ผู้เฒ่าจันทรา 6.1

1890 คำ
หก ผู้เฒ่าจันทรา ...มีผู้คนกล่าวไว้ว่าดวงตาสื่อสารความนึกคิด ...มีผู้คนกล่าวไว้ว่าดวงตาสะท้อนความรู้สึก ทว่าสวรรค์เบื้องบน...ตู้ชินอ้ายช่างโง่งมนัก สิ่งเดียวที่นางเห็นคือความงดงามประหนึ่งดวงดาวบนฟากฟ้าแห่งคืนเดือนมืดในดวงเนตรของเผิงซือเยียน ท่านเจ้าเกาะเคลื่อนสายตาจากดรุณีน้อยอย่างเชื่องช้า จวบกระทั่งหยุดลงที่มือเล็กซึ่งตรึงแขนตนไว้แน่นราวกับสิ่งล้ำค่าที่มิอาจปล่อยให้หลุดมือไป ว่ากันว่าเฒ่าจันทราเป็นผู้ชักนำคู่วาสนามาพานพบ หากจะสานต่อหรือไม่นั้นเป็นทางเลือกของมนุษย์ “เจ้า...จะไม่คืนคำใช่หรือไม่” “ไม่คืนคำเจ้าค่ะ” เสียงของเด็กสาวแม้ไม่เด่นชัดจนกึกก้อง ทว่าความหนักแน่นในน้ำเสียงกลับกินใจเสียยิ่งกว่าถ้อยคำสวยหรูที่เขาเคยได้ยินมาตลอดชีวิต หลายปีผ่านพ้น แต่นางก็ยังคงเป็นนาง เป็นอ้ายเอ๋อร์ที่เหมือนเดิมมิเคยเปลี่ยน “เจ้ารับปาก?” “ข้ารับปากเจ้าค่ะ” นางกล่าวจบก็เพิ่งรู้ตัวว่าการแตะเนื้อต้องตัวผู้อาวุโสกว่าโดยไม่ขออนุญาตถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง แต่ทันทีที่ปล่อยมือกลับกลายเป็นว่ามือเล็กถูกรวบเข้าไปอยู่ในมือใหญ่ ความเย็นจากมือของเขามิอาจบรรเทาอาการประหม่าของนางให้ลดลง ในทางตรงกันข้าม มันรังแต่จะเพิ่มมากขึ้นจนนางรู้สึกว่ามีคนลั่นกลองอยู่ภายใน ใบหน้าของเด็กสาวถูกอาบย้อมด้วยสีผลอิงเถา[1] นางก้มหน้าลง ไม่ยอมสบสายตาผู้สวมหน้ากากสีดำ ผู้ที่จับมือย่อมสัมผัสได้ว่านางเขินอายมากเพียงไร จึงกระชับมือเล็กอย่างอ่อนโยนแต่หนักแน่นในเวลาเดียวกัน ก่อนหน้าเพราะความใจร้อนเขาจึงได้เร่งเร้า ยามนี้ถึงได้รู้ว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับความสุขเล็กๆ ที่ได้จากมือเล็กอันแสนอบอุ่นนี้ ต่อให้ภายหลังนางเกิดเปลี่ยนใจ เขาก็จะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไปอีกแล้ว เผิงซือเยียนย้ำเตือนกับตนเองอยู่ในใจ ก่อนจะกล่าวกับผู้ที่นั่งก้มหน้าด้วยน้ำเสียงเชิญชวนดูอยู่ในที “พรุ่งนี้ข้าอยากจะพาเจ้าไปยังสถานที่หนึ่ง เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่” “ไปที่ใดหรือเจ้าคะ” ชินอ้ายถามกลับอย่างใคร่รู้ “เมื่อไปถึง... เจ้าก็จะรู้เอง” ล่วงเลยเข้าสู่วันที่สี่ ม่อลี่กลับตัวร้อนเป็นไข้สูง เด็กสาวแต่นอนซมอยู่บนเตียงอย่างน่าสงสาร ชินอ้ายเช็ดตัวให้นางไป มองหน้าแดงๆ ของสหายไปด้วย สภาพอากาศบนเกาะดอกเหมยทั้งหนาวทั้งชื้นไม่เหมือนกับเมืองหลวง ม่อลี่คงปรับร่างกายไม่ทันเนื่องจากอ่อนเพลียจากการเมาเรือบนสำเภามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ “เสี่ยวลี่ วันนี้ข้าจะอยู่เฝ้าไข้เจ้าเอง” เด็กสาวเอ่ยพลางบิดน้ำร้อนออกจากผ้า ดูท่านัดหมายของนางกับท่านเจ้าเกาะคงต้องยกเลิกเสียแล้ว ผู้ฟังปรือตาขึ้นมาอย่างอ่อนล้า ศีรษะจะหนักอึ้งอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับหนักสาหัส “เจ้ามีนัดมิใช่หรือ ข้า...ไม่อยากให้ท่านเจ้าเกาะโกรธข้าอีกแล้ว” กลิ่นอายกดดันน่ากลัวเมื่อวานนี้ยังเด่นชัดอยู่ในความทรงจำไม่หาย ถึงแม้ชินอ้ายจะมาบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขุ่นข้องเรื่องนี้ แต่นางก็เลือกที่จะลดความเสี่ยงต่อการแหย่หนวดเสือเป็นคราที่สองอยู่ดี “เจ้ามาที่เกาะดอกเหมยก็เพราะข้า จะให้ข้าทิ้งเจ้าไปได้อย่างไรกัน” “...หรือเจ้าจะให้ท่านซางเรียกคนมาหามข้าเดินตามพวกเจ้ากันเล่า” ม่อลี่เว้นจังหวะเพื่อไออยู่นาน จากนั้นก็หันกายตะแคงหนีไปอีกทาง “เจ้าอย่าอยู่เฝ้าไข้ข้าเลย หากเจ้าป่วยไปอีกคนจะยิ่งแย่ ประเดี๋ยวพี่ๆ สาวใช้คงมาดูแลข้าเอง” “ก่อนหน้านี้เจ้าบ่นว่าอยากออกไปข้างนอก” แน่นอนว่าชินอ้ายลังเล นางไม่อยากปล่อยให้สหายที่เจ็บไข้อยู่อย่างโดดเดี่ยว “ข้าออกไปแน่ แต่ต้องมิใช่ในสภาพนี้” นางยืนกราน “เจ้าควรจะสร้างความคุ้นชินกับว่าที่สามีของเจ้าให้มาก” “แต่...” “ไม่ต้องแต่แล้ว เจ้าออกไปเถิด ข้าจะพักผ่อน” คนป่วยกล่าวจบก็ปิดเปลือกตาลง เพียงไม่นานก็มีเสียงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ จมเข้าสู่ห่วงนิทราอย่างรวดเร็ว ชินอ้ายเห็นดังนั้นก็ลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงผ้านวมห่มให้สหายจนมิดคอ จัดท่านอนอีกฝ่ายให้สบายขึ้น เมื่อเรียบร้อยดีก็ก้าวออกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบ ม่อลี่ไล่ให้นางไปถึงเพียงนี้ หากนางไม่ไปคงถูกโกรธเอาแย่ นางเองก็ไม่อยากผิดสัญญากับท่านเจ้าเกาะที่ให้เกียรติเชิญชวนนาง ถ้ารีบไปรีบกลับคงเป็นการดี ร่างเล็กคิดพลางหยิบเสื้อคลุมสีแดงตัวหนาขึ้นสวมทับอย่างระมัดระวัง เพ่งพินิจเงาสะท้อนบนบานกระจกทองเหลือง ครั้นเห็นว่ามีจุดที่เส้นผมยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อยก็รีบหยิบหวีหยกขึ้นมาหวีเรือนผมสีดำขลับของตน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าอยากให้ตนเองดูดีกว่าที่เป็นอยู่ ชินอ้ายหันซ้ายหันขวา ยกมือเพื่อคลำกำไลข้อมือด้วยความเคยชินก่อนจะพบว่ามันว่างเปล่า คราวก่อนนางลืมทวงคืนของสำคัญจากเผิงซือเยียน ไว้วันนี้คงต้องหาโอกาสถามเขาเรื่องกำไลดอกเหมยให้จงได้ นางย้ำเตือนกับตนเองก็จริงอยู่ หากตลอดเวลาที่นาง ท่านเจ้าเกาะกับซางฉือออกเดินทางจากจวนริมผา เด็กสาวกลับถูกความตกใจพัดพาเอาความตั้งใจเตลิดไปไกลถึงไหนต่อไหน นางยืนประจันหน้ากับอาชาไนยสีน้ำตาลเหอเถา[2] ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้า คายไม่ออก ท่านเจ้าเกาะกล่าวว่าเส้นทางในวันนี้ค่อนข้างไกลและลำบากอยู่บ้าง หากจะเดินไปก็คงไม่สะดวกนัก “ท่านเจ้าเกาะเจ้าคะ ข้า...” นางอยากบอกเขาเหลือเกินว่านางมีความทรงจำไม่ดีเกี่ยวกับม้า ครั้นวัยเด็กนางเกือบถูกม้าพยศทำร้ายหากไม่มีพี่สาวมาช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ถ้าพูดออกไปก็มิเท่ากับว่านางกลายเป็นคนเรื่องมากในสายตาสองนายบ่าวหรอกหรือ “ข้ารับรองว่าปลอดภัย” ในเมื่อชายหนุ่มยืนยันเช่นนี้ ชินอ้ายจะมีข้อโต้แย้งใดๆ ได้อีกเล่า... ตลอดสองข้างทางเงียบสงัดไร้บ้านเรือนหรือผู้คน ซางฉืออธิบายให้ฟังว่าในรัศมีแปดลี้จากจวนริมผาจะไม่อนุญาตให้ชาวบ้านผู้ใดปลูกเรือนอยู่ ส่วนการเก็บของป่าหรือสมุนไพรหายากก็จะมีการจัดตารางเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของหมู่บ้านต่างๆ เด็กสาวหวังจะถามเพิ่มเติม แต่เกรงว่าคงไม่เหมาะสม ยามนี้นางเป็นเพียงคนต่างถิ่นจึงไม่ควรละลาบละล้วงมากจนเกินไปนัก ดรุณีน้อยในชุดแดงนั่งเกร็งตัวอยู่บนหลังอาน ด้านหลังมีร่างสูงโปร่งนั่งซ้อนท้ายโดยยื่นมือออกมากุมบังเ**ยน วงแขนแข็งแกร่งที่โอบผ่านลำตัวคล้ายคลึงกับว่ากำลังกอดนาง ความเงรยบที่ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าน่าอึดอัด แต่เด็กสาวก็ไม่อาจข่มใจให้สงบลงได้อยู่ดี ผู้เป็นบ่าวรับใช้บนอาชาอีกตัวมองหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินเคียงคู่กันอยู่เบื้องหน้า ครุ่นคิดไปถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่ในเรือนของท่านเจ้าเกาะ พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อว่านายของเขาผลัดเปลี่ยนชุดถึงสามครั้งก่อนจะออกไปรับแม่นางตู้ ความพิถีพิถันของเผิงซือเยียน ซางฉือมิได้เห็นมานานแล้ว เช่นนั้นย่อมหมายความว่าการส่งตัวตู้ชินอ้ายเพื่อมาแต่งงานกับท่านเจ้าเกาะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เห็นทีต้องรีบรายงานให้ ‘ท่านผู้นั้นทราบ’ ซางฉือครุ่นคิดในใจอย่างเงียบงันพลางกวาดสายตาไปยังย่ามบรรจุน้ำและอาหารว่างที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวม้า บนแผ่นหลังของเขาแบกร่มไว้อีกสองคัน อาชาสองตัวมุ่งไปยังทิศเหนือ แม้จะไร้วี่แววว่าหิมะจะโปรยปรายลงมา หากการเตรียมตัวไว้ก่อนถือเป็นเรื่องดี หลังจากเดินทางมาได้ครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงบริเวณป่าเหมยแดงซึ่งออกดอกบานสะพรั่งละลานตา สีแดงสดโดดเด่นตัดกับผืนฟ้าสีทึมและหิมะเบื้องล่าง กลายเป็นสีสันที่ชวนให้ชินอ้ายหายเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เผิงซือเยียนจับถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของดรุณีน้อยจึงลงจากม้าและประคองนางลงมา นางกล่าวขอบคุณขณะที่ก้าวเท้าช้ากว่าปกติ ในใจอยากดื่มด่ำกับทัศนียภาพทั้งหลายให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้างกายเล็กยังคงมีร่างของท่านเจ้าเกาะจูงอาชาไนยเคียงคู่ไม่ยอมห่าง มิทันไรนางก็พลันสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ คราแรกนางมาถึงเกาะดอกเหมย นางจำได้ว่าชายหนุ่มเดินนำนางไปหลายก้าว แต่พอมาวันนี้เขากลับก้าวช้าและเล็กลงเพื่อให้นางเดินตามได้ทัน การเอาใจใส่ในรายละเอียดเรียกให้นางช้อนมองแผ่นหลังกว้างสีดำซึ่งตัดกับดอกเหมยสีสด เกิดความละมุนละไมขึ้นในใจ ยามนี้ทุกอย่างช่างสมบูรณ์แบบเสียจนอยากหยุดเวลาไว้ หากสบโอกาสนางก็อยากพาม่อลี่มาที่นี่บ้าง ความงามแสนล้ำค่านี้มิต้องไปเยือนถึงแดนสวรรค์ ในเมื่อธรรมชาติได้สร้างมันไว้ในดินแดนมนุษย์แล้ว... “เจ้าอยากเก็บกลับไปฝากนางหรือไม่” เขาถามราวกับอ่านใจนางได้ ชินอ้ายเผลอยกมือขึ้นมาคลำใบหน้าตนเองผู้มองประหลาดใจกับท่าทีดังกล่าว “เป็นอะไรไป” “ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ” นางตอบอ้อมแอ้ม แต่เมื่อดวงตาสีเข้มจดจ้องนางไม่เลิกรา เด็กสาวจึงต้องรีบชิงอธิบายด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด “ข้าเพียงแค่สงสัยว่าตนเองเผลอเผยความรู้สึกผ่านทางสีหน้ามากเกินไปหรือไม่... ก็เท่านั้นเจ้าค่ะ” ยามเช้าเผิงซือเยียนดูออกว่านางกลัวการขี่ม้า มายามสายยังรู้ว่านางคิดถึงเสี่ยวลี่ นางไม่อยากให้อารมณ์ส่วนตัวมาทำให้ท่านเจ้าเกาะต้องมาคอยสังเกตสีหน้าของนางอยู่บ่อยๆ เช่นนี้แล้วเขาจะเพลิดเพลินกับการเดินทางได้อย่างไร “เปิดเผยก็ดี...ไม่เปิดเผยก็ดี” เสียงนุ่มทุ้มที่มิได้เรียบนิ่งดังเดิมส่งผลให้ชินอ้ายเอามือลง บนมุมแก้มเกิดรอยบุ๋มจากรอยยิ้มน่ารักอันไร้เดียงสา เป็นคราแรกที่นางยิ้มให้เขาโดยไม่มีสิ่งอื่นมาข้องเกี่ยว “เหตุใดจึงยิ้ม” [1] ผลอิงเถา (**) หมายถึง ผลเชอร์รี่ [2] เหอเถา (**) หมายถึง วอลนัท
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม