บทที่ 3.3

1656 คำ
ฉันเก็บภาพใส่กระเป๋ากระโปรงแล้วรีบเดินไปยังหลังอาคารเกษตร จากบริเวณโรงอาหารและอาคารเกษตรไม่ได้อยู่ไกลกันสักเท่าไหร่นัก เมื่อก้าวเท้าเข้ามาถึงบริเวณดังกล่าวก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายและบรรยากาศเย็นๆ จากต้นไม้น้อยใหญ่ที่มีมากกว่าบริเวณอื่นๆ ในโรงเรียน มันก็น่าสบายดีอยู่หรอกนะ...แต่แบบนี้มันไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอ? เมื่อวานที่ฉันเจอโฮคิกับลิมที่นี่ ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับบรรยากาศรอบกายนักเพราะอยู่กันถึงสามคน อ่า...แต่ตอนนี้เหมือนฉันกำลังโดดเดี่ยวอยู่ในป่าเลยจริงๆ นะ ฉันสลัดความกลัวออกจากหัวเบาๆ พร้อมสอดส่องสายตาไปรอบๆ เพื่อหาเจ้าของร่างสูงโปร่งอันน่าหลงใหลว่าอยู่บริเวณไหน แต่ไม่ว่าจะกวาดสายตาไปตรงไหน กลับว่างเปล่าและมีเพียงกระแสลมเย็นๆ พัดผ่านไปเท่านั้น ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนค่อยๆ ก้าวเท้าไปด้านหน้าซึ่งมีต้นมะม่วงต้นใหญ่อยู่กึ่งกลางของหลังอาคาร แต่จนแล้วจนรอดก็ยังว่างเปล่าเช่นเดิม หรือว่าลิมโกหกฉันกันแน่นะ ฉันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะล้วงเอาภาพถ่ายของฉันและโฮคิขึ้นมาดู วินาทีนั้นเอง...ที่ฉันรู้สึกอะไรบางอย่างขยุกขยิกอยู่บนต้นไม้ ฉันจึงรีบเก็บภาพนั้นใส่กระเป๋าเช่นเดิม แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้น... ฮะ...โฮคิ! เจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้เป็นโฮคิซึ่งนั่งอยู่บนต้นไม้นั่นเอง ตอนนี้เขาก้มหน้าลงมองฉันด้วยแววตาเรียบนิ่งเช่นเคย แต่ไม่รู้สิ...เพียงแค่นั้นหัวใจของฉันก็เต้นแรงไม่เป็นส่ำแล้ว แต่ก็นะ...เขาขึ้นไปทำอะไรบนนั้นน่ะ? “นะ...นายขึ้นไปทำอะไรบนนั้น...น่ะ?” ถึงแม้จะพยายามทำเสียงให้เป็นปกติแล้วแท้ๆ แต่เสียงเจ้ากรรมกลับสั่นและขาดห้วง และยิ่งกว่านั้นคือ...โฮคิเขายังคงจ้องหน้าฉันเหมือนเดิมจนหน้าของฉันเริ่มรู้สึกร้อนๆ ราวกับมีไฟมารนก็ไม่ไม่ปาน ละลาย...ถ้าเขาจ้องนานกว่านี้ มีหวังฉันคงถูกลาวาร้อนอย่างเขาละลายร่างกายให้สลายไปตรงนี้แน่ๆ “ชอบ” “เอ๋?” ฉันมองเขาอย่างสงสัยเมื่อเขาพูดออกมาสั้นๆ ทว่าได้ใจความ การที่เขาพูดออกมาแบบนั้น ถึงไม่ได้หมายถึงชอบฉันแต่ก็เหมือนจะบ้าให้ได้เลยจริงๆ บางที...เขาน่าจะพูดให้ยาวๆ กว่านี้นะ เพราะไม่อย่างนั้นฉันอาจเผลอวาดฝันไปเองว่าคำว่าชอบเมื่อครู่นั่นหมายถึงฉัน... อา...ช่วยตบแก้มฉันหน่อย นี่ฉันกำลังฝันกลางวันอยู่สินะ พึ่บ! โฮคิกระโดดลงมาจากต้นมะม่วงได้อย่างชำนาญจนฉันที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ต้องถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างฉันและเขาให้อยู่ในระดับปกติ ฉันน่ะอยากอยู่ใกล้เขามากๆ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงยังหวาดระแวง รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ อาจเป็นเพราะอยู่ใกล้เขามากๆ หัวใจมันเต้นแรง ขาแขนสั่นล่ะมั้ง “...” และเขาก็ยังคงนิ่งงันเช่นเคย ไม่เพียงเท่านั้น โฮคิยังล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอีกต่างหาก ไม่อยากจะชมเลยจริงๆ นะ ว่าเวลาที่โฮคิดูดเจ้าสารนิโคตินอันตรายๆ นั่นใบหน้าของเขามันดูมีเสน่ห์และเท่มากๆ จนอยากจะวิ่งไปอยู่ใกล้ๆ ในวินาทีนั้น ฉันไม่รู้หรอกว่าบุหรี่ที่โฮคิดูดเข้าไปนั้นมันเป็นยังไง มีรสชาติเช่นไร แต่ใบหน้าของเขามันดูหลงใหลเจ้าบุหรี่นั่นมากๆ ราวกับเป็นของหวานที่แสนโปรดปราน อร่อยเหรอ? ไม่รู้สิเนอะ... “นาย...ไม่หิวข้าวเหรอ?” เมื่อเห็นว่ารอบกายเงียบจนเกินไป ฉันเลยตัดสินใจเปิดประโยคถามเขาเสียเอง โฮคิเลื่อนสายตาจากกลุ่มควันสีเทาที่ลอยฟุ้งในอากาศมองฉันครู่หนึ่งแล้วขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ย “ไม่” แกรบ พึ่บ! ในวินาทีที่ฉันกำลังจะเอ่ยชวนเขาคุยอีกครั้ง ปรากฏว่ามีเสียงแปลกๆ ดังมาจากฟากซ้ายของอาคารเกษตร และเป็นเวลาเดียวกันที่โฮคิก้าวฉับอย่างว่องไวไปยังต้นตอของเสียง และรู้อะไรไหม...ว่าไม่ถึงครึ่งนาทีเท่านั้นโฮคิก็เดินกลับมา...พร้อมกับนักเรียนชายอีกคนหนึ่งที่ในมือกำมือถือสีขาวขุ่นไว้แน่น โฮคิล็อกคอนายคนนั้นอย่างแน่นหนาจนคนเสียเปรียบมีใบหน้าที่ซีดเผือด ทั้งหวาดกลัว และคงจะหายใจไม่สะดวก ว่าแต่นายนักเรียนคนนี้เป็นใครกัน ทำไมโฮคิถึงต้องลากเขามา “ขะ...ขอโทษครับ ผะ...” “ส่งมือถือมา” โฮคิตัดฉับคำพูด เขาล็อกคอไว้ในขณะที่สายตาจับจ้องไปยังมือถือสีขาวในมือของนายนักเรียนคนนั้นซึ่งกำแน่นหนึบราวกับกลัวว่าใครจะมาพรากไป “ในนี้...มะ ไม่มีอะไรจะ...” “อยากตาย?” คำถามอันแสนเย็นยะเยือกของโฮคิทำเอานายคนนั้นปากสั่นคอสั่นไปหมดจนสังเกตได้ ใบหน้าขาวซีดที่พร่างพรมไปด้วยเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ แสดงให้ทราบว่า ณ ตอนนี้กำลังหวาดกลัวมากแค่ไหน ฉันขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเดินเข้าไปยังหาสองคนนั้น ซึ่งพอเท้าของฉันหยุดลง นายนักเรียนชายคนนั้นก็รีบก้มลงมองพื้นทันทีราวกับพยายามบิดเบือนอะไรสักอย่าง “ขะ...ขอโทษครับ” นายคนนั้นก้มหน้าพูดเสียงแผ่วเบา “อะไรน่ะ? ทำไมนาย...” ตุ้บ! “!!...” นักเรียนคนนั้นก็ลงไปนอนคว่ำกับพื้นด้วยฝ่าเท้าของโฮคิอย่างหมดสภาพ ยิ่งกว่านั้นมือถือที่เดิมถูกกำไว้แน่น บัดนี้กระเด็นมาอยู่ปลายเท้าของฉัน และก่อนที่ฝ่ามือของเจ้าของจะเอื้อมมาหยิบ ฝ่าเท้าซึ่งถูกสวมด้วยผ้าใบใบเก่าของโฮคิก็เหยียบที่ฝ่ามือนั่นเสียก่อน “อะ...โอ๊ย!!” ฉันเงยหน้ามองหน้าโฮคิด้วยความถามมากมาย และก่อนที่จะเอ่ยปากถาม โฮคิกลับชี้นิ้วมายังมือถือที่อยู่ปลายเท้าฉันก่อนเป็นเชิงให้ฉันหยิบมันขึ้นมา ซึ่งแน่นอนฉันก็ก้มหยิบตามที่เขาบอก “เปิดดู” โฮคิพูดเพียงสั้นๆ ในขณะที่เท้าของเขายังคงเหยียบฝ่านั่นอยู่ด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ฉันพยักหน้างึกงักก่อนจะเลื่อนหน้าจอดู และสิ่งที่ฉายชัด ณ เบื้องหน้าคือ...