10
“แกหาผู้ชายกระเป๋าหนักเลี้ยงดูได้แล้ว แกก็ทำตัวดีๆ ล่ะ ระหว่างที่คุณวิศยังเลี้ยงดูแก แกก็อย่ามีคนอื่นหรือหาลูกค้ารายอื่น แกจะทำอย่างที่เคยทำได้ก็ต่อเมื่อเขาไม่เลี้ยงแกแล้ว” จริยากล่าวเตือนด้วยความหวังดี
“ฉันรู้แล้วน่า ถ้าฉันมีคนอื่นหรือรับงาน ฉันก็ปลิวน่ะสิ ฉันอยากสบาย ฉันก็ต้องทำตัวดีอยู่แล้ว”
“แกได้เงินมาก็เก็บไว้บ้างนะ อาชีพนี้มันไม่จีรังหรอก คนสวยกว่า สาวกว่า เอาใจเก่งกว่ามีเพียบ ฉันเองก็ไม่คิดทำงานแบบนี้ไปจนตายหรอก ถ้าฉันเก็บเงินได้สักก้อนที่มาพอจะลงทุนทำมาหากินให้เป็นเรื่องเป็นราว ฉันจะเลิกขายตัว”
“เออรู้น่า ไม่ต้องสอนมากนักหรอก” เสียงที่เอ่ยติดรำคาญ
“โปรเจคอาจารย์นุ่ม แกทำเสร็จรึยัง ฉันยังไม่ไปถึงไหนเลย” จริยาวกมาพูดเรื่องเรียน
“โอ๊ย! ถ้าแกยังไม่ไปถึงไหน ฉันก็ย่ำอยู่กับที่”
พอพูดถึงเรื่องเรียน ศุภวรรณก็ทำหน้าเบื่อหน่าย อันที่จริงแล้วเธอไม่อยากเรียนสักเท่าไหร่ เธอจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องการเรียนมากนัก หากมีรายงานหรือโปรเจคที่จะต้องทำส่งอาจารย์ เธอมักให้จริยากับเพื่อนในกลุ่มทำให้เสมอ โดยจ่ายค่าจ้างแล้วแต่ว่า งานนั้นทำยากหรือง่าย
“สงสัยต้องพึ่งโรสซะแล้ว” จริยานึกถึงเพื่อนอีกคน “ว่าแต่ไม่เห็นโรสมามหา’ ลัยสองวันแล้วนะ มีปัญหาทางบ้านอีกหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่โดนพ่อตบก็โดนพี่เตะ มีอยู่สองอย่าง” ศุภวรรณคิดว่าไม่ผิดอย่างที่คิดไว้
“เฮ้อ! จะว่าไปก็สงสารโรสเนอะ จากคนเคยรวยกลับมาจน ดีนะที่โรสไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อ ไม่งั้นคงปรับตัวได้ยาก”
โรสหรือกรรณิการ์ เดิมทีฐานะทางบ้านค่อนข้างมีอันจะกิน ทว่าวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจและการทำงานที่ไม่เป็นมืออาชีพของสุทธิพงศ์ ผู้เป็นพี่ชาย ส่งผลให้กิจการของบริษัทล้มไม่เป็นท่า การเงินเลยพลอยสะดุดไปด้วย ตอนนี้กรรณิการ์ย้ายออกจากบ้านหลังเก่าที่ต้องขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ ไปอยู่ทาวน์เฮาส์ให้เช่าแทน
กรรณิการ์ไม่เพียงปรับตัวเรื่องที่อยู่อาศัยและการใช้ชีวิต เธอยังทำงานหารายได้เพิ่ม ด้วยการทำงานร้านขายอาหารและเครื่องดื่มในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วยังรับทำรายงานและโปรเจคต่างๆ สร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
“แกลองชวนโรสมาทำงานอย่างเราไหม บ้านโรสต้องการใช้เงินนี่ หน้าตาและหุ่นอย่างโรส ฉันว่าค่าตัวสูงกว่าเราอีกนะ” ศุภวรรณพูดขึ้น
“จะบ้าเหรอ โรสไม่ทำหรอก” จริยาทำหน้าตกใจกับคำพูดของเพื่อน “อย่าดึงโรสมาอยู่ต่ำอย่างเราเลย แกก็รู้นี่ว่า งานนี้ถึงแม้เงินจะดี แต่ก็ไม่สบาย”
“ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ” ศุภวรรณพูดปัด “พูดไม่ทันขาดคำ โรสก็เดินมาโน่นแล้ว”
จริยาหันไปมองคนที่ตนเองกำลังพูดถึง กรรณิการ์เดินยิ้มให้เพื่อนก่อนมาถึงโต๊ะที่เพื่อนนั่งอยู่ และพอเธอเดินมาในระยะสายตาเห็นใบหน้าได้ชัดเจน จริยากับศุภวรรณก็เห็นรอยบางอย่างตรงลำคอ
“แกโดนใครทำมา” จริยาเห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับกรรณิการ์ คงหนีไม่พ้นถูกคนในบ้านทำร้าย ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสองคนคือ พิสุทธิ์กับสุทธิพงศ์
“ใครบีบคอแก ทำอย่างนี้มันเกินไปนะ” ศุภวรรณมองปราดเดียวก็รู้ว่า เพื่อนสนิทโดนอะไร
“ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว”
“แกก็ช่างเถอะ ช่างเถอะอย่างนี้ทุกที เพราะไอ้คำๆ นี้ไงล่ะ แกถึงโดนพ่อกับพี่ทุบตีแบบนี้ แกไม่ใช่กระท้อนนะถึงได้ทุบเอาตีเอา” จริยาเห็นแล้วเดือดแทนเพื่อน
“คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ เรื่องเงินตามเคยใช่ไหม” ศุภวรรณถามด้วยความอยากรู้
“พี่โตอยากได้เงินห้าหมื่น ฉันไม่มีให้ก็เลยโดนแบบนี้” กรรณิการ์คลายความจริง
“แกไม่ใช่เอทีเอ็มนะ ถึงได้ขอปุ๊บได้ปั๊บ พี่แกก็แปลก ขอเงินแกอยู่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีให้” จริยาไม่ชอบหน้าสุทธิพงศ์สักเท่าไหร่ แต่ก็พูดหรือจะแสดงออกมากก็ไม่ได้
“นั่นสิ พี่แกมีมือมีเท้าเท่ากับแก ทำไมไม่หาเงินเอง” ศุภวรรณกระแทกเสียงไม่พอใจ
“แกสองคนทำโปรเจคส่งอาจารย์นุ่มเสร็จหรือยัง ฉันเสร็จแล้วนะ” กรรณิการ์เปลี่ยนเรื่อง
“ยัง” สองสาวตอบพร้อมกัน
“ฉันช่วยแกสองคนทำนะ ไม่คิดเงิน”
“ถึงแกไม่คิด ฉันกับหวานก็ต้องให้ ให้ล่วงหน้าเลย” จริยาหยิบเงินในกระเป๋าออกมาให้กรรณิการ์สองพันบาท ศุภวรรณก็หยิบเงินมาให้เพื่อนในจำนวนเงินที่เท่ากับจริยาให้ “แกทำงานให้ฉันกับหวานฟรีๆ ไม่ได้ เพราะแกเองก็กำลังลำบากอยู่ แล้วมันไม่ผิดหรอกที่แกจะรับเงิน”
กรรณิการ์มองหน้าเพื่อนสนิททั้งสองแล้วยิ้ม ยื่นมือไปรับเงินมาเก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย
“เย็นนี้ฉันจะไปทำงานให้แกในห้างนะ ทำที่บ้านไม่มีสมาธิ” ที่ห้างในที่นี้คือ ร้านขายเครื่องดื่มประเภทกาแฟที่เธอมักเข้าไปใช้บริการ และถือโอกาสนั่งทำงานไปในตัว
“วันนี้เรามีเรียนแค่คาบเดียว เที่ยงก็กลับแล้ว ฉันว่าแกไปทำงานให้ฉันกับตาที่คอนโดที่ฉันอยู่ดีกว่านะ แกนั่งทำงานได้จนค่ำเลย”
ศุภวรรณเสนอ วันนี้เธอมีนัดกับรัฐรวิศ นั่นหมายความว่า กว่าจะกลับมาคอนโดอีกครั้งก็คงจะดึก เป็นเวลามากพอให้กรรณิการ์ทำรายงาน สะดวกกว่าไปนั่งทำงานในร้านขายเครื่องดื่มที่นั่งไม่น่าจะเกินหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
“แล้วเจ้าของห้องไม่ว่าเหรอที่ฉันเข้าไปยุ่มย่ามในห้องเขา” กรรณิการ์รู้ดีว่า ศุภวรรณกับจริยาทำอาชีพใดเป็นอาชีพเสริม ซึ่งเธอเองไม่ได้รังเกียจที่เพื่อนยึดอาชีพนี้ เพราะคิดว่า ต่างคนต่างมีเหตุผล เธอไม่ก้าวล่วงเหตุผลนั้น แล้วเธอก็ไม่แคร์สายตาใครหากคนนั้นรู้ว่า สองสาวมีอาชีพใด และอาจมองว่าตนทำอาชีพนั้นด้วย
“ไม่หรอก วันนี้ตอนเย็นฉันนัดคุณวิศที่พารากอน กว่าจะกลับถึงคอนโดก็คงสามสี่ทุ่ม แกมีเวลาทำงานได้หลายชั่วโมงเลย”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ บางทีฉันอาจทำงานเสร็จเลย”
“งั้นตกลงตามนี้” ศุภวรรณสรุป “ฉันว่าเราเข้าห้องเรียนกันเถอะ เดี๋ยวจะโดนคุณนายตัดคะแนน”
สามสาวเพื่อนซี้พากันเดินขึ้นไปบนอาคารเรียน เพื่อเข้าเรียนในวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งใช้เวลาเรียนเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง ทั้งสามก็เดินออกมาจากห้องเรียน จริยาแยกตัวไปเยี่ยมมารดาที่บ้าน ศุภวรรณกับกรรณิการ์ไปคอนโดเอสสิเด้นท์ สีลมเพียงสองคน