บทที่3.1

2060 คำ
“เฮ้ย! แก ตะ ต้องการอะไร!” ชายรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ตะโกนถามผมเสียงดังพร้อมกับก้าวเท้าถอยหลังด้วยท่าทีที่หวาดระแวง ใบหน้าที่แสดงออกมาถึงความตื่นตระหนกทำให้ผมนึกสมเพชภายในใจแต่ในตอนนี้ผมเพียงมองมันนิ่งด้วยท่าทีที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไรนะ ผมก้าวเท้าเข้าไปใกล้มันเรื่อยๆ และมันก็ก้าวเท้าถอยหลังเพื่อหนีผมไปเรื่อยๆ เช่นกัน แต่รู้อะไรไหมครับ...อีกก้าวเดียวมันก็จนตรอกแล้วล่ะ กึก ผมเหลือบตามองมันที่บัดนี้ประสบกับทางตัน มันมีท่าทีตกอกตกใจก่อนจะหันหลังกลับไปมองกำแพงอิฐอันเป็นจุดสิ้นสุดของบริเวณนี้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษความโง่ของมันเอง ทางให้หนีมีตั้งมากตั้งมายแต่กลับวิ่งมาในตรอกแคบๆ นี่ จนสุดท้ายก็อับจนหนทางแบบนี้ยังไงล่ะ… “ยะ...อย่าทำอะไรฉันเลยนะพ่อหนุ่ม ฉะ...ฉันจะให้ทุกอย่างที่นายต้องการ อยากได้อะไร เงิน รถ หรือผู้หญิง ฉันหาให้นายได้หมด แต่ขอร้องล่ะ...ยะ...อย่าฆ่าฉะ ฮึก” คำพูดของมันขาดห้วงลงไปเมื่อผมใช้ปลายกระบอกปืนเชยคางของมันขึ้น ใบหน้าของมันในตอนนี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ปากสั่นตัวสั่นไม่ต่างจากลูกหมาตัวหนึ่ง ถึงแม้ผมจะเห็นว่ามันกำลังกลัวผมมากเพียงไหน แต่ใบหน้าอวบอูมที่เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ให้ได้ไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย เพราะการเป็น ‘นักฆ่า’ นั้น ไม่ควรมีความเห็นอกเห็นใจและโอนอ่อนต่ออะไรทั้งสิ้น มีหน้าที่ให้ฆ่าใครก็ต้องฆ่า เพราะถ้ามัวมานึกสงสารอยู่ล่ะก็มันจะทำให้จิตใจของคนเราไร้ความมั่นคง ผมตัดสินใจกดปลายกระบอกปืนบริเวณลำคอมันแรงๆ จนเจ้าตัวสะดุ้งตาเหลือกตาลานก่อนจะยกมือไหว้ผมด้วยท่าทางกลัวตายเต็มที่ “ไม่มีความหมาย” ปัง! “อั่ก!!” ร่างอันอ้วนท้วมสมบูรณ์ทรุดฮวบลงกับพื้นและเกร็งตัวอย่างเจ็บปวดทันทีที่กระสุนปืนฝังแน่นเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอของตน ดวงตาของมันเบิกโต มือไม้พยายามตะเกียกตะกายหาที่เกาะเพื่อยึดร่างของตนเองที่ลงไปนั่งฟุ่บกับพื้น ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความเฉยชาก่อนจะหันหลังเดินจากมาปล่อยให้ไอ้แก่นั่นทรมานแล้วหมดลมหายใจไปเอง ลาก่อน...ลมหายใจอันแสนโสโครก “ฮ้าวว...” ฉันยกมือปิดปากตัวเองในขณะที่หาวออกมาด้วยความง่วงนอน เท้าทั้งสองข้างทำหน้าที่ย่ำลงพื้นพร้อมเดินเข้าไปใน py ไฮสกูลที่บัดนี้เต็มไปด้วยนักเรียนจำนวนมาก แต่รู้อะไรไหม...