มัดไหมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ใบหน้าซีดเซียวนี้ทำให้เวรเปลรีบพาเธอเข้าไปยังห้องฉุกเฉิน ขณะที่สาวเจ้านั้นมีอาการละเมออยู่ตลอดเวลา
...ร่างกายอ่อนเพลียค่อย ๆ สงบลง มัดไหมหลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน ร่างกายตอบสนองราวกับว่าไม่ใช่ตัวเธอ คงเป็นเพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น สามสิบไม่แข็งแรงเท่ายี่สิบกว่า คงทำงานขยันขันแข็งเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว...
เวลาต่อมา...
พาฝันวิ่งตาลีตาเหลือกมาที่โรงพยาบาลโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หลังจากที่ทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้ง แน่นอนว่าในโทรศัพท์มือถือของมัดไหม มีเบอร์แค่ไม่กี่คนและเธอคือเบอร์แรกที่มัดไหมติดต่อบ่อยที่สุด
แต่แล้ว
พลั่ก!
เพราะรีบวิ่งมากทำให้กะระยะทางสายตาไม่ถูก หัวไหล่บางนั้นชนเข้ากับต้นแขนแกร่งของหมอคนหนึ่งเข้าอย่างจัง ร่างบางแทบล้มคะมำ โชคดีที่เขาคว้าต้นแขนของเธอไว้
“เดินระมัดระวังหน่อยสิครับ!” ชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อกาวน์ตวาดออกมาเสียงดัง เขาเองก็รีบแต่เธอคนนี้กลับมาชนเข้าอย่างจัง
“เอ่อ ขอโทษค่ะ” เสียงของเขานั้นทำเอาความหล่อที่มองนั้นลดฮวบลงทันตาเห็น คนอะไรหล่อแต่ไร้น้ำใจเสียจริง
“ทีหลังเดินหัดระวังไว้ซะบ้าง”
“เอ่อ...”
“ถ้าล้มมาจะเป็นยังไง ตัวก็เล็กแค่นี้” น้ำเสียงของเขานั้นแม้นจะเต็มไปด้วยความโกรธ แต่กลับแฝงไปด้วยความเป็นห่วง ดูจากชุดที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะเป็นห่วงคนอื่น ก็เขาเป็นหมอนี่นา
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่ช่วยจับฉันไว้นะคะ จะดีกว่านี้ถ้าเกิดว่าคุณปล่อยมือออกจากแขนของฉันสักที” เสียงของเธอทำให้กรรณภัทร์ค่อย ๆ คลายมือออก ยอมรับว่าใบหน้าของเธอทำให้เขาเสียสมาธิไป เขากระแอมแก้เขินเล็กน้อย
“ขอบคุณนะคะ ฉันขอตัวก่อน” เธอยิ้มบาง ๆ ให้อีกฝ่าย ก่อนจะออกสตาร์ตฝีเท้าอีกครั้ง ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำสายตาอาลัยอาวรณ์มากแค่ไหน กรรณภัทร์ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยของตัวเองเบา ๆ รู้สึกแปลก ๆ ที่ตนดุเธอแรงขนาดนั้นทั้ง ๆ ไม่ใช่คนขี้โมโหเสียหน่อย แต่พอจะขอช่องทางการติดต่อ หล่อนก็วิ่งไปเสียก่อน
เอาเถอะน่า...เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกันหรอก
พาฝันวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ห้องฉุกเฉิน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล สงสารเพื่อนที่พ่อแม่ก็ไม่มี ไม่มีใครคอยเฝ้าไข้ ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมสาวเจ้าถึงป่วยเป็นลมไปอย่างนี้
“ญาติคุณมัดไหมใช่ไหมคะ” พอเธอยืนทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ หน้าห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่เวชระเบียนที่มองเห็นก็เอ่ยเรียก
“ใช่ค่ะ” เธอวิ่งหน้าตื่นไปหาเจ้าพนักงาน ก่อนที่อีกฝ่ายจะให้กรอกเอกสารสำหรับให้มัดไหมแอดมิต “อาการเธอหนักเหรอคะ”
“อันนี้รอแพทย์แจ้งนะคะ แพทย์บอกให้แอดมิตค่ะ” เธอพยักหน้ารับเบา ๆ อาการของเพื่อนคงหนักน่าดู พาฝันเซ็นเอกสารสองสามหน้า ก่อนที่เธอจะได้รับอนุญาตเข้าไปเยี่ยมเพื่อนได้
มัดไหมถูกย้ายเข้าห้องพักผู้ป่วยในเรียบร้อยแล้ว ร่างบางหน้าซีดเผือด ที่หลังมือมีสายน้ำเกลืออยู่ พาฝันเห็นว่าเพื่อนยังมีลมหายใจก็รู้สึกโล่งอก ต่อไปนี้คงต้องสั่งห้ามทำงานหนักแล้ว
...แต่พอนั่งลงข้างเตียงของเพื่อนสาว ใบหน้าของผู้ชายก่อนหน้านี้ก็ลอยเข้ามาในหัว เขาชื่ออะไรก็ลืมถาม หน้าตาอย่างกับอปป้าเกาหลี แถมยังใส่แว่นเป็นหนุ่มฮอตเนิร์ตไปได้
“หึ...” เธอหัวเราะเบา ๆ เขาอยู่ที่นี่ ถ้ามีโอกาสก็คงได้เจอกันอีก น่าเสียดายที่ตอนนั้นรีบไปหน่อยก็เลยไม่ได้ขอไลน์ไว้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็คงไม่น่ารัก อยู่ ๆ ก็อยากสงวนท่าทีไว้
พาฝันนั่งไปยิ้มไปโดยไม่รู้ว่าเพื่อนสาวกำลังลืมตาตื่น เปลือกตาบางของมัดไหมขยับเบา ๆ แสงไฟสีขาวสาดส่องเข้ามาจนต้องข่มเปลือกตาปิดอีกครั้ง
“อืม...” ครางเสียงเบา ๆ ลำคอแห้งผากจนอยากดื่มน้ำสักแก้ว ซึ่งเสียงของเธอทำเอาพาฝันที่กำลังเหม่อลอยนั้นหลุดจากภวังค์
“มัด! แกฟื้นละเหรอ!! เดี๋ยวฉันไปเรียกหมอให้!” เสียงพาฝันนั้นทำให้มัดไหมที่กำลังสะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้นเต็มสองตา ใครจะเสียงดังขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพื่อนของเธอ แต่พอจะพูดเจ้าหล่อนก็วิ่งไปเรียกหมอเสียแล้ว
“งาน...งานประชุม ให้ตายสิ” มัดไหมข่มเปลือกตาปิดอีกครั้ง รอบนี้ไม่ใช่เพราะแสง แต่เป็นเพราะความผิดหวังในตัวเองที่ไม่มีสปิริตในการทำงานเอาเสียเลย มัดไหมถอนหายใจออกแรง ๆ เธอไม่เคยทำงานพลาดมาก่อน มัดไหมรู้สึกผิด ไม่รู้ว่างานประชุมจะไปในทิศทางไหน ได้ยกเลิกหรือเปล่า แถม...ประธานบริษัทก็เคี่ยวสุด ๆ อีกด้วย
“เฮ้อ...” ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนที่ไม่นานเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของแพทย์หนุ่มและเพื่อนรักของเธอ ก่อนที่เจ้าตัวจะคว้าเอาแก้วน้ำให้เธอ
“พอดีว่าคนไข้มีอาการอ่อนเพลียน่ะครับ อาจจะเกิดจากพักผ่อนไม่เพียงพอ สารอาหารไม่ครบน่ะครับ คงเป็นเพราะคนไข้กำลังตั้งครรภ์ด้วยเลยทำให้ร่างกายต้องการสารอาหารมากเป็นพิเศษ”
“ห๊า...อะไรนะคะ” ไม่ใช่แค่มัดไหมที่ตกใจ แต่พาฝันนั้นก็ตกใจตามไปด้วย จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร ก็เมื่อครู่แพทย์คนนี้ได้พูดว่าเธอนั้น...
“คนไข้ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้วนะครับ ไม่รู้เหรอครับ”
“ห๊า!!/ห๊า!!” คราวนี้ทั้งสองโพล่งเสียงออกมาพร้อมกันเสียงดังลั่นห้องพักผู้ป่วยใน โชคดีที่เลือกเป็นห้องพักพิเศษที่มีมัดไหมเพียงคนเดียว
“ทำไมตกใจขนาดนี้ครับ ไม่รู้เหรอครับ” แพทย์หนุ่มเองก็ตกใจ เพราะอายุครรภ์ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วแต่ทำไมคนไข้ถึงตกใจราวกับว่าไม่เคยรู้ว่าตนนั้นกำลังตั้งครรภ์
“เอ่อ คือฉันเนี่ยนะมีลูก” มัดไหมยกนิ้วชี้ชี้มาที่ตัวเอง พร้อมกับทำหน้าตกใจ เธอใจหล่นวูบ มีอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในท้องของเธอ แล้วเขามีชีวิตอย่างไร ในขณะที่เธอแทบไม่ได้สนใจร่างกายตัวเองเลยสักนิด
“ไม่จริง ฮึก ไม่จริง คุณหมอช่วยตรวจอีกครั้งได้ไหมคะ ฮึก ฮือ~”
“จริงครับ พอดีเราหาสาเหตุที่คนไข้เป็นลม สังเกตว่าท้องนูนแปลก ๆ เลยทำการอัลตราซาวนด์ดูเด็กในครรภ์ครับ เลยรู้ว่าคนไข้ตั้งครรภ์ ดูจากภาพอัลตราซาวนด์แล้วอายุครรภ์ก็ประมาณสามเดือนได้ครับ”
“อึก ขะ เขายังแข็งแรงดีใช่ไหมคะ ฮึก ฉันไม่รู้เลย” เธอร้องไห้ออกมา น้ำตามากมายพรั่งพรูออกมานี้ไม่ใช่ว่าเสียใจที่ตนตั้งครรภ์ แต่เป็นเพราะไม่รู้และดูแลลูกได้ไม่ดีต่างหาก
“ไม่เป็นไรแก แกใจเย็น ๆ ก่อนนะ” พาฝันเข้าใจความรู้สึกของเพื่อน ตอนนี้เธอเองก็ช็อกมาก ๆ ไม่ต่างกัน
“ครับ ยังไงถ้าอาการดีขึ้นแล้วคนไข้ไปฝากครรภ์ได้เลยนะครับ”
“อึก ขะ ขอบคุณค่ะคุณหมอ” ว่าพร้อมกับค้อมศีรษะเบา ๆ มัดไหมยกมือขึ้นลูบหน้าท้องตัวเองที่ตอนนี้นูนขึ้นมาอย่างที่หมอได้บอกจริง ๆ แต่ทำไมเธอไม่รู้สึกตัวเลย ทำไมถึงไม่อาเจียนหนัก ๆ เหมือนกับในละคร แต่ตอนนี้ลูกคงกำลังเรียกร้องแล้วจริง ๆ
“แก ฉันต้องกินข้าว”
“อ้อ นั่นสิ...หึ เดี๋ยวนี้รีบเลยนะ” ปกติชวนกินข้าวทีไรอิดออดไม่อยากไปทุกที แต่ตอนนี้พอรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์กลับอยากกินข้าวขึ้นมา
“อึก กะ ก็เดี๋ยวลูกฉันหิวไง”
“หึ แกดีใจใช่ไหม โอ๊ย! ฉันตกใจหมดทีแรกนึกว่าแกจะไม่ยินดีซะอีก” พาฝันว่าพร้อมกับหย่อนสะโพกลงนั่งเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย
“ก็ต้องดีใจสิ นี่ลูกของฉันเชียวนะ” ว่าพร้อมกับลูบท้องเบา ๆ มุมปากสวยค่อย ๆ กระตุกยิ้มขึ้นมาด้วยความดีใจสุดขีด
“ก็...ถ้าให้เดา พ่อของลูกแกคงเป็น...”
“_”
“เอ่อ...ไม่พูดดีกว่า” พอเห็นมุมปากของเพื่อนค่อย ๆ คลายจึงเงียบเสียงไปในที่สุด
“เขาคนนั้นนั่นแหละ” เขาไม่เคยสวมถุงยางอนามัยเลย มีแต่เธอที่ต้องกินยาคุมกำเนิด แน่นอนว่ายาไม่ได้ให้ผลหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ และคงถึงเวลาที่ลูกต้องเกิดจริง ๆ
“แล้วแกจะบอกเขาไหมล่ะ”
“_”
“แก...อย่างน้อยก็บอกแล้วให้เขาตัดสินใจอีกทีนะ” หมอฐากูรมีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้ แต่ทว่า
“เขาไม่ได้รักฉัน ถึงเขาจะรับผิดชอบฉัน ฉันเชื่อว่าถ้าเขารู้ เขารับผิดชอบฉันแน่ ๆ แต่ว่าเขาไม่มีทางรักฉัน” หมอฐากูรไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดที่จะทิ้งลูกในไส้ของตัวเองได้ลงคอ เธอพอรู้ว่าเขามีนิสัยอย่างไร
“_”
“เขาหายไปเลย เขารู้ว่าฉันทำงานที่ไหน พักที่ไหน แต่เขาก็ไม่ตามไม่ง้อ ไม่ไยดีอะไรฉันเลย” ว่าพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลออกมา “ถ้าเกิดเขารู้ ฮึก แล้วมารับผิดชอบฉัน ฉันกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลัง อึก เพราะเขาไม่ได้รักฉันตั้งแต่แรก”
...แม้แต่คนฟังยังเจ็บปวด แล้วคนที่เผชิญหน้าอยู่จะเจ็บปวดมากแค่ไหนกัน มัดไหม...เข้มแข็งกว่าที่คิดมาก