กลับมาถึงห้องก็นอนไม่หลับแม้ร่างกายจะอ่อนเพลียเพียงใดก็ตาม เหตุก็เพราะหัวสมองเอาแต่คิดวกวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เขาไม่ได้ฝัน…
ไม่ได้ฝันแน่นอน เถาวัลย์ในมือนี่เป็นหลักฐานชั้นดีว่าไอ้หน้าหนวดนั่นมีจริงและลวนลามเขาจริงๆ!
แต่บอกไปจะมีใครเชื่อ อย่างที่คิดตั้งแต่แรกแหละ แค่จะให้บอกว่าเขาถูกผู้ชายแปลกหน้าบุกมาทำมิดีมิร้าย มันก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกเลยว่าเป็นช่องทางที่ผู้ชายคนนั้นใช้เข้ามา ถ้าเขาบอกว่าถูกเถาวัลย์รัดแล้วเถาวัลย์ให้ความร่วมมือกับผู้ชายคนนั้นในการรุกล้ำยิ่งไปกันใหญ่ เผลอๆ จะถูกตราหน้าว่าทำงานวิชาการมากจนเป็นบ้าก็ได้
เป็นเรื่องที่ไม่ควรหลุดจากปากเลยแม้แต่คำเดียวถ้ายังไม่อยากถูกส่งตัวไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลจิตเวช!
แต่ถึงอย่างนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็รบกวนจิตใจเขามากจนทำเอานอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
ความจริงจะว่านอนไม่หลับก็ไม่ถูก เจ้าอรุณครุ่นคิดกระทั่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวมากกว่า รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่โจเซโทรมาถล่มด้วยสองสาเหตุคือ หนึ่ง...เขามาทำงานสายกว่าปกติ และสอง... โจเซต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วนว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้นอ่อนพรรณไม้ประหลาดที่ทางองค์กรกำลังพยายามเพาะพันธุ์เพื่อโครงการวิจัย
นั่นทำให้เจ้าอรุณต้องรีบวิ่งสี่คูณร้อยไปยังที่ทำงานทันทีที่วางสายจากโจเซ โชคดีที่อพาร์ตเม้นต์ของเขาอยู่ห่างจากจุดหมายเพียงเดินข้ามถนนจึงทำให้ใช้เวลาไม่มากนัก เข้ามาในอาคารได้ก็พุ่งตรงไปยังเรือนกระจก มาถึงที่ก็เห็นว่ามีโจเซยืนรออยู่แล้ว พอร้องทักปุ๊บ เขาก็ถูกโจเซสวดยกใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับกระถางเพาะพันธุ์ให้ฟัง แน่นอนว่าเจ้าอรุณไม่ได้เล่าถึงเรื่องที่ตัวเองถูกเถาวัลย์รัดและถูกผู้ชายแปลกหน้าจ้องทำมิดีมิร้าย ข้ามไปโดยไม่มีหลุดออกมาให้คู่สนทนารับรู้สักคำ
ได้ยินเรื่องทั้งหมด โจเซก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเจ้าอรุณถึงได้หน้ามืดฉับพลัน เป็นความผิดของเขาเองแหละที่มอบหมายหน้าที่ให้ลูกน้องคนนี้มากเกินไป ก่อนจะได้แต่สั่งว่าให้ระมัดระวัง หากรู้สึกไม่ค่อยดีก็ให้พักทันที อย่าฝืน เจ้าอรุณก็รับปากส่งๆ ไป ก่อนจะถูกปล่อยให้อยู่ในเรือนกระจกคนเดียว
ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวเพื่อทำงานศึกษาเถาวัลย์ประหลาดต่อจากเมื่อวาน...
เจ้าอรุณไม่อยากจะทำหน้าที่นี้ต่อเลย แต่โจเซเอาแต่พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด พูดจบก็ออกไป ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าอรุณได้พูดบ้าง การขอยกเลิกดูแลพืชพันธุ์ชนิดนี้จึงเป็นหมัน ต้องจำใจทำงานต่ออย่างไร้ทางเลือก
ไม่ใช่ไร้ทางเลือกหรอก ถ้าจะให้เขาทำก็ทำได้ ขอแค่อย่างเดียว... อย่าให้ไอ้บ้านั่นโผล่มาหรือมีเถาวัลย์มารัดเขาอีกก็พอ
เจ้าอรุณยืนนิ่ง ในมือถือแท็บเล็ต จ้องมองเถาวัลย์ที่พันกันเป็นวงรีตรงหน้าแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอดเรียกกำลังใจ
เอาวะ รีบทำให้เสร็จๆ ไป จะได้ไม่ต้องคลุกคลีกับไอ้เถาวัลย์นี่อีก
จู่ๆ ก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้เถาวัลย์ผีนี่เสียอย่างนั้น ทว่าก็เลี่ยงไม่ได้ ต้องสำรวจอย่างถี่ถ้วน เมื่อวานสำรวจแค่รอบนอก วันนี้จะต้องเก็บตัวอย่างแต่ละส่วนไปเป็นศึกษาอย่างละเอียด หากแต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มอะไร เจ้าอรุณก็สังเกตเห็นว่าเถาวัลย์ตรงหน้าดูแปลกตา
ดอกตูมสีแดงๆ ที่เขานั่งอดตาหลับขับตานอน รอให้ดอกสุดท้ายมันบาน บัดนี้มันกลายเป็นดอกตูมทั้งหมดอีกแล้ว
อะไรเนี่ย!?
เรียวคิ้วสวยของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันยุ่งเหยิง เขาวางของในมือลงบนเก้าอี้ เดินเข้าไปดูดอกตูมนั้นใกล้ๆ พลางขยับกรอบแว่นไปด้วย
หรือส่วนนี้ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนกับเถาวัลย์?
คิดพลางก็เอื้อมมือเกือบจะไปจับ ทว่าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรเอามือไปแตะโดยตรง ไม่ใช่เกรงว่าพืชพรรณจะได้รับความเสียหาย แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองต่างหาก เท่านั้นเขาก็เดินไปยังตู้เก็บของ หยิบถุงมือยางมาใส่ แล้วก็คิดได้ว่าเดี๋ยวจะต้องเก็บตัวอย่าง จึงหยิบเอาซองซิปพลาสติกและกรรไกรตัดกิ่งเล็กๆ ติดมือมาด้วย
หันกลับมาทางเดิม เตรียมจะตรงเข้าไปหาที่ตั้งเถาวัลย์ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ก็เจอเถาวัลย์เถาเล็กๆ เถาหนึ่งโผล่มาทักทายในระยะประชิดชนิดเกือบติดใบหน้า
“อะ...อะไร”
สัญชาตญาณในการป้องกันตัวทำให้เขาหลุดปากไปอย่างนั้น ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากเถาวัลย์เถานั้น เจ้าอรุณจึงเอามือปัดให้พ้นทาง
“ถ้าไม่มีอะไรก็ถอยไป ฉันจะทำงาน”
แสร้งทำเป็นเคร่งขรึม ปัดเถาวัลย์เถานั้นทิ้งไปข้างๆ เดินกลับมายังที่เดิมแต่แล้วก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเถาวัลย์เถานั้นมาดักหน้า
“อะไรอีก”
เถาวัลย์ก็ยังคงนิ่งเฉย...นิ่งได้เพียงเสี้ยววินาทีก็ทำท่าจะเลื้อยไปตามลำตัวเขา ทำเอาเจ้าอรุณกระโดดถอยหลัง ถือกรรไกรตัดกิ่งในมือขึ้นขู่
“ถ้าเข้าไปใต้เสื้อผ้าฉันอีกล่ะก็ จะตัดทิ้งให้เหี้ยน”
ไม่ได้ขู่อย่างเดียว เจ้าอรุณคิดจะทำจริงด้วย เถาวัลย์นิ่งไปเพียงครู่คล้ายชั่งใจ สุดท้ายก็เคลื่อนเข้าไปหาเจ้าอรุณอยู่ดี
เห็นไม่เชื่อฟัง พุ่งตรงมาหา เท่านั้นเจ้าอรุณก็...
ฉับ!
ง้างกรรไกรตัดกิ่งตัดฉับอย่างไม่รอช้า ปลายเถาวัลย์ส่วนที่ถูกร่วงหล่นลงพื้น ก่อนเสียงของชายหนุ่มจะดังขึ้น
“บอกแล้วว่าถ้าเข้ามาใต้เสื้อผ้าฉันอีก ฉันจะตัด”
ยังไม่ได้เข้าไปในเสื้อผ้าเลย ยังไม่โดนตัวเลยด้วยซ้ำ ถึงกับลงไม้ลงมือ อย่างนี้มันมากไป!
ไม่ใช่เจ้าอรุณคิด แต่เถาวัลย์คิด
ใช่ เถาวัลย์...
จะว่าเถาวัลย์ก็ไม่ถูกนัก เป็นใครบางคนที่เป็นส่วนหนึ่งของเถาวัลย์ต่างหาก
พอรู้สึกว่าบางส่วนของตัวเองถูกตัด ผู้เป็นเจ้าของก็รีบประท้วงด้วยการปรากฏกายให้เห็น เถาวัลย์ที่พันกันเป็นวงรีค่อยๆ คลายตัวออกจากกันทำเอาเจ้าอรุณเบิกตาโต รีบกระถดถอยหนีอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล แล้วก็ต้องแหกปากร้องสุดเสียงเมื่อเห็นว่าภายในเถาวัลย์นั้นมีร่างสูงของผู้ชาย
ผู้ชายคนเดียวกับเมื่อคืนอีกต่างหาก!
อะไรกันเนี่ย!
“ไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย ไม่เห็นจะต้องใจร้ายขนาดนั้น”
เดินออกมาจากเถาวัลย์พลางพูดหน้าตาเฉย ขณะที่เถาวัลย์ค่อยๆ คืนตัวกลับไปพันเป็นรูปร่างเดิม ผู้ชายคนนั้นก็ยังโทงเทงเหมือนเดิม เนื้อตัวไม่มีอะไรปกปิด มีแต่เถาวัลย์ห้อยต่องแต่ง แถมไม่ใช่เถาวัลย์ที่เป็นพืชพรรณอีกด้วย แต่เป็นเถาวัลย์กลางลำตัว
เจ้าอรุณมองไปยังคนมาใหม่แล้วก็ต้องทำหน้าเหมือนเห็นผี แค่โผล่มาจากในเถาวัลย์นั่น แก้ผ้ามาอีกก็ทำเอาเขาตกใจมากแล้ว นี่ยังจะเดินเอาเถาวัลย์สะบัดสะโบกเข้ามาใกล้เขาอีกต่างหาก ทำเอาเจ้าอรุณร้องลั่น
“ถ้านายเข้ามาใกล้ฉันกว่านี้อีกนิดนึง ฉันตัดไอ้นั่นของนายทิ้งแน่!”
ท่าทางระวังตัวทำให้คนหนวดเฟิ้มหยุดก้าวเข้าหา ชี้นิ้วไปกลางลำตัวของตัวเอง
“นายหมายถึงเจ้านี่?”
เจ้าอรุณไม่ตอบ เอาแต่ง้างกรรไกรตัดกิ่งขู่ ตอนนี้มีอาวุธในมือแล้ว เขาไม่กลัวเท่าไหร่นัก ขณะที่อีกฝ่ายเข้าใจได้ก่อนจะทำเสียงเง้างอด
“นายจะใจร้ายกล้าตัดเถาวัลย์ใหญ่ยักษ์มหึมาได้ลงคอเลยเหรอ เป็นนักพฤกษศาสตร์ก็ต้องอนุรักษ์พันธุ์พืชสิ”
เถาวัลย์ใหญ่ยักษ์มหึมาบ้านมัน ต่องแต่งหัวทิ่มอย่างนั้น มองอย่างไรก็เนื้องอก!
เจ้าอรุณอยากจะแผดเสียงใส่ ทว่ามันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำอะไรอย่างนั้น เขาต้องป้องกันตัว ไม่ยอมตกอยู่ในสภาพอย่างเมื่อคืนอีกรอบเป็นอันขาด
“นายเป็นใคร”
ตั้งสติได้ก็กดเสียงต่ำถาม อีกฝ่ายเสยปอยผมที่ปรกใบหน้าขึ้น ว่าสบายๆ
“คิดว่าเป็นใครดีล่ะ”
ก็ใครล่ะวะ! ถ้ารู้จะถามไหม!
เจ้าอรุณสูดลมหายใจเข้าปอดคล้ายกับกำลังตั้งสติ ก่อนถามออกไปอีกครั้ง
“นายเป็นใคร”
“ลองเดาดูสิ”
แทนที่จะตอบ อีกฝ่ายดันยิ้มทะเล้น สวนคืนราวกับกำลังสนุกที่ได้หยอกเย้า เจ้าอรุณหงุดหงิดขึ้นมาทันตา นิสัยพื้นเพของเขาเป็นคนไม่ชอบอะไรยืดเยื้อและยังเป็นคนขี้รำคาญ พอมาเจออย่างนี้เข้าก็อดหัวเสียไม่ได้
“ฉันไม่มีเวลาให้นายมายืนพูดอะไรมากนัก ถ้าไม่อยากถูกส่งเข้าตะรางก็รีบบอกมาว่านายเป็นใคร”
บอกหรือไม่บอก เจ้าอรุณก็ตั้งใจจะส่งผู้ชายคนนี้ให้ตำรวจเหมือนกัน ทำเป็นพูดไปอย่างนั้นให้อีกฝ่ายกลัวเท่านั้นแหละ ใครมันจะปล่อยให้ไอ้บ้านี่ลอยนวลไปกัน ทำกับเขาไว้เสียขนาดนั้นน่ะ
คนฟังรับรู้ได้ว่าทำเจ้าอรุณรำคาญแล้วแต่ก็ยักโยกโย้ ยกมือขึ้นขยี้หู พูดด้วยท่าทางกวนประสาท
“นายนี่เคร่งเครียดตลอดเลยนะ หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้ แค่นี้ต้องขู่ด้วย”
เจ้าอรุณย่นคิ้ว ผู้ชายคนนี้พูดราวกับว่าเห็นเขาทำงานอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ แต่พอมาคิดว่าเห็นเดินออกมาจากในเถาวัลย์ประหลาดนั่นก็ตระหนักได้ฉับพลัน
มันก็ต้องเห็นเขาทำงานอยู่แล้ว ก็อยู่ในนั้นตลอดเวลาน่ะ งั้นก็แสดงว่าไอ้ที่เถาวัลย์มันเคลื่อนไหวได้เองอย่างอิสระแล้วมาเลื้อยไปตามใต้ร่มผ้าเขาก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญล่ะสินะ
ฝีมือไอ้บ้าตรงหน้าแหงแซะ!
คิดวิเคราะห์ไปตามประสาคนฉลาด ถ้าผู้ชายคนนี้อยู่ข้างในและควบคุมการเคลื่อนไหวของเถาวัลย์ได้ ก็แสดงว่าเขาไม่ใช่มนุษย์...
บะ...บ้าน่า ถ้าไม่ใช่มนุษย์แล้วเป็นตัวอะไร!?
เจ้าอรุณหวาดผวาขึ้นมา ถอยหลังหนีอย่างไม่รู้ตัว คนตรงหน้าเห็นก็รู้ว่าเจ้าอรุณคงจะกลัวตัวเองซึ่งมันก็ปกติสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวอะไร
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ไม่มีอะไรหรอก ไม่อันตราย ไม่ต้องตื่นเต้น”
ไม่ต้องตื่นเต้นอะไรเล่า! ยิ่งมารู้อย่างนี้มันสมควรจะต้องตื่นเต้น!
“นะ...นายเป็นใคร บอกมา!”
พอความกลัวเข้าครอบงำ เจ้าอรุณก็ชักจะเสียงดังขึ้นมา
อีกฝ่ายเห็นนักพฤกษศาสตร์หนุ่มขู่ฟ่อก็เกาหลังศีรษะแกรกๆ
“ช่วยไม่ได้ มาถึงขั้นนี้แล้ว บอกก็แล้วกัน”
เจ้าอรุณตั้งใจฟังทั้งที่มือยังคงถือกรรไกรตัดกิ่งไว้มั่น คนตรงหน้าไม่ได้มีท่าทียี่หระกับอุปกรณ์ที่เขาใช้เป็นอาวุธเลยแม้แต่น้อย พูดด้วยท่าทีสบายๆ
“ฉันเป็นส่วนหนึ่งของเถาวัลย์นี่ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเถาวัลย์นี่เป็นส่วนหนึ่งของฉันมากกว่า”
เจ้าอรุณหรี่ตาลง ไม่เข้าใจความหมายนัก
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าอย่างนี้...”