ฉันก้าวเท้าเข้ามาได้ไม่ถึงสามเก้า สายตาของนักเรียนทุกคนก็จับจ้องมองมาทางฉันอย่างพร้อมเพรียงกันเล่นเอาฉันที่กำลังงัวเงียขมวดคิ้วอย่างฉงนใจ พวกนั้นมองอะไรกันน่ะ? ฉันสะบัดหัวไปมาก่อนจะสปีดฝีเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังห้องเรียนของตนเอง ทว่า ตลอดทางก็มีคนมองมาที่ฉันเช่นเคย สายตาของนักเรียนพวกนั้นยิ่งสร้างความแปลกใจเพราะมันคล้ายว่ามีความสมเพชและรังเกียจจนรู้สึกได้ บ้าน่า พวกนั้นจะมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ จริงไหม ไม่เอาแล้ว ฉันว่าฉันเข้าห้องเรียนเร็วๆ ดีกว่า ฉันถอนหายใจออกเบาๆ ก่อนผลักประตูเข้าไปในห้องเรียนทันที ทว่าขาทั้งสองข้างจำเป็นต้องชะงักกึกเมื่อทันทีที่เปิดประตูเข้าไป จากเสียงดังๆ ก็เงียบกริบลงพร้อมกับทุกคนที่หันมองมายังฉันทันที ฉันกวาดสายตามองไปรอบห้องเรียนพบว่าทุกคนได้จับจุดความสนใจมาที่ฉันหมด ไม่เพียงเท่านั้นยังแอบมีเสียงซุบซิบบางอย่างเล็ดลอดออกมาซึ่งนั่นทำให้ฉันหรี่ตามองด้วยความไม่เข้าใจ แต่ท้ายที่สุดฉันก็เลือกที่จะยักไหล่เล็กน้อยแล้วเดินไปนั่งที่ของตัวเองโดยอาจารย์จัดไว้ให้เมื่อวานซึ่งอยู่ด้านหลังสุดของห้อง แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ค่อนข้างพอใจเพราะมันติดกับหน้าต่างที่เป็นกระจกใสทำให้บริเวณนี้สว่างกว่าที่นั่งบริเวณอื่นๆ ฉันวางกระเป๋านักเรียนลงบนโต๊ะ เตรียมจะนั่งลง หากทว่าสายตากลับชะงักกับข้อความตัวใหญ่บนโต๊ะที่ถูกเขียนด้วยชอล์คว่า ‘น่ารังเกียจ’ เอ๊ะ...น่ารังเกียจ? ฉันขมวดคิ้ว ก่อนตวัดสายตามองนักเรียนทุกคนที่หันมองฉันด้วยสายตาเหยียดขยาด บ้างก็ทำท่าใส่ฉันเสมือนว่าฉันมันน่าสะอิดสะเอียนนักหนา มันสร้างความสงสัยกับฉันขึ้นเท่าตัว ให้ตาย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมอยู่ๆ ทุกคนถึงมีท่าทีแบบนั้นกับฉัน เมื่อวานแค่มองฉันเฉยๆ เพราะฉันเป็นนักเรียนที่เพิ่งย้ายมาใหม่เท่านั้น “นี่มันอะไรกัน?” ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติแต่ในคำพูดนั้นเคลือบแฝงความฉงนใจและไม่พอใจเข้าไว้ด้วยกัน ฉันไม่ได้เจาะจงถามใครคนใดคนหนึ่ง แต่กวาดสายตามองทุกคนในห้องเพราะทุกคนนั้นมีกิริยาเหมือนกันหมด แล้วรู้อะไรไหม พวกนั้นกลับเหยียดริมฝีปากอย่างไม่อยากจะพูดคุยกับฉัน ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเตรียมพร้อมจะเดินเข้าไปกระชากใครคนใดคนหนึ่งเพื่อเค้นคำตอบออกมา ทว่าทุกคนกลับชะงักลงเมื่อประตูห้องเรียนถูกเปิดด้วยใครบางคน และปรากฏเป็นชายรูปร่างสูงโปร่งกับเรือนผมสีทองไถข้าง หูทั้งสองข้างประดับด้วยต่างหูประหลาดสีดำ ดวงตาเรียวยาวอันแสนนิ่งงันไม่ได้มองใคร แต่กลับเดินไปนั่งยังโต๊ะเรียนของตนเองทันที ฉันชะงักความคิดนั้นลงทันที เมื่อร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้า ขายาวๆ ของเขายกขึ้นพาดโต๊ะนักเรียนด้วยท่าทางสบายและไม่แคร์สิ่งรอบกายแม้แต่นิดเดียว “โฮคิ!” ฉันเอ่ยเรียกเขาด้วยความดีใจ มือไม้สั่นไปหมดด้วยความตื่นเต้น ฉันไม่รู้มาก่อนว่าเขาเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับฉัน เมื่อวานที่ฉันเข้ามาในห้องนี้ เห็นโต๊ะด้านหน้าของตัวเองว่างเปล่าแต่ไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าเป็นที่นั่งของโฮคิ อันที่จริงฉันคิดว่าโฮคิอยู่ห้องอื่นนะ แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน... ฉันรีบเดินเข้าไปหาเขาทันที ไม่ได้สนใจสายตาของพวกนั้นที่มองมา ทว่า...เมื่อฉันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นความเฉยชา ที่สำคัญ โฮคิเพียงแค่เหลือบมองฉันเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง โฮคิเป็นแบบนี้อีกแล้ว... “เรื่องจริงสินะ...” เสียงของใครบางคนทำให้ฉันหันกลับไปมอง ต้นตอของเสียงเป็นนักเรียนหญิงผมยาวที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าสุด ถึงแม้เสียงนั่นจะเบาแต่ฉันก็พอจับใจความได้ว่าเธอพูดอะไร และถึงอย่างนั้นก็ตาม...ฉันกลับรู้สึกแปลกใจเพราะทันทีที่โฮคิเหลือบมองพวกนั้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ทุกคนถึงกับรีบหลบสายตาราวกับหวาดกลัว นี่มันอะไรกันน่ะ...? มันเกิดอะไรขึ้นฉันเองก็ไม่อาจรู้ได้ และได้แต่เก็บความข้องใจเหล่านั้นไว้ในใจก่อนเดินไปนั่งที่ประจำของตนเองเมื่อเสียงสัญญาณเริ่มคาบแรกได้ดังขึ้น ตอนเที่ยง ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง ฉันนั่งตัวคนเดียวที่โต๊ะมุมสุดในโรงอาหารขนาดใหญ่ของโรงเรียนซึ่งบรรจุนักเรียนเอาไว้ไม่ต่ำว่าพันคนพลางเหลือบสายตาไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกไม่พอใจนัก ใช่! ทุกคนยังคงมองมาที่ฉันประหนึ่งตัวประหลาดของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นน้องหรือรุ่นเดียวกัน ทุกคนต่างแสดงท่าทางไม่ต่างกันนั่นคือจ้องมองฉันพร้อมซุบซิบนินทากันอย่างสนุกปาก คนพวกนั้นเป็นอะไรกันมากหรือเปล่านะ ทำไมถึงได้จ้องฉันถึงขนาดนี้ ฉันไปฆ่าพ่อฆ่าแม่พวกนั้นมาหรือยังไง คิดเท่าไหร่ก็ได้แต่ความปวดหัวกลับมา หากจะเอ่ยปากถามใครก็คงไม่ดีนักเพราะไม่มีใครที่เป็นมิตรพอจะให้ถามเลยสักคน ปึก!! ฉันสะดุ้งทันทีเมื่อโต๊ะกินข้าวที่ฉันนั่งอยู่เกิดเสียงดัง พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนจากฝ่ามือของใครบางคน ฉันเงยหน้ามองจึงพบว่าเป็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน ฉันจ้องหน้าเธอโดยที่ไม่หลบตาไปไหนและเธอเองก็ไม่หลบตาไปไหนเหมือนกัน ตอนนี้นักเรียนทั้งหลายรอบกายเริ่มสนใจทางนี้มากขึ้นเพราะเดิมทีฉันก็เป็นที่จ้องมองอยู่แล้ว พอมีเธอคนนี้เข้ามายิ่งสร้างความสนใจมากขึ้นกว่าเดิม แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจคนรอบข้างสักเท่าไหร่นักหรอก แต่เพราะสายตาของคนตรงหน้ามองฉันต่างหาก มันเจือไปด้วยความเกลียดชังเสียยิ่งกว่าอะไร “เธอน่ะ” “อะไร” ทันทีที่ยัยนั่นยอมขยับปากพูด ฉันจึงถามออกไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของฉันในตอนนี้ไม่ได้แสดงออกอะไรมากนัก แต่ในใจเนี่ยสิ...มีแต่คำถามเต็มไปหมด แต่เอาเถอะ...บางทียัยคนนี้อาจจะทำให้ฉันหายข้องใจก็เป็นได้ “เธอกับโฮคิคบกันอยู่ใช่ไหม?” ฉันขมวดคิ้วพลางมองหน้ายัยนั่น ใบหน้าของคนถามแสดงออกถึงความอยากรู้ ซึ่งคนรอบข้างเองก็ดูจะอยากรู้มากๆ ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญคือคำถามนี้มีต้นสายปลายเหตุเป็นมายังไง ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วนั้น... มีแค่ฉันเท่านั้นที่ชอบเขา เขาไม่ได้มีท่าทางอะไรออกมาเลย ไม่ว่าจะกับฉันหรือกับใคร... “เธอพูดเรื่องอะไรของเธอน่ะ “ ฉันถามพร้อมมองหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือแววตาเหยียดขยาดประหนึ่งฉันเป็นสิ่งน่ารังเกียจ แขนทั้งสองข้างของยัยนั่นยกขึ้นไขว้กันบริเวณหน้าอกก่อนขยับปากพูด “น่าขยะแขยงไม่ต่างกัน” “....” “ถ้าเธอคบกับหมอนั่นจริง แสดงว่าเธอก็ขยะไม่ต่างจากหมอนั่น” ซ่า! ทันทีที่ยัยนั่นพูดจบ เป็นฉันเองที่ไม่สามารถระงับความคุกรุ่นที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ สุดท้ายเลยสาดน้ำเปล่าในแก้วไปเต็มๆ หน้าของยัยนั่นทันที เสื้อสีขาวบางแนบเข้ากับเนื้อขาวๆ จนทำให้เห็นเสื้อชั้นในอย่างชัดเจน ฉันไม่ได้ยิ้มอย่างสะใจแต่จ้องหน้ายัยนั่นอย่างโมโห ยัยนั่นเบิกตาอย่างตกตะลึงในขณะที่คนรอบข้างต่างพากันวิ่งเข้ามาหายัยนั่นด้วยความเป็นห่วง เหอะ พูดจาแบบนั้นมันก็น่าโดนแล้วไหมล่ะ ด่าหรือว่าฉันน่ะฉันไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนักหรอก แต่ ‘หมอนั่น’ ที่ยัยนั่นพูดถึงคือโฮคิ มีเหรอที่ฉันจะทนได้ ปกติแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหาและไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ในเมื่อคนที่ยัยนั่นพูดถึงเป็นผู้ชายที่ฉันชอบ ฉันจำเป็นต้องสั่งสอนสักนิด อาจไม่ได้นักหนาแต่อย่างน้อยก็ทำให้ยัยนั่นรู้ว่าฉันไม่ยอมให้ใครมาว่าโฮคิแบบนั้น “นี่เธอ! เธอกล้าทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!! สวะ...สวะเหมือนไอ้โฮคิไม่มีผะ...” “ใครมันบังอาจมาว่าเพื่อนฉันวะ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำให้คำพูดของยัยนั่นขาดห้วงไป ฉันหันหลังมองเจ้าของเสียงดังที่มีแววคุกกรุ่นมาแต่ไกลด้วยความสงสัย ร่างสูงโปร่งอันโดดเด่นกับเรือนผมสีน้ำตาลทอง ดวงตาเรียวยาวคมเหมือนพวกมาเฟียในประเทศญี่ปุ่น ยิ่งกว่านั้น เมื่อระยะห่างเริ่มลดลงฉันจึงเห็นชัดเจนว่าขอบตาของเขานั้นถูกเขียนด้วยอายไลน์เนอร์ดูน่าเกรงขามไม่ต่างจากปีศาจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม