ควันชาล่องลอย หยอกเย้าลมหนาว 5.1

1907 คำ
ห้า ควันชาล่องลอย หยอกเย้าลมหนาว เช้าวันนี้จวนริมผายังคงเงียบสงบดังเช่นที่ผ่านมา เช่นเดียวกับความเรียบเรื่อยภายในเรือนเคียงวารีที่ยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุดนิ่ง ภายในเรือนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กบัดนี้ปิดบานประตูและหน้าต่างอย่างมิดชิดเพื่อป้องกันมิให้ลมหนาวพัดผ่าน เตาผิงไฟส่งเสียงปริแตกของฟืนที่อยู่ภายใน แผ่ความอบอุ่นมายังร่างของสตรีวัยกลางคนในชุดสีดำสูงค่าหลับตาพริ้ม นอนคว่ำอยู่บนเตียงอย่างผ่อนคลาย ขณะที่ปล่อยให้สาวใช้อีกสองนางนวดไหล่และขาให้อย่างเอาอกเอาใจ “สองสามวันมานี้ข้าได้ข่าวลือหนาหูว่ามีคนนอกเกาะมาพำนักที่นี่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่” ชางเลี่ยงหงผู้กำลังสบายตัวเปรยขึ้นมา น้ำเสียงเกียจคร้านอาบเย้าไปด้วยเสน่ห์ทั้งๆ ที่ร่างกายล่วงเลยวัยสาวมานานพอสมควร “เรียนนายหญิง เห็นว่าเป็นสตรีสองนาง พื้นเพมาจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ เรื่องความเป็นไปในเกาะดอกเหมยไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ไม่เคยหลุดลอดสายตาไปได้ “พวกนางขึ้นเกาะมาเพียงลำพังงั้นรึ” ผู้ถามลืมตาขึ้น “เจ้าค่ะ” “อืม...เป็นเช่นนี้เอง” สตรีผู้สูงศักดิ์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงตามเดิม ส่งผลให้สาวใช้ที่กระตือรือร้น คันปากอยากจะเล่าถึงกับเผยสีหน้าเหลอหลา “นายหญิงจะไม่ถามข้าน้อยเกี่ยวกับพวกนางหรือเจ้าคะ” “ก็แปลกใจอยู่บ้าง” ชางเลี่ยงหงปรับท่าทีให้สบายขึ้น “แต่ในเมื่ออีกวันสองวันพวกนางก็ไปแล้ว ข้าจึงไม่รู้จะสนใจไปทำไม” แน่นอนว่าการที่พวกนางเดินทางมายังเกาะดอกเหมยในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของปีย่อมน่าสนใจ หากเรื่องที่คนนอกห้ามค้างแรมบนเกาะดอกเหมยเกินห้าวันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ด้วยกันทั้งนั้น สาวใช้หันมามองหน้ากัน สตรีผู้นี้คือมารดาของท่านเจ้าเกาะคนปัจจุบัน เดิมทีทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจวนริมผาจะต้องให้นางเป็นคนดูแล ทว่าเรื่องนี้กลับไม่ถึงหูนางเลยแม้แต่น้อย ดูท่าสิ่งที่พวกนางได้ยินมาจะเป็นเรื่องจริง หากผู้เป็นนายทราบเข้าคงกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าพวกนางไม่ยอมบอก...คนที่จะเจอปัญหาใหญ่คงจะไม่พ้นพวกนางเป็นแน่แท้ “นายหญิงเจ้าคะ ข้าน้อยได้ข่าวมาว่าพวกนางได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าเกาะ ให้สามารถพำนักเกินห้าวันได้เจ้าค่ะ” คำพูดของนางส่งผลให้ผู้ที่มีท่าทีเอื่อยเฉื่อยลืมตาโพลง แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “เจ้าพูดว่าอะไรนะ” เผิงซือเยียนน่ะหรือเป็นผู้เอ่ยปากอนุญาตให้คนนอกพักแรม กฎเหล็กข้อนี้เขาเป็นผู้กำหนดขึ้นมาเองแท้ๆ ไฉนเลยจึงกลืนน้ำลายตนเองได้ นี่นางได้ยินผิดไปเองหรือสาวใช้เหล่านี้ปั้นน้ำเป็นตัวกันแน่? “นายหญิง...ที่ข้าน้อยพูดเป็นความจริงเจ้าค่ะ ท่านเจ้าเกาะอนุญาตให้แม่นางทั้งสองพำนักอยู่นานกว่าห้าวัน เห็นว่าอาจจะนานเป็นเดือนๆ เลยนะเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ยืนยันด้วยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าได้ยินมากับหู?” ครานี้สาวใช้ก้มหน้าลง น้ำเสียงไม่มั่นคงเช่นคราแรก “ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ” นางเพียงแค่ฟังผู้คนเขาลือกันมาเท่านั้น ตลอดเวลานางและสหายเป็นสาวใช้ประจำเรือนเคียงวารีไปมาหาสู่เพียงเรือนของนายหญิง เรือนครัว กับเรือนอื่นๆ ที่จำเป็น ไฉนเลยจะไปมีส่วนรู้เห็นกับตา ได้ยินกับหูจากเรือนรับรองทางปีกซ้าย เสียงของอีกฝ่ายเข้มขึ้นจนน่าหวั่นใจ “ในเมื่อเจ้าไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้ยินมากับหู ก็อย่ามาพูดจาเหลวไหล!” “จะ...เจ้าค่ะ! นายหญิงสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว” สาวใช้ทั้งหมดต่างกลัวกันจนลนลาน รีบไปก้มหน้าคุกเข่าบนพื้น “ดี” ร่างที่นอนเหยียดอยู่บนเตียงกล่าวจบก็หลับตาพักผ่อนราวกับเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้น ทว่าในใจกลับครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งได้ฟังอย่างมิปล่อยวาง สาวใช้เห็นผู้เป็นนายไม่ถือสาเอาความก็รีบตรงเข้าไปนวดกายให้หญิงวัยกลางคนตามเติมด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ปากปิดสนิทด้วยไม่อยากถูกเคืองโกรธอีกเป็นระลอกสอง กระทั่งแรงบีบนวดยังต้องระมัดระวังเป็นที่สุด เพียงไม่นานชางเลี่ยงหงมีคำสั่งขึ้นมาอีกครั้ง “ไปตามเหยาเหยามาพบข้า” “เจ้าค่ะ” ผู้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูโค้งกายพร้อมกับเดินจากไป ปล่อยให้ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการดูแลฝ่ายในขบคิดอยู่ตามลำพัง เรื่องนี้ย่อมต้องสืบเรื่องราวดูให้แน่ใจ หากหลังจากนี้สตรีแปลกหน้าทั้งสองพักอาศัยอยู่นานเกินกว่ากำหนดการจริง เห็นทีนางคงต้องเป็นฝ่ายลงมือจัดการด้วยตนเอง ‘ว่างเหลือเกิน...’ ยามที่อยู่เมืองหลวง ตู้ชินอ้ายก็มีงานให้ทำในโรงน้ำชามาโดยตลอด หากมิได้ช่วยชงชาในโรงครัวก็จะอยู่ต้อนรับลูกค้า ทว่าพอมาอยู่เกาะดอกเหมย นางกลับกลายเป็นคนไม่มีอะไรทำจนอดคิดไม่ได้ว่าตนเองกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว ดรุณีน้อยยกมือเท้าคางพร้อมกับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ต่อให้เวลาล่วงเลยมาหลายวัน ทว่าคำพูดของเผิงซือเยียนยังคงดังสะท้อนก้องอยู่ในห้วงคิดอย่างไม่หยุดพัก ในใจชินอ้ายขบคิดไม่หยุดหย่อน ขณะที่ปากกลับเงียบงันประหนึ่งคนบ้าใบ้ ไฉนเลยจะกล้าถามเรื่องพี่สาวหรือกำไลดอกเหมยกับเขาอีก นึกไม่ถึงว่าความตกใจกับความเขินอายจะทำให้นางไม่ได้ออกจากห้องมานานกว่าสามวันสามคืน ยั่วยวน...ยั่วยวน ชินอ้ายครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วยุ่ง หรือว่าแท้จริงแล้วท่านเจ้าเกาะต้องการทดสอบนางว่ามีความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมบ้างหรือไม่กันแน่ ฝ่ายม่อลี่แทบจะแห้งเหี่ยวเฉาตายอยู่รอมร่อ พอสหายไม่ยอมออกไป นางก็ไม่มีอารมณ์จะเดินเที่ยวชมเกาะตามลำพัง พอถามผลจากการไปพบว่าที่สามี อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปริปาก จนกระทั่งยามนี้หลานสาวแห่งโรงน้ำชาชื่อดังก็หมดความอดทน เดินลงไปทรุดกายแนบชิดกับร่างเล็กที่นั่งอยู่บนตั่ง ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดทับลงไปอย่างไม่ออมแรง “เสี่ยวลี่!” ชินอ้ายได้สติก็รีบขืนเอาไว้ ถ้าไม่ทำเช่นนี้มีหวังทั้งนางกับม่อลี่ได้ล้มไปนอนบนพื้น นอกจากจะไม่ใช่ภาพที่น่าดูชมแล้วยังเจ็บตัวอีกต่างหาก “ชินอ้าย... ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าอยากออกไปข้างนอก ข้าเบื่อ...” เสียงยานคางจากร่างที่เกยทับอยู่ด้านบนช่างน่าสงสารและน่าขันในเวลาเดียวกัน “เสี่ยวลี่ นอกเรือนหิมะตกหนัก” “ช่างปะไร ข้าได้ข่าวจากสาวใช้มาว่าท่านเจ้าเกาะออกไปสำรวจท่าเรือตั้งแต่เช้า” คำบอกกล่าวผู้ที่แสร้งทำเป็นร่างไร้กระดูกส่งผลให้ร่างเล็กนั่งหลังตรง สีหน้าดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด “สภาพอากาศย่ำแย่ถึงเพียงนี้” นางพึมพำเสียงแผ่ว ผู้มองกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม จุ๊ปากอย่างหยอกเย้า “ดูสิๆ เจ้ากับเขาเพิ่งได้พบกันครั้งสองครั้ง อย่าบอกนะว่าตู้ชินอ้ายเริ่มเป็นห่วงว่าที่สามีขึ้นมาเสียแล้ว” ม่อลี่หมายมาดอยากจะเห็นสหายคนสนิทมีท่าทีเก้อเขินดูสักครา แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อใบหน้ารูปหัวใจกลับเผยความกลัดกลุ้ม เล่นเอาคนแกล้งถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว ชินอ้ายลอบถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงมิอาจทำให้ปรารถนาของพี่สาวเป็นจริงได้ แต่หากจะให้นางยั่วยวนเขาก็ไม่ต่างจากการมอบหมายภารกิจที่มืดแปดด้านมาให้ เช่นนี้นางจะทำเช่นไรดีเล่า... นางกรอกตาไปมาเล็กน้อย ก่อนจะฉุดคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ” “จริงสิ? ” ม่อลี่ที่จ้องหน้านางอยู่ทวนเสียงสูง ไม่อาจเข้าใจว่าร่างเล็กกำลังคิดอันใดอยู่ “เรามีอยู่ที่นี่ก็หลายวันแล้ว ข้าวปลาอาหารนั้นเลิศรส เครื่องนุ่มห่มก็แสนสบาย ล้วนครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม เห็นได้ชัดว่าเกาะดอกเหมยแห่งนี้ให้การต้อนรับพวกเราอย่างดีมากเพียงไร” นางกล่าวจบก็ก้มหน้ามองพื้น นึกตำหนิตนเองที่มัวแต่กังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนเผลอทำการเสียมารยาทอย่างไม่น่าให้อภัย “ท่านเจ้าเกาะดีกับข้าและเจ้าถึงเพียงนี้ แต่เรายังไม่มีโอกาสตอบแทนหรือขอบคุณท่านเลย” “แล้วอย่างไรต่อ” ครานี้เป็นฝ่ายม่อลี่บ้างที่เท้าคางลงกับขอบหน้าต่าง อ้าปากหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน อากาศเย็นสบายเช่นนี้หากไม่ได้ออกไปเดินเล่นมีหวังนางคงได้นอนจำศีลเป็นแน่แท้ ชินอ้ายก็ยังคงเป็นชินอ้ายวันยังค่ำ เอาเข้าจริงๆ นางก็สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงเลือกที่จะใช้มุมมองแตกต่างจากผู้อื่นอยู่เสมอ แรกเริ่มก็คิดว่าชินอ้ายได้นิสัยหลายอย่างมาจากท่านป้า แต่มันใช่สิ่งที่ดรุณีวัยสิบสี่ปีควรจะเป็นแน่หรือ? ...บางทีเรื่องนิสัยใจคอนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่อีกฝ่ายเรียกว่าพี่สาวก็เป็นได้ “ข้าจะไปเตรียมชาเพื่อต้อนรับท่านเจ้าเกาะกลับมา” ม่อลี่ได้ฟังคำของชินอ้ายแล้วถึงกับหน้าแทบคว่ำจากขอบหน้าต่าง เริ่มเชื่อแล้วว่าอีกฝ่ายยังเป็นสาวน้อยวัยเดียวกันจริงๆ แหม...ก่อนหน้านี้พูดจาเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะ ที่แท้ก็หวังเพียงจะตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ให้เท่านั้นเอง เดิมคิดว่าเรื่องวิธีการตอบแทนของชินอ้ายประหลาดแล้ว ทว่าการที่ซางฉือเห็นดีเห็นงามไปด้วยนับว่าน่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่า ม่อลี่ซึ่งถือตะกร้าสานจากไม้ไผ่โดยมีชินอ้ายเดินขนาบอยู่ข้างกายเลิกคิ้วอย่างฉงน เบื้องหน้าคือบ่าวรับใช้หนุ่มในอาภรณ์สีขาวซึ่งเดินนำทางพวกนางไปยังเรือนเก็บใบชา ในเมื่อชินอ้ายยืนกรานหนักแน่นว่าจะทำทุกขั้นตอนด้วยตนเองแม้กระทั่งการเลือกเฟ้นใบชา สหายรักไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้วจึงอาสามาเป็นเพื่อน “แม่นางตู้ แม่นางม่อ ถึงที่หมายแล้วขอรับ” ซางฉือเอ่ยพลางผายมือไปยังเรือนเล็กซึ่งไม่มีหน้าต่างเลยสักบานเดียว “ขอบคุณท่านซาง” ชินอ้ายกล่าวขอบคุณ ผิดกับม่อลี่ที่จ้องมองผู้นำทางตาไม่กระพริบ ชายหนุ่มทนไม่ได้กับความรู้สึกอึดอัด จึงถามขึ้นมาอย่างสุภาพ “แม่นางม่อมีอะไรจะกล่าวกับข้าน้อยหรือไม่ขอรับ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม