สี่
ว่าที่สามี
ใบหน้าของตู้ชินอ้ายสลดลง ขณะที่สีหน้าของบ่าวหนุ่มเผยความลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องนี้แน่นอนว่ายังมิได้กล่าวรายงานต่อท่านเจ้าเกาะ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่มีการแต่งงานตามหมายกำหนดการเดิม
ซางฉือสาวเท้าเข้าใกล้ผู้เป็นนาย ปล่อยให้เด็กสาวที่ใช้เขาเป็นโล่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตามลำพัง แล้วยกมือขึ้นป้องปาก กระซิบข้างหูผู้เป็นนายอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้แขกทั้งสองได้ยิน “ท่านเจ้าเกาะ เรื่องนี้เป็นคำสั่งของ...”
เขากล่าวจบก็ผละออกมาอย่างสุภาพ จากนั้นก็เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ ม่อลี่ซึ่งกำลังส่งสายตาปลอบขวัญไปยังชินอ้ายด้วยความเป็นห่วง
‘ชินอ้าย...ข้าเตือนเจ้าแล้วใช่ไหมว่าท่านเจ้าเกาะเป็นคนประหลาด แถมยังน่ากลัวจะตาย บอกให้หนีไปด้วยกันตั้งแต่แรกก็ไม่เชื่อ’ ดวงตาคนพูดเหลือกไม่พอ ยังกรอกไปมาจนน่าเวียนหัว
ตู้ชินอ้ายจะรับมือคนอย่างเผิงซือเยียนได้หรือ? หากปล่อยให้อยู่ที่นี่แล้วนางถูกรังแกเล่า?
แต่ดูท่า ความเป็นห่วงของม่อลี่จะไม่อาจส่งไปถึงสหายผู้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่แม้แต่จะชายตาหันมามองนางอีกเป็นครั้งที่สอง
ฝ่ายเผิงซือเยียนไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก ความเงียบที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งเพิ่มความหนาวเย็นให้กับบรรยากาศรอบกายมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ร่างในชุดสีดำขับผิวสีขาวราวหิมะของท่านเจ้าเกาะ ร่างสูงโปร่งที่ดูราวกับกำลังเปล่งประกายก้าวนำผ่านหน้าชินอ้ายไปอย่างเชื่องช้า
ท่านเจ้าเกาะให้ความรู้สึกที่ห่างไกลเกินเอื้อมและมิอาจเข้าถึง
ดวงตากระจ่างใสของชินอ้ายดูเหม่อลอยเมื่อจมอยู่ในห้วงคิด การต้องเผชิญหน้ากับความแน่นอนสร้างความหวั่นใจให้ไม่น้อย
นางไม่อยากผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่สาว นางอยากทำให้ปรารถนาสุดท้ายของพี่สาวเป็นจริง...
นึกไม่ถึงว่าผู้ที่กำลังจะเดินจากไปกลับหมุนกายกลับมา พร้อมกับผายมือยื่นมาตรงหน้าประหนึ่งร้องขอบางสิ่ง
เด็กสาวซึ่งปั้นหน้าไม่ถูก ช้อนมองเขาอย่างมึนงง “ท่านเจ้าเกาะมีอะไรหรือเจ้าคะ” นางกังวลเหลือเกินว่าเขาจะปฏิเสธเรื่องงานแต่งงาน
“ส่งกำไลมา”
ผู้ฟังนิ่งเงียบไปหนึ่งอึดใจ ขณะที่ม่อลี่กับซางฉือมองคนทั้งสองสลับไปมา ยากนักที่จะปกปิดความสนใจใคร่รู้ และยามที่ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวสังเกตสิ่งที่ผู้เป็นนายร้องขอจากร่างเล็กได้อย่างเต็มตา ใบหน้าของเขาก็เผยความตกใจออกมาก่อนจะจางหายไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ชินอ้ายก้มมองของขวัญชิ้นสำคัญในมืออย่างลังเล หากในที่สุดก็ตัดใจยอมส่งมันให้กับเขาเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงอยากพิจารณามันใกล้ๆ ดูอีกสักครั้ง แต่แล้วเจ้าของใบหน้าน่ารักกลับเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าเผิงซือเยียนกลับเก็บของๆ ตนเข้าอกเสื้อไปอย่างหน้าตาเฉย!
“กำไลนี้ ข้าจะเก็บไว้เอง”
มือที่เบาโหวงของเด็กสาวสั่นระริก อยากจะทวงถามของรักของตนคืนแต่ปากกลับพูดไม่ออก มิทันไรความว่างเปล่าก็ถูกแทนที่ด้วยอุ้งมือใหญ่ที่ทาบลงมา รวบเอามือเล็กๆ ไปกุมไว้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่นางมั่นใจว่าพวกเขาเพิ่งพบกันไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ!
“คะ...คือ...”
ชินอ้ายอ้ำอึ้ง ไม่เข้าใจว่าการที่เผิงซือเยียนทำเยี่ยงนี้ต้องการจะสื่อถึงสิ่งใดกันแน่
“ประเดี๋ยวหิมะจะตกแล้ว ควรรีบกลับที่พัก” เขากล่าวจบก็จับจูงร่างเล็กให้เดินตามไป ปล่อยให้ผู้ที่ถูกแสดงความสนิทสนมให้ถึงกับนิ่งงัน อยากจะกลายร่างเป็นรูปปั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด!
ประเดี๋ยวหิมะจะตก จึงต้องรีบจูงมือให้เดินไปด้วยกันเช่นนั้นหรือ?
นางถูกจูงมือต่อหน้าเสี่ยวลี่และท่านซาง... รู้สึกได้ถึงสายตาสองคู่ที่จ้องเขม็งมาที่มือของนางกับท่านเจ้าเกาะ ใบหน้าน่ารักจึงเห่อแดงด้วยความรู้สึกเก้อเขินยิ่งนัก
ถึงอีกฝ่ายจะเป็นถึง ‘ว่าที่สามี’ ของนางก็เถิด แต่ท่านเจ้าเกาะทำเช่นนี้ช่างไม่ปราณีหัวใจดวงน้อยๆ ของนางเอาเสียเลย!
ดรุณีน้อยพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับความตื่นเต้นอันแปลกใหม่ที่จู่โจมนางอย่างมิทันตั้งตัว ในระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังจวนริมผาปราศจากซึ่งเสียงพูดคุยใดๆ หากอย่างน้อยมันก็ช่วยให้จิตใจของนางสงบลงได้บ้าง
บุรุษในชุดสีดำประหนึ่งค่ำคืนรัตติกาลที่ปราศจากแสงดาว แผ่นหลังกว้างดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง ทว่ามือใหญ่หนาที่กอบกุมมือเล็กไว้อย่างทะนุถนอมกลับอุ่นจนร้อน
ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ส่งผลภาพบางอย่างซ้อนทับเข้ามา นางเผลอจ้องมองเผิงซือเยียนอย่างนิ่งงัน จังหวะการก้าวเดินของเขาดูไม่รีบร้อน ทว่าด้วยความยาวช่วงขาที่มากกว่าเกือบเท่าตัวทำให้นางต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อให้ตามทัน
ม่อลี่ที่เดินรั้งท้ายอยู่กับซางฉือยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ด้วยความยำเกรงจึงไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา ไม่รู้ว่าชินอ้ายกล้าจับมือกับบุรุษแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันไปได้อย่างไร มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังสวมใส่หน้ากาก ดูแปลกประหลาดชอบกล หากเป็นนางมีหวังขนลุกซู่จนก้าวขาไม่ออกเป็นแน่
สุดท้ายดูเหมือนชายหนุ่มจะรู้ตัวจึงเบือนใบหน้ากลับมา “เหตุใดจึงไม่พูด”
เสียงนุ่มทุ้มของเขาดึงสติที่ล่องลอยของชินอ้ายกลับมา การก้าวเท้าที่ช้าลงส่งผลให้นางไม่จำเป็นต้องรีบวิ่งตามเขาเช่นเดิมอีก
“ข้าคิดว่าท่านเจ้าเกาะอาจไม่ชอบหิมะ...” นางเม้มริมฝีปาก “จึงคิดว่าหากไปถึงจวนเร็วๆ ก็คงดีเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำตอบอันแสนซื่อ เผิงซือเยียนจึงไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก จนกระทั่งคนทั้งหมดเดินทางมาถึงจวนริมผาใหญ่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ หากสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าใต้ผามีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ซึ่งเกาะตัวกันเป็นก้อนน้ำแข็ง คาดว่าพอถึงฤดูใบไม้ผลิ อาณาบริเวณนี้คงกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ แลดูน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
ชินอ้ายกับม่อลี่หันมามองหน้ากันก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ชั่วชีวิตของคนทั้งสองไปมาหาสู่อยู่เพียงแค่โรงน้ำชาและร้านค้าในเมืองหลวง ไฉนเลยจะเคยสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ เพียงเท่านี้ย่อมถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
ครั้นถึงที่หมาย ท่านเจ้าเกาะก็แยกตัวจากไป ครั้นซางฉือส่งพวกนางถึงหน้าห้องพักซึ่งอยู่ทางปีกซ้ายของจวน เขาเองก็ขอตัวจากไปโดยไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่บอกว่าให้พวกนางอาบน้ำพักผ่อน อีกประมาณครึ่งชั่วยามจะมีสาวใช้นำอาหารว่างมาให้ ดรุณีทั้งสองจึงไม่มีโอกาสถามเรื่องการแต่งงานเพิ่มเติม
ไอร้อนลอยละล่องปะทะเข้ากับอากาศเย็นฉ่ำ ระหว่างฉากกั้นซึ่งทำจากไม้หอมแกะสลัก ม่อลี่อาบน้ำอยู่ในถังหนึ่ง ฝ่ายชินอ้ายแช่กายอยู่ในถังไม้อีกฟาก
“ชินอ้าย ข้าว่าต่อให้เกาะแห่งนี้จะงดงามดั่งเทวโลก แต่คนกลับแปลกพิกล เจ้าคิดว่าไหวแน่หรือ?” เด็กสาวเกาะขอบถังไม้พูดคุยกับคนอีกฟาก หลังจากที่ได้แช่น้ำก็รู้สึกได้ว่าเลือดลมหมุนเวียน กล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้าได้รับความผ่อนคลาย รู้สึกสบายตัวไม่น้อย
นางยังจำสายตาของบรรดาสาวใช้ในชุดสีขาวสะอาดได้อย่างแม่นยำ ผู้คนทั้งหลายล้วนมองนางกับชินอ้ายราวกับเป็นตัวประหลาด ช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“เสี่ยวลี่ พวกเราถือเป็นคนต่างถิ่น หรือเจ้าคิดว่าหากมีคนจากต่างเมือง ต่างแคว้นมาขอพำนักที่โรงน้ำชา เจ้าก็จะต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นมิตรโดยไร้ข้อกังขา?”
“ชินอ้าย เหตุใดเจ้าจึงต้องแก้ตัวให้พวกเขาด้วย” ม่อลี่ใบหน้าหงิกงอ “เจ้ายอมทนสายตาหวาดระแวงจากพวกเขาได้ แต่ข้าทำไม่ได้หรอกนะ”
“ถ้าเจ้าทนไม่ได้...ก็ไม่ต้องสนใจพวกเข้าเสียก็สิ้นเรื่อง” ชินอ้ายแช่กายเล็กๆ ของตนลงไปในน้ำจนเหลือเพียงแค่ใบหน้า ความร้อนจากน้ำที่นั่งแช่อยู่ย้อมผิวกายขาวจนกลายเป็นสีแดงอ่อน “อีกอย่าง...ข้าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่สาวอย่างสุดความสามารถ แต่หากแต่งงานเกิดจากความไม่สมัครใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็รังแต่จะสร้างความอึดอัดในภาคหน้า ข้ามิอยากให้ระหว่างข้ากับท่านเจ้าเกาะเป็นเช่นนั้น”
ผู้เป็นสหายยิ่งฟังก็ยิ่งเวียนหัว ความจริงเรื่องการแต่งงานของสตรีถือเป็นธุระของบุพการีที่จะต้องตัดสินใจ แต่นางก็อดแคลงใจมิได้พี่สาวผู้นั้นหวังดีกับชินอ้ายจริงๆ หรือไม่ แต่ถ้าขืนพูดไปมีหวังสตรีผู้คลั่งไคล้พี่สาวคงโกรธนางไปอีกนานเลยทีเดียว
“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร”
“จนกว่าท่านเจ้าเกาะจะบอกกับข้าเองว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับข้า ข้าก็จะอยู่ที่นี่ต่อ” น้ำเสียงของชินอ้ายจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
ม่อลี่ได้ฟังเช่นนั้นก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นจากถังพร้อมกับหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่แล้วบุกผ่านฉากกั้นไปหาเด็กสาว เล่นเอาผู้ที่กำลังแช่น้ำอย่างเพลินๆ สะดุ้งสุดตัว รีบใช้มือเล็กปิดบังเรือนร่างแทบไม่ทัน