ภาพที่โฮคิกับฉันจ้องหน้ากันเมื่อครู่นี้เอง... นี่มันอะไรกันน่ะ นายคนนี้ถ่ายรูปฉันกับโฮคิไปเพื่ออะไรงั้นเหรอ ฉันเม้มฝีปากแน่นก่อนจะก้มมองร่างเบื้องล่างที่นอนโอดโอยอย่างน่าเวทนา ใบหน้าที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวทำให้ฉันรู้สึกเห็นใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังข้องใจกับรูปในมือถือนี่อยู่ดี และบางทีนายคนนี้อาจจะเป็นคนเดียวกันกับที่ถ่ายรูปฉันกับโฮคิที่ลาน PARK เมื่อวานก็ได้ “นายถ่ายรูปฉันกับโฮคิทำไม” “ผะ ผม” “ช่างมัน” โฮคิพูดเสียงนิ่งแล้วดึงมือถือจากมือฉันไปและกระทำในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด! ตุ้บ!! เขาปามันลงพื้นอย่างไม่ใยดีราวกับเป็นของไร้ค่าจนพวกหน้าจอและอะไรต่อมิอะไรกระจัดกระจายออกจากกันไม่เป็นชิ้นดี เท้าของโฮคิยกออกจากฝ่ามือของนายนักเรียนคนนั้นซึ่งเพียงแค่ไม่กี่วินาทีคนเสียเปรียบก็ล้มลุกคุกคลานจากไปราวกับกลัวความตาย ในขณะที่โฮคิเพียงแค่เหลือบมองอย่างไม่แยแสอะไรมากนัก “เอ่อ...” ฉันยิ้มให้เขาแบบเก้ๆ กังๆ เมื่อโฮคิเลื่อนสายตามาตรงนี้ ซึ่งนั่นมันก็มากพอสำหรับหัวใจของฉันแล้ว แต่รู้อะไรหรือเปล่า...ว่าในตอนนี้เขากำลังก้าวเท้าเข้ามาหาฉันเรื่อยๆ และเรื่อยๆ ใบหน้าเรียบนิ่งและเย็นชาของโฮคิจับจ้องมายังฉัน ตึกตัก ตึกตัก... ไม่ไหวแล้ว...ยิ่งระยะห่างของเราสองคนลดลง หัวใจก็จะเต้นถี่เร็วมากขึ้นเท่านั้น และถ้าให้เดาป่านนี้หน้าของฉันคงไม่ต่างอะไรจากลูกมะเขือเทศแน่ๆ ขะ...เขาทำแบบนี้ ฉันจะแย่เอานะ ฮือ กึก โฮคิหยุดเท้าลงตรงหน้าในระยะที่ค่อนข้างใกล้แต่ก็ไม่ใกล้มากจนเกินไป เจ้าของดวงตาสีสนิมอันทรงเสน่ห์จ้องลึกเข้ามาราวกับต้องการเค้นอะไรบางอย่าง พลันมือไม้ชุ่มขึ้นมาอย่างฉับพลัน... นัยน์ของเขามันเต็มไปด้วยเสน่ห์ มองนานๆ แล้วรู้สึกเหมือนเขาจงใจร่ายมนตร์ใส่ฉันก็ไม่ปาน “เธอ...” “...” ฉันกลืนก้อนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ซึ่งต้องบอกเลยว่าในนาทีนี้ลำคอของฉันแสบไปหมด ไม่รู้ทำไม ตึกตัก ตึกตัก “จูบหน่อย” “ฮะ??” เพียะ!!! ทุเรศที่สุดเลย! นี่ฉันกำลังวาดฝันอะไรอยู่กันแน่เนี่ย อย่าเข้าใจผิดว่าโฮคิขอจูบฉันนะ เพราะเมื่อครู่นี้...เป็นเพียงสิ่งที่ฉันมโนขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด ในความเป็นจริงนั้น...หลังจากที่เขาปามือถือลงพื้นและนายนักเรียนคนนั้นวิ่งหนีไป โฮคิเองก็เดินจากไปเช่นกัน... ใช่...ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวหลังอาคารเกษตร บ้าจริงๆ อันตรายเกินไปแล้ว...เพียงแค่เห็นเขา สมองและหัวใจก็พากันทำงานแบบผิดปกติทุกที กี่ครั้งกี่หนแล้วนะที่ฉันมโนเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้แบบนี้ ทุเรศจัง ตัวฉันเนี่ย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม