ปรารถนาสุดท้าย 2.2

1957 คำ
สอง ปรารถนาสุดท้าย ว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าคือเผิงซือเยียน...จ้าวเกาะดอกเหมย เผิงซือเยียน...จ้าวเกาะดอกเหมย จ้าวเกาะดอกเหมย... ปัง! เสียงประหนึ่งของหนักที่ชนเข้าอย่างแรงดังสนั่นหวั่นไหว ผู้คนในโรงน้ำชา ไม่ว่าลูกจ้างหรือลูกค้าล้วนหันไปมองก่อนจะเบือนสายตากลับมาหากัน ริมฝีปากอ้ากว้างสลับกับปิดสนิทประหนึ่งปลาขาดน้ำ อับจนด้วยคำพูดที่จะเอื้อนเอ่ย ม่อลี่ซึ่งนั่งเท้าคางเฝ้าร้านแทนเถ้าแก่เนี้ยแทบหน้าคว่ำฟาดลงบนโต๊ะ จำต้องขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีกเพื่อให้แน่ใจว่านางมิได้ตาฝาด ประเสริฐยิ่งแล้ว! ตู้ชินอ้ายเลอะเลือนถึงขั้นเดินชนกำแพง! “อาอ้าย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” ลั่วสื่อปราดเข้าไปหาผู้ที่ยืนลูบหน้าผากอยู่หน้ากำแพงแข็ง ครั้นเห็นแววตาเหม่อลอยของชินอ้ายเบือนมามองที่ตนก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เจ็บมากไหม ไหน...ให้ข้าดูหน่อย” ดรุณีน้อยพยักหน้าให้เขาก่อนจะเอามือออก บนหน้าผากกลับปรากฏรอยแดงซึ่งเกรงว่าอาจกลายเป็นรอยช้ำ ความรู้สึกชาในทีแรกเริ่มถูกทดแทนด้วยความเจ็บปวดหนึบๆ ราวกับถูกบางอย่างทุบตีหน้าผากอยู่ตลอดเวลา “ท่านลุงลั่ว...ข้าเจ็บ” ชินอ้ายน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร ชินอ้ายเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของ ‘เซียนดื่มชา’ ด้วยเหตุนี้เองม่อลี่จึงรู้สึกว่าเหล่าบรรดาคนเฒ่าทั้งหลายเริ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ หวังจะเข้ามาดูอาการของเด็กสาว แต่ก่อนที่เค้าความวุ่นวายจะทันได้เกิดขึ้น นางด็กระโดดลงจากเก้าอี้ พร้อมกับยื่นมือไปจับแขนเรียวบางของคนเจ็บ “ท่านลุง ข้าจะพาชินอ้ายไปทำแผลเอง” นางเห็นชินอ้ายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว หลังจากที่พี่สาวผู้แสนประเสริฐจากไป สหายของนางก็เอาแต่นั่งเหม่อสลับกับยืนเหม่อ ข้าวปลาอาหารก็แทบมิได้แตะต้อง เดิมทีคิดว่าอาจจะเป็นเพราะชินอ้ายคะนึงถึงผู้มีพระคุณที่จะมาเยี่ยมเพียงปีละครั้งจึงไม่อยากพูดอะไร ทว่าการที่เลยเถิดถึงขั้นเจ็บตัวก็ทำให้ม่อลี่มิอาจแสร้งนิ่งเฉยอีกต่อไป เรื่องนี้เห็นทีว่าหากมิได้เค้นออกจากปาก คืนนี้นางคงไม่อาจข่มตานอนหลับลงได้ ลั่วสื่อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ได้ กล่องยาวางอยู่บนชั้นตำราในห้องนอนข้า เจ้าเข้าไปหยิบใช้ได้เลย” โรงน้ำชาเป็นสถานที่พักผ่อน จะปล่อยให้เกิดเรื่องวุ่นวายก็คงไม่เหมาะสมนัก “ดูแลอาอ้ายให้ดี หากนางเจ็บหนักก็รีบเรียกท่านหมอมาดูอาการ” “ท่านลุง...” ม่อสื่อลากเสียงยาวให้กับความเป็นห่วงเป็นใยจนเกินเหตุของผู้อาวุโส แต่เมื่อต้องเผชิญกับสายตาหลายคู่ที่จ้องตรงมายังตนจึงมิอยากต่อความยาวสาวความยืด ขืนชักช้ามีหวังพวกนางจะถูกกักตัวไว้ที่นี่ด้วยกลุ่มคนในโรงน้ำชาเข้าเสียก่อน “ข้าทราบแล้ว รับรองว่าจะดูแลนางเป็นอย่างดี” ครั้นตกปากรับคำเสร็จก็พาชินอ้ายกลับมายังเรือนนอน กล่องยาที่ไปหยิบมาวางบนโต๊ะข้างเตียง ม่อลี่ทรุดกายลงนั่งเคียงข้างดรุณีผู้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เตรียมจะทายาให้แผลที่เริ่มปูดบวมขึ้นมา “เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ชินอ้ายเบือนสายตาจากมือซึ่งกุมอยู่บนตักไปยังสีหน้าห่วงใยของสหาย คำว่าแต่งงานกับจ้าวเกาะดอกเหมยและชื่อเผิงซือเยียนวนเวียนอยู่ในหัวนางซ้ำไปซ้ำมา จนนางไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี “ขอเวลาให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่” “ไม่ต้องมาทำเป็นขอเวลาเลย” ม่อลี่ไม่เพียงพูดเปล่า นางยังแตะยาลงบนหน้าผากแดงช้ำจนคนเจ็บสะดุ้งสุดตัว แต่ผู้ทำแผลก็หาได้เบามือลงไม่ “ตู้ชินอ้าย รึใจเจ้าคิดจะชนกำแพงจนพัง รินน้ำชาใส่มือลูกค้าเข้าเสียก่อนถึงจะยอมปริปากพูด” “เสี่ยวลี่ เบาๆ หน่อยสิ” คนเจ็บสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก จนกระทั่งทำแผลเสร็จจึงกล่าวอ้อมแอ้ม “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า...แต่หากข้าพูดไปแล้วเจ้าเอาไปบอกต่อมันจะเป็นเรื่องใหญ่” ม่อลี่ใบหน้าดำคล้ำ “เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากกำลังบอกว่าไม่ไว้ใจข้า!” นางโวยวายพลางจ้องเขม็งไปยังแผลปูนบนหน้าผากเพื่อนสาวพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นมา “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากเจ้าไม่ยอมพูด...ข้าจะใช้นิ้วจิ้มแผลเจ้า!” น้ำเสียงนางข่มขู่อย่างเปิดเผย ชินอ้ายตกใจ รีบยกมือขึ้นร้องห้าม “พูด...ข้าพูดแล้ว เสี่ยวลี่ เจ้าช่างไม่ทะนุถนอมข้าเสียเลย” “ช่างกล้าพูด” นางย่นจมูก “ในโรงน้ำชาแห่งนี้...ไม่สิ ตั้งแต่ในยันนอกโรงน้ำชาก็มีแต่คนโอ๋เจ้า ทะนุถนอมเจ้ากันทั้งนั้น ขืนข้าตามใจเจ้าอีกคนมีหวังเจ้าได้กลายเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันพอดี” ผู้กล่าวเก็บขวดยาเข้ากล่องไม้ก่อนจะยกมือเท้าสะเอว สีหน้าจริงจังขึ้น “เอาล่ะ คายความกลุ้มใจของเจ้าออกมาเสียที หากเจ้ามีปัญหาไม่สบายใจ จำไว้เสมอนะว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว” ผู้ฟังมองสตรีที่เติบโตมาด้วยกันอย่างซาบซึ้งใจ แม้อีกฝ่ายจะดูเป็นคนโผงผาง แต่นางย่อมรู้ดีว่าแท้จริงเสี่ยวลี่ปรารถนาดีต่อนางมากเพียงไร ชินอ้ายสูดหายใจเข้าลึก ชั่งใจอยู่นานแต่ก็ยอมปริปากไปในที่สุด “ข้ากำลังจะแต่งงาน” นึกไม่ถึงว่าการตอบสนองที่ได้รับจะเป็นคิ้วดกดำของม่อลี่ที่กดลงจนแทบจะกลืนกลายเป็นเส้นเดียวกัน “เมื่อครู่นี้หัวเจ้าคงโขกกำแพงแรงเกินไป สมองเจ้ากระเทือนไม่น้อย นอนสักพักประเดี๋ยวน่าจะดีขึ้น” สาวน้อยพึมพำด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าไม่หายก็คงต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการเจ้าเพิ่มเติมอย่างที่ท่านลุงบอกจริงๆ...” “เสี่ยวลี่ ข้ามิได้เลอะเลือน...ข้าพูดจริงนะ” ดรุณีน้อยโอดครวญเมื่อม่อลี่ไม่ยอมเชื่อนางเสียอย่างนั้น ครานี้อีกฝ่ายตบหน้าตนเองเบาๆ สองที แย่ล่ะสิ...นางมิได้ฝันไป นี่สหายของนางกำลังจะได้เป็นเจ้าสาวจริงๆ รึ! “ใครให้เจ้าแต่ง?” เสียงแหลมสูงดังขึ้นอีกเท่าตัว “พี่สาว...” “ฮึ!” นางเค้นเสียงทันควัน “พี่สาวเจ้านี่ช่างเหลือเกิน! เห็นเจ้าเป็นหุ่นไม้หรืออยากไรถึงได้เที่ยวยกเจ้าให้คนนู้นคนนี้โดยไม่ถามความเห็นเจ้าสักคำ” “การแต่งงานนี้ถือเป็นปรารถนาสุดท้ายของพี่สาว ข้ามิอาจปฏิเสธได้” เหตุผลของชินอ้ายส่งผลให้ผู้ฟังถึงกับพ่นลมหายใจแรง “เจ้าจะแต่งให้กับผู้ใด” “ผู้ที่ข้าต้องแต่งด้วยคือท่านเจ้าเกาะดอกเหมย เผิงซือเยียน” ร่างของม่อลี่เด้งตัวลุกขึ้นทันควัน มิหนำซ้ำยังเดินไปเปิดหีบผ้าของนางแล้วรื้อของออกมาเสียมากมาย เล่นเอาชินอ้ายต้องขยับตัวหลบเสื้อผ้าที่โยนขึ้นมาบนเตียงแทบไม่ทัน “เสี่ยวลี่ เจ้าทำอะไร” เด็กสาวเห็นท่าทีรีบร้อนของสหายก็พลอยตกใจไปด้วย “ยังจะมาถามอีก ข้าจะพาเจ้าหนีไปอย่างไรเล่า!” สีหน้าแตกตื่นของชินอ้ายแปรเปลี่ยนเป็นมึนงง “เหตุใดจึงต้องหนี” ม่อลี่หยุดมือก่อนจะเบือนหน้ามามองร่างเล็กด้วยสีหน้าอึ้งทึ่ง “สวรรค์...อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องของท่านเจ้าเกาะดอกเหมย เผิงซือเยียน?” “ข้าไม่รู้เลย” นางส่ายหน้า “เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือ” “ตู้ชินอ้าย เจ้าถามได้ถูกคนแล้ว” ท่าทีของหลานสาวของเถ้าแก่เนี้ยดูมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง “ในแคว้นเหลียวแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่ผ่านหูผ่านตาข้าไปได้ ข้าผู้นี้จะช่วยแถลงไขคุณสมบัติของ ‘ว่าที่สามี’ ของเจ้าให้ฟังเอง” กล่าวพลางใช้สายตาปลอบใจสหายราวกับผู้ใหญ่ปลอบเด็กน้อย “กิจการของตระกูลเผิง จ้าวเกาะดอกเหมยกว้างใหญ่ไพศาล ที่ชัดเจนสุดคือสมุนไพร รองลงมาคือชา อย่างโรงน้ำชาแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในกิจการของตระกูลเผิง” “ช้าก่อนเสี่ยวลี่” เด็กสาวรีบยกมือห้าม ดวงตาเบิกกว้างจนกระเทือนถึงแผลที่หน้าผาก สุดท้ายใบหน้าน่ารักจึงนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด หากปากก็ยังถามต่ออย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “จะ...เจ้ากำลังบอกว่าที่นี่คือกิจการของท่านเจ้าเกาะ?” นางไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย หรือแท้จริงแล้วสาเหตุที่พี่สาวนำนางมาฝากไว้ที่โรงน้ำชาแห่งนี้ จะเป็นเพราะว่านางเองก็มีความสัมพันธ์กับตระกูลเผิงเช่นเดียวกัน “ใช่ ท่านลุงลั่วเป็นเถ้าแก่ก็จริงอยู่ แต่เขาก็ยังเป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งในเครือตระกูลเผิง” ม่อลี่ผุดกายลุกขึ้นจากกองเสื้อผ้าขณะที่กวาดตาไปรอบข้าง เริ่มมองหาของใช้อื่นๆ ที่สมควรพกติดตัวไปด้วย “ที่สำคัญคือท่านเจ้าเกาะยังมีนิสัยแปลกประหลาด สวมใส่หน้ากากสีดำอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง คาดว่าคงเกิดมาพร้อมกับใบหน้าอัปลักษณ์ ข้าได้ยินชาวบ้านเขาลือกันว่าความอันตรายของท่านเจ้าเกาะร้ายแรงถึงขั้นที่มิอาจปล่อยให้คนนอกเกาะเข้าไปค้างแรมเกินห้าวัน” นางกล่าวจบก็เบือนสายตาไปยังเจ้าของห้อง ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงก็รีบเดินเข้าไปหา ถามด้วยสีหน้ากังวล “ชินอ้าย เจ้าเป็นอะไรไป อ๋อ...เจ้ากลัวเขาใช่หรือไม่” ผู้ถูกถามเงยหน้าขึ้น “มิใช่” ดวงตาหวานสั่นระริกขณะที่เจ้าตัวส่ายหน้าน้อยๆ “ข้าสงสารเขาต่างหาก เพียงคิดว่า หากข้าเป็นท่านเจ้าเกาะที่ต้องสวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาคงอึดอัดแย่ เจ้าลองคิดดูสิ ไม่ว่าใบหน้าของเขาจะอัปลักษณ์หรือไม่ก็ช่าง...แต่คนเราไม่อาจมองเห็นหน้าตนเองได้ ที่ท่านเจ้าเกาะเลือกที่จะสวมหน้ากากก็เพื่อความสบายใจของผู้อื่น เขาทำเพื่อผู้อื่น...มิใช่เพื่อตนเอง” เด็กสาวอีกคนได้ฟังก็นิ่งไปพักใหญ่ ครั้นใคร่ครวญดูให้ดีแล้วก็พบว่าคำพูดของนางนับว่ามีเหตุผล “จริงด้วย...ข้ามิเคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย” ม่อลี่มีสีหน้ารู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด “ดังนั้นข้าจึงเชื่อว่าท่านเจ้าเกาะย่อมไม่ใช่คนอันตรายอย่างที่ผู้คนพากันครหา หากเราไปพบเขาแล้วเป็นอย่างที่เจ้าพูดก็ถือว่าข้าคิดผิด แต่หากเราเชื่อในสิ่งที่ผู้อื่นตัดสินโดยไม่เห็นกับตาก็จะกลายเป็นว่าเราตีค่าคนผิด นับว่าเลวร้ายกว่ามาก” ดวงหน้ารูปหัวใจคลี่ยิ้มบางเบา บรรยากาศรอบกายช่างละมุนละไมยิ่งนัก นางรับปากพี่สาวไปแล้ว...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจคืนคำ “เสี่ยวลี่ เจ้าไม่ต้องจัดของ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม