“โฮคิ!!”
ป๊อก
เสียงตะคอกดังขึ้นข้างหู...มันมาพร้อมกับของแข็งบางอย่างที่ถูกเคาะกับศีรษะ ทำเอาผมที่กำลังสุขสมกับการหลับใหลต้องลืมตาตื่นด้วยความขัดใจ และเป็นอย่างที่ผมคาดไว้ว่าเจ้าของการกระทำเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยซึ่งผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของท่าน
ผมเรียนที่ py ไฮสกูลมานาน ไม่มีอาจารย์ท่านไหนที่ผมจำชื่อได้สักคน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้จัก แต่เป็นเพราะผมไม่คิดจะใส่ใจต่างหาก ก็แค่ชื่อของอาจารย์ จำเป็นด้วยเหรอที่ผมต้องจดจำให้รกสมอง
ผมตวัดสายตามองอาจารย์ตรงหน้าที่ส่งสายตาโมโหผมเหลือเกิน และเพียงเสี้ยววินาทีที่ผมมองใบหน้าเหี่ยวๆ ของท่านด้วยแววตาเฉยชา ความกรุ่นโกรธที่เดิมเด่นหราจนรู้สึกได้ก็เหือดหายไปราวกับถูกสาปและเป็นความหวาดวิตกเข้ามาแทนที่
“มีปัญหากับผมเหรอครับ” ผมถามเสียงเย็นพลางเหลือบตามองแปรงลบกระดานที่ตกอยู่บนพื้น ใช่...เจ้าวัตถุแข็งๆ ที่กระทบกระแทกกับศีรษะผมเมื่อครู่คือเจ้าแปรงลบกระดานเวรตะไลนี่
อาจารย์หลบสายตาผมก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นักเรียนในห้องที่กำลังตั้งอกตั้งใจเรียนบัดนี้หันมามองผมกับอาจารย์เป็นตาเดียว แต่ทันทีที่ผมเหลือบมองพวกนั้น ทุกคนก็รีบหันหน้ากลับไปดังเดิมทันที
หึ…
“ตะ ตั้งใจเรียนหน่อยสิ...” อาจารย์บอกผมเสียงตะกุกตะกัก ก่อนค่อยๆ ก้าวเท้ากลับไปหน้าห้องเรียนซึ่งเป็นตำแหน่งประจำของท่าน ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะมองใบหน้าเหี่ยวย่นที่กำลังหวาดกลัวผมด้วยความรู้สึกสมเพช
ตั้งใจเรียนอย่างนั้นเหรอ?
ไร้สาระทั้งเพ...
พึ่บ
ผมยันตัวจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องเรียนโดยที่สายตาของทุกคนภายในห้องจับจ้องมายังผมเป็นตาเดียว บางคนไม่กล้าแม้แต่จะมองแผ่นหลังผมเพราะความกลัว แต่บางคนกลับใช้สายตาเหยียดขยาดผมราวกับเป็นเศษขยะ...
ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกเอง...แต่เพราะผมรู้ดีอยู่เต็มอกต่างหาก
รอบกายผม มีคนที่หวาดกลัวผมมากๆ ถึงขนาดไม่กล้าสบตา แม้แต่พูดก็ยังไม่กล้า และในขณะเดียวกันพวกนั้นก็รู้สึกรังเกียจผมและต้องการให้ผมไปให้ไกลๆ พวกมันราวกับกลัวติดเชื้อโรคอะไรสักอย่าง
แต่ผมไม่รู้สึกอะไรเลยกับความเกลียดชังเหล่านั้น เพราะผมสามารถรับมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตได้ราวกับว่ามันเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผมเกิดความเคยชิน
ซึ่งเฉกเช่นเดียวกับชีวิตของผู้คน
การที่ผมฆ่าคน...นั่นก็คือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปเสียแล้ว
ผมเดินมาหยุดอยู่หลังอาคารเกษตรของโรงเรียนก่อนล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาสูบพลางกวาดสายตาไปรอบกายของตนเองที่ไร้ผู้คนและเงียบกริบ เวลานี้ที่นักเรียนทุกคนกำลังมุ่งมั่นกับการเรียนหนังสือ มีเพียงผมเท่านั้นที่คิดว่าไร้สาระ
ผมน่ะ...มันเป็นพวกไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับพวกนี้อยู่แล้ว ต่อให้ยัดเยียดให้ตาย สมองของผมก็เท่าเดิม ไม่มีทางโตขึ้นได้หรอก
กลับกัน...ถ้าเป็นเรื่องอื่น เช่น การใช้กำลัง ผมล่ะถนัดนัก ไม่ต้องบอกผมก็สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ที่ผมประสบมามากกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
ผมคงยังไม่ได้บอกสินะครับว่าเมื่อสองปีก่อนผมถูกส่งตัวไปที่สถานพินิจเด็กและเยาวชนโดยโดนข้อหาฆ่าคนตาย ก็จริง...ผมเป็นคนฆ่าเอง ผมกล้ายอมรับ แต่ต่อให้พ้นโทษออกมาแล้วผมก็ยังไม่เลิกทำหรอก ตำรวจพวกนั้นไม่มีวันรู้และเข้าใจหรอกว่าเงินมันหอมหวานมากแค่ไหน ไม่สิ! ผมว่าผมก็ได้รู้และเห็นอะไรหลากหลายอย่างจากการเข้าไปอยู่ในสถานพินิจนั่นมากขึ้น
ตำรวจดีๆ มันก็มีนะครับ แต่ไอ้พวกเอายศบังหน้าก็มีเกลื่อนกลาด พวกคุณคงยังไม่รู้ว่าความดีที่พวกคุณเห็นนั้นอาจเป็นเพียงหน้ากากที่สวมไว้เพื่อบดบังความเลวทรามของตัวเอง มีคนยัดเงินเพื่อปิดปาก พวกมันก็ยอมทำตามเพราะเงินเป็นตัวหลอกล่อ สรุปพวกมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมเท่าไหร่ เห็นเงินคือพระเจ้าไม่ต่างกัน
“ไอ้โฮ!!! หลบอยู่ตรงนี้เองเหรอวะ! ฉันหาตั้งนาน! “
ผมเหลือบมองเจ้าของเสียงอันแสนน่ารำคาญซึ่งเป็นเสียงที่คุ้นหูเป็นอย่างดีดังจากด้านหลัง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะวิ่งพุ่งมาทางผม และเตรียมง้างมือจะฟาดกบาลผมตามนิสัยของมัน แต่ผมมือไวกว่าเลยสามารถคว้าข้อมือของมันไว้ได้
‘ลิม’ นั่นคือชื่อของมัน มันเป็นเพื่อนสนิทของผม เราอาศัยอยู่ด้วยกันในห้องเก็บของเก่าๆ ไม่ไกลจากที่นี่นัก มันเป็นคนที่ค่อนข้างพูดมากและใจร้อน เวลามันโมโหไม่มีหมาตัวไหนสามารถหยุดมันได้ แม้กระทั้งผม แต่มันเป็นคนที่พึ่งพาได้และซื่อสัตย์เหมือนหมา...
“มีอะไร” ผมถามพลางพ่นควันบุหรี่ในขณะที่มันทำท่าลุกลี้ลุกลนกับการล้วงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“นี่! ไอ้เวรอความันฝากนี่มาให้แก” ผมขมวดคิ้วมองแผ่นกระดาษสีครีมในมือของไอ้ลิม ก่อนคว้ามาแล้วคลี่กระดาษเพื่ออ่านข้อความด้านใน
‘วันนี้เจอกันที่ลาน park ตอนห้าโมงเย็น’
ลาน park งั้นเหรอ
ไอ้เวรนั่นคิดจะเล่นอะไรอีก
หลังจากอ่านเสร็จก็จัดการขยำกระดาษอันน่าขยะแขยงแล้วโยนทิ้งแถวๆ นั้นอย่างไม่ใส่ใจ จดหมายบัดซบนั่นเป็นของไอ้อควา ศัตรูหมายเลขสองของผมเอง มันเป็นพวกมาเฟียใหญ่ในย่าน B แต่ผมไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าทำไมมันถึงชอบมาระรานผมนัก
อะ...ผมว่าผมนึกออกแล้ว เมื่อคืนวานผมทำร้ายคนของมันไปนี่นา สงสัยมันคงจะโกรธล่ะมั้ง
“ฉันว่าคราวนี้มันเอาพวกมาเยอะแน่เลยว่ะ”
เสียงไอ้ลิมทำให้ผมหันกลับไปมอง ปกติมันไม่ใช่คนขี้หวาดวิตกอะไร ที่มันทำท่าทางเช่นนั่นอาจเป็นเพราะมันกระแดะไปเอง หรืออาจเพราะสาเหตุอื่นผมก็ไม่แน่ใจ
“เยอะก็ช่างหัวมัน” ผมบี้บุหรี่ด้วยรองเท้าผ้าใบใบเก่าของตัวเองก่อนก้าวเท้าออกมาจากบริเวณนั้นทันที โดยที่ไอ้ลิมเองก็วิ่งตามหลังผมมาติดๆ มันก็เหมือนผมนั่นแหละ ขี้เกียจเรียน แต่ขยันกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะเหตุนี้เราสองคนถึงเป็นเพื่อนกันได้
ปึก!
“โอ๊ยย!~”
ผมชะงักกึกเมื่อจู่ๆ มีร่างใครคนหนึ่งวิ่งพุ่งมาชนผมอย่างแรง แต่ผมกลับไม่เป็นไร มีแต่ยัยบ้าผมยาวๆ ตรงหน้าที่ลงไปนอนแผ่หลากับพื้นจนกระโปรงเปิดขึ้นจนแทบจะเห็นอะไรด้านในได้อยู่แล้ว
“ยัยบ้านี่มันไม่มีตาหรือไงวะ” ไอ้ลิมพูดเสียงดังขณะก้มมองร่างบางที่สวมยูนิฟอร์ม py ไฮสกูลซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากคนบ้า ผมเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจก่อนเดินข้ามร่างยัยนั่นทันที แต่ดูเหมือนว่ายัยนั่นจะไม่ยอมจึงดึงขากางเกงของผมไว้
“อย่าเพิ่งไป!”
“...”
“นายจำฉันไม่ได้เหรอ?” คำถามเมื่อครู่ทำให้ผมหันหน้ากลับไปมอง ใบหน้าสวยหวานเงยหน้าสบตามองผม แต่มันก็สูญเปล่า เพราะยัยนี่เป็นใครผมจำไม่ได้หรอก ก็อาจจะจริงที่ผมเคยเจอ แต่ใครที่ไม่สำคัญพอให้จดจำ ผมจะไม่จำเด็ดขาด โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เหมือนเด็กกะโปโลคนนี้
“โฮ! ไปเหอะว่ะ ไปเล่นเกมเซนเตอร์กัน!” ไอ้ลิมใช้เท้าเขี่ยมือของยัยกะโปโลที่จับขากางเกงผมแรงๆ สองสามทีก่อนออกแรงลากผมออกจากบริเวณนั่นอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าได้ถึงสามเท้า ยัยนั่นก็วิ่งมาดักหน้าผมเสียก่อนพร้อมกางมือกันทางไม่ให้ผมและไอ้ลิมไปไหน
ไอ้ลิมขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ แตกต่างจากผมที่ยืนนิ่ง อยากรู้ชะมัดว่ายัยตัวเล็กข้างหน้าผมจะทำอะไรต่อจากนี้
“นายจำฉันไม่ได้จริงๆเหรอ! ฉันไง ผู้หญิงที่นายช่วยเหลือจากไอ้พวกสวะเมื่อสองวันก่อนน่ะ!”
จบบทบรรยาย โฮคิ
แล้วยังไง?”
“...” ฉันถึงกับพูดไม่ออก เพราะเขาดูเฉื่อยชาและไม่ยี่หระอะไรเลย อีกทั้งผู้ชายตรงหน้าที่ฉัน ‘ชอบ’ ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบไม่แม้แต่จะมองหน้าฉัน ซ้ำร้ายเขายังล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างสบายใจ
ใช่ ฉันบอกคุณไม่ผิด ฉันชอบ 'โฮคิ'
มันน่าแปลกใจใช่ไหมว่าฉันไปเจอเขาตั้งแต่ตอนไหนกัน อันที่จริงฉันเห็นเขาบ่อยมากแถวๆ ย่าน park เขามักจะไปนั่งคนเดียวริมแม่น้ำกับเจ้าสเก็ตบอร์ดลายหัวกะโหลกแทบทุกวัน ฉันก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าอะไรทำให้ฉันสนใจในตัวเขา แต่ทุกครั้งที่มองใบหน้านิ่งๆ ของเขา แววตาเย็นชาทว่าส่อแววเศร้าตลอดเวลานั่นก็ทำให้ฉันหลงเขามากขึ้นทุกวันๆ
แล้วคุณรู้ไหม...
เมื่อสองวันก่อนโฮคิก็ทำให้ฉันใจเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้สถานการณ์ในวันนั้นจะย่ำแย่มากถึงมากที่สุดก็ตาม แต่ฉันก็ดีใจที่เขาเข้ามาช่วยฉันจากการถูกรุมโทรม
ถ้าเขาไม่เข้ามาช่วยฉันในวินาทีนั้น...บางทีฉันอาจจะตกเป็นภรรยาของไอ้หน้าตัวเงินตัวทองพวกนั้นไปแล้วก็ได้
และถึงแม้เขาจะจัดการพวกมันด้วยการ ‘ฆ่า’ ก็ตาม ฉันก็ไม่มองว่าเขาโหดร้าย ยังไงเขาก็เป็นคนที่ฉันชอบ และฉันคิดว่าตัวเองคงชอบเขามากจนแทบบ้า ถึงขนาดย้ายมาเรียนที่ py ไฮสกูล เพื่อให้ได้พบหน้าเขา
แต่อา... ถึงแม้การพบเขาจะง่าย หากทว่าการสนทนาในวินาทีแรกที่เราประจันหน้ากันมันยากกว่าที่คิด
“ฉันแค่...”
“ถุ้ย!! ไปไกลๆไป! เสียเวลาฉิบ”
เสียงนั่นไม่ใช่ของโฮคิ แต่มันเป็นเสียงของเพื่อนเขาซึ่งยืนขนาบข้างด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์อย่างหนัก ให้ตาย ทำไมเพื่อนเขาถึงนิสัยเสียแบบนี้นะ!
“ฉันแค่จะมาขอบคุณนาย” ฉันไม่สนใจเพื่อนของเขาแต่เลือกที่จะบอกจุดประสงค์แรกของตนเองไป และดูเหมือนว่าคำพูดครั้งนี้ของฉันจะมีอะไรบางอย่าง เขาจึงละความสนใจจากสิ่งรอบข้างแล้วหันหน้ากลับมามองฉัน ปากของเขาคาบบุหรี่เอาไว้ในขณะที่ดวงตาสีสนิมคู่สวยสบมองฉันอย่างหน่ายๆ ไม่สิ! ฉันว่าเขากำลังสงสัยฉันต่างหาก
“ขอบคุณเหรอ” โฮคิเลิกคิ้วเล็กน้อย ฉันจึงพยักหน้าตอบรับเขาไป “ไม่เอา” แต่เขาก็ตอบกลับมาอย่างไร้เยื้อใยก่อนจะเดินผ่านฉันไปพร้อมกับเพื่อนของเขาอย่างไม่ยี่หระอะไรแม้แต่นิดเดียว
พึ่บ!
เหมือนลมบ้าอะไรสักอย่างเข้าสิงร่างทำให้ฉันตัดสินใจคว้าแขนของโฮคิไว้ในจังหวะที่เขาจะเดินห่างออกไป และแน่นอน...การกระทำของฉันทำให้เขาชะงักกึก รวมถึงเพื่อนของเขาที่เริ่มจะหงุดหงิดเข้าขั้นเมื่อเห็นฉันทำอะไรในตอนนี้
เชื่อไหม ณ ส่วนที่ฉันจับเอาไว้มันสั่นเทิ้มและเริ่มมีหยาดเหงื่อมากมายผุดซึมขึ้นมาอย่างน่าแปลก
บ้าจริง...คะ... แค่แขนเขาเองนะ
แค่แขนของเขาเท่านั้น...ทำไมถึงทำให้ฉันเกร็งไปทั่วทั้งร่างแบบนี้ก็ไม่รู้