีให้เห็นมากมายตามจวนขุนนางและบ้านคหบดีน้อยใหญ่ ที่ขาดไม่ได้ในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ ดอกบัวบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งเมือง เมื่อบ้านเมืองสงบสุข ความปรารถนาของประชาชนก็คือความสำราญใจ เรื่องราวของผู้อื่นถือเป็นสิ่งบันเทิงใจยิ่ง และเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดกระแสเล่าลือถึงยอดคนรุ่นใหม่ ที่ว่ากันว่าหากต้องการชื่นชมบุรุษหล่อเหลาและสาวงามอันดับหนึ่งต้องมาเยือนซูโจวสักครั้ง ไม่ใช่การกล่าวเกินเลยแม้แต่น้อย ในซูโจวมีการจัดอันดับยอดบุรุษและยอดสาวงามของหอข่าวอันดับหนึ่งเอาไว้ สามบุรุษสี่สาวงามล้วนเป็นยอดคนที่ยากจะพานพบ สามบุรุษอันเลื่องชื่อ ล้วนมิใช่ชนชั้นสามัญ คนแรกคือเยี่ยเหวินอี้ ยอดมือปราบหน้าหยกฉายาพยัคฆ์หมอบ ทุกคดีความล้วนสามารถไขกระจ่างโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ใบหน้างดงามเกินบุรุษจึงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสตรีปลอมตัวรับราชการอยู่เนืองๆ เมื่อความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์ ผู้คนจึงเลิกนำเรื่องที่เขามีใบหน้างดงามมาพูดคุย คนที่สอง คุณชายรองตระกูลฉิน ฉินหลี่เปียวฉายากิเลนหลับ รูปงามองอาจ ใบหน้าหล่อเหลา ผิวพรรณละเอียดสะอาดสะอ้าน แม้กระทั่งสตรียังอาย อัจฉริยะด้านการค้าที่ร้อยปีจะมีเพียงหนึ่ง ตัวการแห่งความมั่งคั่งของตระกูลฉิน พูดถึงความร่ำรวยแล้วไซร้ นอกจากจักรพรรดิคงไม่มีใครเทียบตระกูลฉินได้ คนสุดท้าย หยางเฟิงเจี๋ย องค์ชายสิบสามแห่งจักรพรรดิจิ้นเหอ เขาเป็นยอดขุนพลแห่งราชวงศ์หมิง สร้างชื่อในกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย น่าเสียดายที่บัดนี้บ้านเมืองสงบสุขจนเกินไป จึงถูกส่งมาดูแลความสงบยังเมืองซูโจวแห่งนี้ ว่ากันว่าหน้าตาของเขาหล่อเหลาที่สุดในบรรดาคุณชายทั้งสาม น่าเสียดายที่เขาชอบทำหน้าเย็นชาอยู่เป็นนิจ จึงมีข่าวลือว่าเพราะเขามีลักยิ้มที่มุมปาก เพื่อไม่ให้ลูกน้องเสื่อมศรัทธาจึงปั้นหน้าเย็นชาตลอดเวลา ยอดสาวงามย่อมไม่น้อยหน้า ว่ากันว่าหากจะจัดยอดสาวงามนั้นไซร้มิสู้จัดตามหมวดหมู่ กลอน ภาพ หมาก ดนตรี คนแรกเป็นบุตรีคนที่สี่ของคหบดีใหญ่แห่งเมืองซูโจว ฉายาดอกท้อแห่งไท่หู จินม่านเทียน หน้าตางดงามดุจเถาฮวา[2] รูปร่างอรชรบอบบาง ราวกิ่งหลิวลู่ลม ฉลาดหลักแหลมเชี่ยวชาญโคลงกลอน ด้วยความสามารถ ฐานะ และหน้าตา แม้จะเป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยารอง ทว่ากลับมีบุรุษมากมายเข้าสู่ขอทาบทามเพื่อไปเป็นภรรยาเอก คนที่สองเป็นบุตรีคนสุดท้องของเสนาบดีกรมกลาโหม เมิ่งไป๋อิง งดงามอ่อนหวาน เชี่ยวชาญเชิงศิลป์ ภาพวาดของนางนั้นล้วนแล้วแต่ราคาพุ่งสูงหลายพันตำลึง สมกับเป็นยอดบุปผาในฤดูใบไม้ผลิโดยแท้จริง คนที่สาม บุตรสาวขุนนางใหญ่ หม่าซุ่ยเหลียน บัณฑิตหน้าใหม่แห่งซูโจว สมญานาม ดอกบัวแห่งไท่หู พันกระดานมิพ่าย งดงามบริสุทธิ์ราวเทพธิดา ผู้คนมากมายอยากประลองหมากกับนางสักครั้ง น่าเสียดายที่ทุกเจ็ดวันหนึ่งนางจะรับเทียบเชิญแค่หนึ่งครั้ง ยากนักที่จะได้พบตัว คนสุดท้าย ไป๋เฟิ่ง ยอดคณิกาแห่งหอเฟิ่งหวง รูปงามปานใดไม่มีใครรู้ แม้ว่านางจะชื่อไป๋เฟิ่ง ทว่าผู้คนกลับตั้งฉายาให้นางว่าบุปผาแดงกลางฤดูหนาว นางโผล่มาได้เพียงครึ่งปีก็ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ความสามารถทางด้านดนตรีของนางไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ไป๋เฟิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นยอดคณิกา ซึ่งเดิมทีนั้นนางเข้ามาในฐานะอี้จี[3] ขายศิลป์ไม่ขายตัว ทว่าน้อยคนนักจะสนใจเรื่องนี้ ใบหน้าของนางไม่เคยเปิดเผยให้แก่ผู้ใด ทุกครั้งที่ออกแสดงนางจะใช้ผ้าปกปิดใบหน้าเอาไว้ ไม่ทราบอายุ ไม่รู้หน้าตา แต่รูปร่างของนางกลับเป็นที่สนใจของบุรุษทั่วสารทิศ นางสวมเพียงชุดกระโปรงสีขาวมิดชิด ทว่าเมื่อเริ่มบรรเลงบทเพลง ทุกคนก็ตกอยู่ในภวังค์ อำนาจจากดนตรีสะกดผู้คนให้หลงใหล ราวกับนางเป็นเทพเซียน… “ถ้าแบบนี้แล้วใครงดงามที่สุดเล่า?” “ใช่ๆ ใครงามที่สุด แต่ข้าว่าไป๋เฟิ่งอาจจะงามที่สุดก็ได้” ชายร่างท้วมที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังเห็นด้วย “ไอ้หยา...นางอาจจะหน้าตาดูไม่ได้เลยก็ได้ จึงปิดหน้าปิดตาเช่นนั้น” “ใช่ๆ ข้าว่านางอาจจะหน้าตาอัปลักษณ์” “เพ้ย! เจ้านี่เชื่อคนง่ายจริงๆ คนนั้นก็เห็นดี คนนี้ก็เห็นด้วย!” “ก็มันเป็นไปได้หมดเลยนี่ ข้าอยากจะเห็นหน้านางสักครั้ง” ชายร่างท้วมคนเดิมพูดขึ้น “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ลูกค้าท่านอื่นเขามารอแล้ว พวกเจ้ารีบจ่ายเงินมาซะดีๆ” เด็กหนุ่มร่างผอมพูดขึ้น เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีกรมท่า รูปร่างถือว่ากลางๆ เมื่อเทียบกับบุรุษในแดนเจียงหนาน บนศีรษะสวมหมวกสานใบใหญ่เอาไว้ บุคลิกเรียบง่ายชวนให้คนเข้าหา ปากก็ทวงถามค่า ‘ข่าว’ ที่เขาเอามาบอก “เพ้ย! เจ้ามันขี้งก คนกันเองแค่สองอีแปะพอหรือไม่?” ชายร่างผอมต่อรอง ทว่ากลับถูกสายตาคมกริบของเจ้าหนุ่มตวัดใส่อย่างเอาเรื่อง “ข้าหาข่าวแทบตายไม่ใช่เพื่อแลกเงินเท่านี้ พวกเจ้าชอบนักไม่ใช่หรือเรื่องของชาวบ้าน มิเช่นนั้น อย่าหวังว่าวันหลังข้าจะบอกข่าวด่วนให้พวกเจ้ารู้เป็นกลุ่มแรกอีก อาปิงจ่ายมา” เขาชักสีหน้า มือว่องไวรีบคว้าหมับเมื่อเจ้าผอมทำหน้าเซ็งแล้วล้วงเงินออกมาให้ “ก็แค่นี้แหละ” “เสี่ยวเสียน อย่าลืมนา...คราวหน้าต้องบอกพวกเราก่อนนะ” ชายอีกคนพูด เสี่ยวเสียนเมื่อเห็นเงินในมือก็ยิ้มจนแก้มแทบแตก นอกเหนือจากใบหน้ามอมแมมแล้ว ก็มีฟันขาวสะอาดนั่นแหละที่พอดูได้ อาปิงที่อารมณ์บูดบึ้งพอเห็นเสี่ยวเสียนยิ้มก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา “เสี่ยวเสียน จะว่าไปเจ้าก็ยิ้มสวยดีนี่นา...แบบนี้ใช่หรือไม่ที่มัดใจสาวน้อย สาวใหญ่ในเมือง ร้ายกาจไม่ใช่เล่น ข้าว่าถ้าเจ้าแต่งตัวดีๆ สักหน่อยก็ไม่น้อยหน้ายอดบุรุษสามอันดับเหมือนกันนา…” เสี่ยวเสียนรีบหุบยิ้มทันที แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ โบกมือไล่ “ไปๆ ข้าจะขายข่าวต่อแล้ว” เขารีบดุนหลังลูกค้าหน้าเก่า แล้วหันกลับมาฉีกยิ้มให้กับผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามา ปากจึงตะโกนเสียงดังว่า “เร่เข้ามา เร่เข้ามา ข่าวด่วนข่าวร้อนจากหอเกอจื่อ มาแล้ว…” เสี่ยวเสียนคิดในใจ เมื่อนึกถึงเงินเป็นกองก็รู้สึกฮึกเหิมยิ่งขึ้น เพิ่มแรงตะเบ็งเสียงอีกครั้ง และอีกครั้ง... หอเกอจื่อเป็นหอข่าวติดอันดับในแดนเจียงหนาน สำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซูโจว เนื่องจากรับข่าวสารจากเมืองหลวงหนานจิงได้ไวที่สุด ข่าวสารล้วนฉับไวและได้รับความเชื่อถือจากชาวเมือง น่าเสียดายที่กระดาษราคาแพง ผู้คนส่วนใหญ่จึงยอมจ่ายค่าข่าวจากผู้ส่งสารเช่นเสี่ยวเสียน มากกว่าซื้อหนังสือสักเล่มมาอ่าน กล่าวกันได้ว่า แม้ศิลปวัฒนธรรมจะเจริญถึงขีดสุด แท้แล้ว...ความเกียจคร้าน ก็ยังสามารถเอาชนะผู้คนได้ สุขสบายจนเกินจะพัฒนาตัวเองให้ก้าวต่อไป [1] เจียงหนาน (**) คือพื้นที่บริเวณตอนล่างของแม่น้ำฉางเจียงรวมถึงพื้นที่ตอนใต้ของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำฉางเจียง เมืองสำคัญในบริเวณนี้ ได้แก่ เมืองเซี่ยงไฮ้ หนานจิง หนิงปัว หางโจว ซูโจว อู๋ซี และฉางโจว [2] เถาฮวา ภาษาจีน **แปลว่า ดอกท้อ [3] อี้จี นางคณิกาชั้นสูง กายศิลป์ไม่ขายตัว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม