คนน่ารักได้แต่นั่งนิ่งอย่างใช่ความคิดดวงตากวางเลอะเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาแลดูน่าทะนุถนอมเธอไม่เข้าใจว่าการช่วยคนถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้หรือเป็นเพราะคนที่เธอช่วยกันนะ
ที่สำคัญเขาดันความจำเสื่อมอีกแล้วแบบนี้เธอจะทำยังไงดีล่ะ พิรุธมากมายบ่งชี้มาที่เธอหมดยิ่งคิดยิ่งพาลไปถึงคนที่ทำร้ายเขาไม่รู้ว่าเป็นใครทำไมถึงได้เคลียร์ทุกอย่างได้ไร้ร่องรอยขนาดนี้คุณหมอก็พูดเองว่านามสกุลวาโยเป็นนามสกุลดังแล้วทำไมถึงติดต่อไม่ได้เหมือนกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นยื่นมาขัดขวางทุกครั้งไป
“เฮ้อ..”
“ถอนหายใจอะไรขนาดนั้น”
“เพราะนายนั่นแหละ”
ฉันทำหน้าบึ้งทันทีที่โดนวาโยพูดขัดขึ้นมาแต่เขากลับไม่สนใจท่าทางของฉันเลยนอกจากนั่งกอดอกมองฉันเพียงเท่านั้น
อะไรของเขา
“ฉันทำอะไร” วาโยเลิกคิ้วถาม
“ก็ฉันอุตส่าห์ช่วยนายพามาส่งโรงพยาบาลแต่นายกลับกำลังทำให้ฉันตกที่นั่งลำบากอะ”
“ก็เพราะเธอพาฉันมาส่งนี่แหละเลยน่าสงสัย” วาโยตอบเสียงเข้มเพราะตอนฟื้นขึ้นมาเขาก็ซักไซ้กับพยาบาลไปแล้วแต่ได้คำตอบแค่ว่าเธอเป็นคนพามาส่งและผู้ชายมีอายุอีกคนแต่วันนี้เขากลับพบแค่เธอคนเดียว
“แล้วคนที่ช่วยพามาล่ะไปไหนแล้ว”
“ลุงแย้มกลับไปแล้ว”
“กลับไปแล้วงั้นหรอ”
“อืม”
เดียน่าเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อโดนสายตาคมกริบของวาโยจ้องมองไม่วางตาทำไมเขาต้องจับผิดเธอขนาดนี้ยิ่งเขาจ้องเธอยิ่งระแวงมันเลยกลายเป็นว่าเธอดูเหมือนคนมีพิรุธ
“นายเลิกมองแบบนั้นได้แล้วจะให้บอกอีกกี่ครั้งว่าฉันเป็นแค่คนช่วยเหลือไม่ได้ทำร้ายนาย”
“ใครเขาจะเชื่อ..ลองเธอความจำเสื่อมแบบฉันสิเธอก็จะไม่เชื่อใจใครแบบฉันเหมือนกัน”
อึก
ท่าทางจริงจังของเขาทำให้ฉันหวั่นใจแล้วแบบนี้จะทำยังไงต่อดีหรือฉันจะไหวตัวตอนนี้ดีไหมนะ..แต่ก็น่าสงสารเขา
“แล้วแบบนี้นายจะทำยังไงต่อ”ด้วยความเห็นใจฉันเลยถามวาโยออกไปถึงจะรู้จักกันวันเดียว เอ้ย!ไม่ได้รู้จักกันแต่ยังไงฉันก็เป็นคนช่วยเขาไว้เลยอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงต่อ
“แล้วเธอล่ะจะทำอะไรหลังจากนี้”
เอ๊ะ!แล้วจะมาย้อนถามฉันทำไมเนี่ย
“ก็กลับบ้าน”
“อาฮะ งั้นฉันก็จะกลับบ้าน”
“เอ๋ นายจำบ้านตัวเองได้หรอ”
“ไม่อะ จะไปบ้านเธอ”
“ห๊า!จะบ้าหรอนายจะมาทำไม”ฉันลุกขึ้นยืนทันทีเขาบ้าไปแล้วหรอจะมาบ้านฉัน
“ก็จะไปกับเธอฉันไม่รู้จักใคร”
“ไม่ได้..เราไม่รู้จักกัน” อีกอย่างเขาเป็นผู้ชายและฉันเป็นผู้หญิงจะพาเขากลับบ้านด้วยได้ยังไง
“เธอชื่ออะไร”
“เดียน่า” ริมฝีปากบางตอบอย่างไม่คิดอะไร
“อืมนี่ไงรู้จักกันแล้ว”
“ไม่ๆ แบบนี้ไม่ใช่สิ”
“แล้วต้องแบบไหนหรือเธอจะทิ้งฉันไว้ที่นี่งั้นหรอ” คนร้ายกาจเอ่ยเสียงแผ่วใบหน้าหล่อเหลาดูเซื่องซึมลงทันตา
“เอ่อ เดี๋ยวครอบครัวนายก็มา”
“ไม่มาหรอก ถ้ามาคงมาตั้งแต่ได้ข่าวแล้วแหละ”
“อ่า บางทีพวกเขาอาจจะยุ่ง” ฉันรีบออกตัวแทนครอบครัวเขาเมื่อเห็นเขาดูเศร้าสลัดคราบความร้ายกาจตอนเจอกันออกไปหมด
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไร”พูดเสร็จล้มตัวลงนอนพร้อมกับหันหลังแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวทันทีทำให้ฉันได้แต่มองเขาอย่างสงสาร
เอาไงดีเดียน่า..เอาไง!
“พรุ่งนี้..ฉันจะมาเยี่ยมใหม่นะ”ขอไปตั้งหลักก่อนแล้วกัน
“อืม แล้วแต่เธอเถอะ” น้ำเสียงอู้อี้ภายใต้ผ้าห่มทำให้ฉันชะงักหรือว่าเขาร้องไห้หรอคิดสภาพว่าถ้าฉันความจำเสื่อมแบบเขาคงจะคิดไม่ตกเหมือนกันการใช้ชีวิตในโลกกว้างคงจะน่ากลัวมากแน่ๆ
“ฉันจะมา..พรุ่งนี้จะมาแน่นอน!” ฉันรับปากอย่างแข็งขันก่อนจะเดินออกจากห้องไปถึงจะบอกว่าช่วยเขามันค่อนข้างยุ่งยากและลำบากแต่ก็อดสงสารไม่
พ้นหลังร่างบางคนที่นอนห่มผ้าอยู่พลันลุงขึ้นนั่งกับเตียงก่อนจะยกยิ้มมุมปากปลาติดเบ็ดแล้วถ้าพรุ่งนี้เธอมาละก็เธอจะไม่มีทางปฏิเสธเขาได้แน่นอน
ตอนนี้เขาไม่มีความทรงจำญาติพี่น้องก็ไม่รู้มีไหมไหนจะบาดแผลตามร่างกายอีกยังไงเขาก็ต้องเกาะติดเธอไว้ให้แน่นอย่างน้อยก็จนกว่าจะจำอะไรได้
วาโยได้คุยกับหมอแล้วตั้งแต่ฟื้นเขาเลยอยากเจอเธอผู้หญิงที่หมอบอกว่าช่วยเขาเอาไว้แต่เพราะมันมีหลายอย่างที่ทำให้เขาคิดว่าทั้งสถานที่พบเขาไหนจะคำบอกเล่าว่าเห็นรถแต่พอทางโรงพยาบาลประสานกับตำรวจกลับไม่พบรถหรือร่องรอยอะไรเลยถ้าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงแสดงว่าคนทำมันต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“หวังว่าเธอจะไม่ใช่คนที่ทำร้ายฉันนะไม่อยากนั้นฉันไม่เอาเธอไว้แน่!” ริมฝีปากสีซีดพึมพำกับตัวเองเบาๆ ดวงตาร้ายกาจจ้องมองไปที่ประตูที่เธอพึ่งจะออกไปได้ไม่นาน
ร่างบางเดินกลับเข้ามาในหมู่บ้านเพราะจะแวะซื้ออาหารเลยให้แท็กซี่จอดแถวหน้าปากซอยแทนเมื่อซื้อของเสร็จเลยเดินกลับเองมือบอบบางถือถุงของกินพะรุงพะรังและไม่ลืมที่จะแวะฝากลุงยามเพื่อผูกมิตรไว้ด้วย
“เฮ้ย ใครวะน่ารักจัง”
“ไม่เคยเห็นเลย”
“เหมือนพวกลูกคุณหนูเลย”
“เออ อยู่บ้านหลังไหน”
เสียงพูดคุยกันดังเข้าสู่โซนประสาททำให้แผ่นหลังเล็กบางเกร็งขึ้นมามือกำถุงอาหารในมือแน่นเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยบ้านของเธออยู่โซนกลางทำให้ต้องเดินผ่านบ้านของคนอื่นไปอีกหลายหลังและเสียงที่คุยกันเมื่อกี้ก็ดังมาจากบ้านหลังหนึ่งที่มีวัยรุ่นนั่งสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้านดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาที่มาเช่าอยู่ซะมากกว่า
ตึก ตึก
เดียน่ารีบเดินให้เร็วขึ้นเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยเธอไม่เคยออกมาใช้ชีวิตคนเดียวเลยไปไหนก็ต้องมีบอดี้การ์ดตลอดหรือไม่ก็คนขับรถตอนอยู่โคราชเธอก็ไปกลับระหว่างบ้านและมหาลัยไม่ได้มีโอกาสไปไหนเพื่อนก็มีแต่ไม่สนิทถ้าจะบอกว่าเธอเป็นลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็ไม่เกินจริงนัก
“โห รีบเดินอย่างไว”
“สงสัยกลัวมึง ฮ่า ฮ่า”
เสียงตะโกนไล่หลังทำให้เธอรีบเดินเร็วขึ้นจนมาถึงหน้าบ้านเธอหยุดชะงักไปสักพักก่อนจะเดินเลยบ้านของตัวเองไปและเลี้ยวซ้ายไปอีกที่ทำแบบนี้เพราะไม่รู้ว่าโดนจับตามองอยู่ไหมยิ่งอยู่คนเดียวไม่อยากให้พวกเขารู้ว่าเธอพักหลังไหน
“เฮ้อ เหนื่อยจัง”
ฉันนั่งหอบเหนื่อยอยู่ในบ้านหลังจากทำทีเดินหนีไปเพื่อไม่ให้พวกนั้นรู้ว่าพักหลังไหนรอจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามก็เลยเดินกลับบ้าน
ตั้งแต่วินาทีที่ออกจากบ้านมาฉันก็เหนื่อยและมีเรื่องยุ่งยากเข้ามาไม่หยุดไม่คิดเลยว่าพอออกจากปีกของคุณพ่อมาใช้ชีวิตคนเดียวจะเหนื่อยขนาดนี้นึกถึงแล้วโทรหาคุณพ่อดีกว่า
ตื๊ด
[หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ค่ะ]
เอ๊ะ! ทำไมติดต่อไม่ได้
ฉันลองโทรเข้าที่บ้านก็ไม่มีคนรับพอโทรหาลุงแย้มก็โทรไม่ติดเหมือนที่โทรหาคุณพ่อเลยเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“คุณพ่อยังปลอดภัยดีไหมนะ”
มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ไม่อย่างนั้นสถานการณ์มันคงไม่เลวร้ายขนาดนี้หรอกโดยเฉพาะในข่าวเมื่อสองวันก่อนฉันจะมาที่นี่ประโคมกันหนักมากส่วนเพื่อนรอบตัวที่รู้ว่าฉันเป็นลูกของคุณพ่อก็พากันตีตัวออกห่างไปกันหมดเพราะถ้าประชาชนไม่ได้คำตอบในเรื่องนี้ต้องเกิดการล่าแม่มดแน่พวกเพื่อนเลยไม่อยากยุ่งกับฉันและคุณพ่อเลยรีบจัดการส่งฉันมาที่นี่แบบกะทันหัน
“มึงแน่ใจหรอว่าหลังนี้”
“กูไปหาบ้านแถวนู้นแล้วไม่เห็นมี..มีแค่หลังนี้แหละที่ว่าง”
“แม่งข้างนอกเหมือนไม่มีคนอยู่เลย”
“ลองปีนเข้าไปดูไหม”
“เออ”
เสียงคุยกันอยู่นอกบ้านทำให้เดียน่าลุกเดินไปส่องดูตรงหน้าต่างและเห็นว่าเป็นวัยรุ่นสองคนที่เธอพยายามเดินหนีก่อนจะเข้าบ้านพวกเขากำลังปีนรั้วเข้าภายในอาณาเขตบ้านเธอ
โชคดีที่ตอนนี้มืดแล้วเธอยังไม่ทันได้เปิดไฟเลยถ้าแอบอยู่เงียบๆ พวกนั้นคงไม่สงสัยหรอกเพราะภายนอกบ้านก็ดีเงียบและดูเหมือนไม่มีคน
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าภายนอกทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงเพราะหวาดกลัว ใช่เธอกลัวสถานการณ์แบบนี้ไม่ค่อยดีเลยแต่อย่างน้อยต้องเอาตัวรอดเฉพาะหน้าให้ได้ก่อน